กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 1 ศิษย์แห่งสำนักภูมิปัญญา

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 1 ศิษย์แห่งสำนักภูมิปัญญา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อสายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิพัดมา การออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกระบี่วิญญาณก็สิ้นสุดลง เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณที่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นก็เริ่มกลับขึ้นเขามาทีละคน

หนึ่งในนั้นก็คือหวังลู่

สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็เลือกที่จะกลับมา และทิ้งสำนักที่เขาสร้างขึ้นกับมือไว้เบื้องหลัง หากจะพูดอย่างโหดร้ายก็คือ เขาสลัดรองเท้าขาดๆ ทิ้ง การจากมาของหวังลู่นั้นสามัญธรรมดามาก ก่อนหน้านั้น เขาได้แต่งตั้งเย่ชูเฉินให้ดูแลจัดการสถานการณ์ทั้งหมด ซึ่งสำหรับเย่ชูเฉินแล้วนั้นเรื่องนี้ราวกับฝันไป

จากศัตรูที่พ่ายแพ้มาเป็นรองเจ้าสำนัก สถานะที่เปลี่ยนไปของเขานั้นชวนตกตะลึงไม่น้อย เมื่อนึกถึงอำนาจและอิทธิพลในมือเขาตอนนี้ ในส่วนลึกของจิตใจของเย่ชูเฉิน ไฟแห่งความทะเยอทะยานที่มอดไปนานแล้วก็ลุกโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง

แน่นอนว่าความทะเยอทะยานในครั้งนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่หวังลู่ แม้หวังลู่จะจากไปแล้ว แต่เย่ชูเฉินก็ไม่กล้าหวังตำแหน่งในสำนักของหวังลู่ ความจริงแล้ว ตำแหน่งรองเจ้าสำนักของเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกำมือของหวังลู่เท่านั้น เขาไม่ได้มีอิสระในการจัดการสิ่งต่างๆ มากนัก ก่อนที่หวังลู่จะกลับขึ้นเขา เขาได้เขียนแผนกลยุทธ์ที่ละเอียดลออเอาไว้ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาสำนักภูมิปัญญาไปอีกยี่สิบปี ตามคำพูดของเขา ขั้นแรกในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญานั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากกว่าแค่รายได้ที่ตั้งเป้าไว้

เย่ชูเฉินไม่คิดว่าตนเองฉลาดกว่าหวังลู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงทำตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด… แม้การใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในฐานะสมาชิกที่ชำนาญการที่สุดจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เย่ชูเฉินก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น

นั่นเพราะหวังลู่ก็ยังทิ้งปรมาจารย์หมิงอวิ๋น รองเจ้าสำนักอีกคนไว้ด้วย แม้สมาชิกผู้นี้จะไม่มีความสามารถแทนที่หวังลู่ได้ แต่ในฐานะผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ที่สุดของหวังลู่ ชายผู้นี้คือบุคคลที่ดีที่สุดที่จะจับตามองเย่ชูเฉิน เย่ชูเฉินรู้ชัดว่าหากเขาไม่อาจเป็นหมากที่ดีที่สุดของหวังลู่… ก็มีคนในสำนักไม่น้อยที่สามารถแทนที่ได้ อย่างน้อยตาแก่ลามกเหออวิ๋นก็ทะเยอทะยานมากพอ

นอกจากนั้น เย่ชูเฉินยังต้องกังวลเรื่องหอนภาเร้นลับด้วย ไม่กี่เดือนก่อน เพื่อที่จะผ่านวิกฤตไปให้ได้ หวังลู่เดิมพันกับหอนภาเร้นลับเพื่อขอเงินลงทุน การเดิมพันครั้งนี้ยังมีผลตามสัญญา หอนภาเร้นลับยังไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงการดำเนินการของสำนักภูมิปัญญา พวกเขามีสิทธิ์เพียงรับรู้เท่านั้น ทว่าตอนนี้หวังลู่กลับไปแล้ว เย่ชูเฉินไม่มั่นใจว่าเขาจะต้านทานการแทรกซึมขององค์กรใหญ่นี้ได้หรือไม่

จากความสามารถและชื่อเสียงของเย่ชูเฉิน ไม่แปลกสักนิดหากเขาจะเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของหวังลู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ขอความช่วยเหลือจากหวังลู่เป็นพิเศษก่อนที่เขาจะกลับไป หวังลู่ก็สมกับที่เป็นหวังลู่ เขาเองก็คิดถึงปัญหาในข้อนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงตระเตรียมแผนการมหัศจรรย์พันลึกมากมายไว้ให้ในถุงผ้าไหม เมื่อใดที่เย่ชูเฉินรู้สึกว่าอำนาจของตนเริ่มสั่นคลอน เขาก็สามารถเปิดถุงผ้าออกมาและปฏิบัติตามแผนที่เขียนไว้ให้

เย่ชูเฉินอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงแอบเปิดถุงผ้าเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วก็พบว่ามันคือจดหมายฉบับหนึ่ง หน้าซองเขียนไว้ว่า หลักการในการโจมตีสำนักงานใหญ่

ด้วยความรอบคอบ เย่ชูเฉินก็ไม่คิดจะดูต่อ เขาได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่มีวันที่เขาต้องใช้จดหมายฉบับนี้

——

เมื่อต้องทิ้งสำนักภูมิปัญญาเพื่อกลับมายังเขากระบี่วิญญาณ หลายคนคิดว่าหวังลู่น่าจะเศร้าเสียใจอย่างหนัก ทว่าความจริงแล้ว เขากลับรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่ได้มีความโหยหาโลกมนุษย์แต่อย่างใด

สำหรับสำนักภูมิปัญญาแล้ว หวังลู่ไม่เคยใส่ใจมันในฐานะองค์กร แต่มองเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แทนที่จะรู้สึกฮึกเหิมที่สามารถขับเคลื่อนกำลังคนนับล้านเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก หวังลู่กลับสนุกสนานไปกับการสำรวจความลับบนเส้นทางแห่งเซียนของเขากระบี่วิญญาณมากกว่า

นอกจากนี้ หวังลู่ยังตัดขาดโลกมนุษย์อย่างเงียบๆ อีกด้วย

ประสบการณ์แสนขมขื่นที่เขาได้รับจากหมู่บ้านตระกูลหวัง ทำให้หวังลู่สิ้นศรัทธาและหมดความเชื่อมั่นต่อมนุษย์โลกจนหมดสิ้น การตั้งสำนักภูมิปัญญาและเปลี่ยนความคิดของผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน ทำให้หวังลู่ได้รับสถานะที่สูงส่งซึ่งช่วยดึงเขาให้ออกห่างเหล่ามนุษย์ปุถุชนขึ้นไปอีก เมื่อครั้งที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภูเขาซากศพและทะเลเลือดในการสอบสวนของกระบี่แห่งสัจจะ ตอนนั้นจิตใจของหวังลู่ตัดขาดจากโลกมนุษย์ได้นานแล้ว

เรื่องเดียวที่เขาเป็นกังวลคือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จุดยืนของหวังลู่ถือว่าเหี้ยมโหดมาก เขาไม่เคยเผยตัวตนให้บิดามารดาได้รู้ ไม่ยอมให้พวกเขาใช้รากวิญญาณเทียม หรือฝึกบำเพ็ญเซียน หวังลู่มั่นใจว่าบิดามารดาของเขาไม่มีความสามารถและไม่มีจิตใจที่จะบำเพ็ญเซียน เทียบกับการเป็นเซียนแล้ว คนทั้งคู่ชื่นชอบการเป็นมนุษย์ปุถุชนมากกว่า ในเมื่อมีความคิดเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาครอบครองรากวิญญาณนภา ก็ไม่อาจบำเพ็ญเซียนได้ หวังต้าฟู่ และฮูหยินซุยชื่อจึงเป็นเพียงผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญาที่มีส่วนในการสร้างสิ่งก่อสร้างของสำนัก เมื่อมีหวังลู่คอยช่วยเหลืออย่างลับๆ ชีวิตของคนทั้งคู่ก็ดีงามขึ้นกว่าในอดีตมาก

เมื่อใกล้จบการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็เข้าไปเยี่ยมบิดามารดาจากนั้นก็อำลาจากมา ในชีวิตนี้เขาอาจได้พบบิดามารดาอีกหลายครั้ง ทว่าหลายสิบปีต่อมา บิดามารดาของเขาก็ย่อมต้องลาโลกไป ส่วนเขายังคงต้องบากบั่นอยู่ในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนที่ยาวไกล… ทว่าบิดาของเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เพราะก่อนที่หวังลู่จะจากมา เขาได้มอบยาครอบจักรวาลเพื่อบำรุงสุขภาพของบิดา ทำให้อนุภรรยาของหวังต้าฟู่ให้กำเนิดลูกชาย สืบทอดเชื้อสายของตระกูลหวังต่อไปได้

เช่นนั้นแล้วหวังลู่จึงไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์ให้ต้องกังวลอีก

——

หลังจากไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์มาหนึ่งปี ศิษย์ทั้งหมดก็เดินทางกลับขึ้นเขามา หลายคนรู้สึกราวกับว่าใช้เวลาไปชั่วชีวิตแล้ว

“ศิษย์พี่… ประสบการณ์ที่ได้ในหนึ่งปีนี้ราวกับฝันไปจริงๆ”

เหวินเป่าที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเมืองธาราวิญญาณอดถอนใจออกมาไม่ได้

หนึ่งปีผ่านไป เจ้าอ้วนบำเพ็ญตบะไปถึงขั้นฝึกปราณระดับหก ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างที่ได้ตั้งใจไว้และบรรลุขอบเขตของขั้นตบะไปได้ หนำซ้ำยังเคยลงสนามต่อสู้กับผู้จัดการระดับกลางของสำนักภูมิปัญญาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมและวิทยายุทธ์ของเขาก้าวหน้าไปไม่น้อย

นอกจากนั้นเขายังต้องเปลี่ยนร่างไปเป็นเหวินเป่าผู้รู้ตื่นหลายต่อหลายครั้ง ทำให้อุปนิสัยโดยรวมเป็นผู้ใหญ่กว่าหนึ่งปีก่อนมาก แม้ในการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ก้าวหน้าได้รวดเร็วเท่าศิษย์คนอื่นๆ แต่โดยรวมแล้ว สิ่งที่เหวินเป่าได้รับนั้นมากกว่าที่ศิษย์ส่วนใหญ่ได้รับมากนัก

“หากมีเวลาอีกสักสองสามเดือน ไม่แน่ว่าขั้นตบะของข้าอาจทะลุไปอีกระดับหนึ่งก็ได้” เหวินเป่ากล่าวอย่างผิดหวังที่การเรียนรู้ในครั้งนี้จบลงแล้ว

“หา? นี่เจ้ายังวิ่งเล่นไม่พออีกหรือ ข้าน่ะเหนื่อยแทบตาย…”

ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อความผิดหวังของเหวินเป่าคือหญิงสาวที่มีน้ำเสียงค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย

หนึ่งปีที่ผ่านมา เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ใช้ชีวิตในฐานะธิดาเทพมาพอแล้ว ในช่วงสองสามเดือนแรก สิ่งนี้ยังเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับนาง ในทางหนึ่ง สำนักภูมิปัญญาของหวังลู่ยังใหม่และน่าสนุก ทว่าเมื่อสำนักภูมิปัญญาพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หลายสิ่งก็เริ่มจำเจมากขึ้น ยิ่งช่วงสองสามเดือนสุดท้าย ที่การพัฒนาของสำนักยังเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่รูปแบบในการพัฒนากลับไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ตามคำของหวังลู่ มันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในด้านปริมาณซึ่งกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และขั้นตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะเสร็จสิ้น เมื่อถึงเวลานั้นสำนักภูมิปัญญาจึงจะเป็นสำนักอิสระที่ทรงอำนาจอย่างแท้จริง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หวังลู่มั่นใจและวางใจว่าสำนักภูมิปัญญาไม่ได้เป็นเพียงของเล่นแก้เบื่ออีกต่อไป

ข้อสอง สถานะของธิดาเทพนั้นแปลกใหม่น่าสนใจ ไม่ว่านางจะไปที่ใด ผู้คนก็ต่างกราบไหว้บูชานาง ซึ่งทำให้หญิงสาวภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก ทว่าเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเห่อเหิมยศศักดิ์ นานวันที่ชาวบ้านเอาแต่กราบกรานนาง นางก็ยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจ ก่อนการประชุมแต่ละครั้ง ทุกคนจะต้องคุกเข่าคำนับ ก่อนพวกเขาจะเข้าเรื่อง ก็ต้องเอ่ยวาจาชื่นชมยกย่องนางยาวเหยียด หลังจากจบการประชุม พวกเขาต้องคำนับนางสามครั้ง คุกเข่ากราบไหว้อีกเก้าครั้งก่อนจะจากไปได้… ความอดทนที่มีจำกัดของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์หมดสิ้นไปนานแล้ว ในช่วงสองสามเดือนสุดท้าย ทุกครั้งที่นางได้เจอผู้ติดตามที่มีใจศรัทธาเช่นนี้ นางได้แต่อยากจะเตะพวกเขาไปไกลๆ ตลอดเวลา

ในฐานะธิดาเทพแห่งสำนักภูมิปัญญา แม้นางจะสามารถพูดและทำอะไรต่างๆ ได้อย่างเสรี แต่การเตะผู้ติดตามเป็นสิ่งที่นางไม่อาจทำได้ นางจึงต้องหักห้ามใจอย่างหนักที่จะไม่ทำเช่นนั้น ดังนั้นสองสามเดือนสุดท้าย นางจึงสุดแสนจะหดหู่ใจราวกับราวกับมารดาที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอดบุตร

โชคดีที่สุดท้ายแล้วนางก็ได้กลับมา เมื่อได้เห็นถนนที่คุ้นตาของเมืองธาราวิญญาณ ได้ยินคำพูดทักทายด้วยความรักใคร่ของชาวบ้านที่รู้จักกัน เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็พลันรู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้านเกิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เฮ้อ อย่างไรเสียเมืองธาราวิญญาณก็ดีกว่าวันยังค่ำ เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนปีนขึ้นเข้าไปได้แล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม สามวันนับจากนี้ห้ามมากวนข้าเด็ดขาด”

พูดจบเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

สามนาทีให้หลังที่โรงเตี๊ยมตระกูลหรู

“มีใครอยู่บ้าง!?”

แขกไม่ได้รับเชิญผลักประตูหน้าของโรงเตี๊ยมเข้ามา หลังจากทักทายอย่างกันเองแล้ว ทั้งสองก็สืบเท้าไปยังโต๊ะยาวท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเถ้าแก่เนี้ย เด็กหนุ่มที่ร่างเพรียวกว่าหยิบเหรียญออกมาเก้าเหรียญ “เหล้าสองชาม แล้วก็…”

“สองชามน้องสาวเจ้าสิ! พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย!?”

เถ้าแก่เนี้ยขุ่นเคืองใจจนอยากจะร้องไห้ นางเพิ่งมาถึงบ้านยังไม่ทันจะได้วางสัมภาระ เจ้าเด็กพวกนี้ก็โผล่หน้ามาแล้ว พวกนั้นกล้าหวังว่านางจะตระเตรียมอาหารให้ได้อย่างไร!?

“ทำไมถึงมาก่อกวนข้าถึงที่นี่ พวกเจ้าควรปีนขึ้นเข้าไปเขียนรายงานให้เสร็จถึงจะถูก ไม่เห็นป้ายคำว่าปิดที่อยู่ด้านหน้าหรืออย่างไร”

หวังลู่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องให้ท่านมาเตือนหรอก ข้าปลดป้ายนั้นลงให้แล้ว ตอนนี้โรงเตี๊ยมท่านก็เปิดทำการตามปกติ ความจริงท่านเองถือเป็นคนของสำนักกระบี่วิญญาณ ลืมช่วงเวลาพักฟื้นหนึ่งเดือนไปได้อย่างไร”

เถ้าแก่เนี้ยมีสีหน้างุนงงจากนั้นก็ตบหน้าผากตัวเอง สุดท้ายนางก็จำได้ว่ามีสิ่งที่ว่านี่อยู่จริงๆ

การเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกระบี่วิญญาณกินเวลาสิบสองเดือน หลังจากนั้นศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ต้องกลับมายังสำนัก ทว่าพวกเขามีเวลานอกอีกหนึ่งเดือนก่อนที่จะส่งรายงาน เวลาบางส่วนของหนึ่งเดือนนี้หมดไปกับการเดินทางกลับ แต่ส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำแบบร่าง

แบบร่างอะไร แน่นอนว่าคือแบบร่างรายงานสรุปการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์! ตั้งแต่แรกสิ่งนี้คือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่จะวัดความสำเร็จในการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเหล่าศิษย์ การเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ไม่เพียงพัฒนาขั้นตบะของศิษย์เท่านั้น ที่สำคัญคือ ประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนั้นส่งผลต่อสติปัญญาและบุคลิกภาพของเหล่าศิษย์อีกด้วย และการพัฒนาในส่วนนี้ไม่ได้มาจากจำนวนพลังอิทธิฤทธิ์ หรือดูได้จากความหนาแน่นของพลังวิญญาณขั้นปฐม

ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงต้องเขียนรายงานบรรยายสิ่งที่ได้รับและสิ่งที่ได้ประสบตลอดหนึ่งปีนี้ลงไป เพื่อที่เหล่าผู้อาวุโสจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง

เมื่อหนึ่งปีก่อน เหวินเป่าเป็นกังวลในเรื่องนี้มาก ทว่าหนึ่งปีถัดมา เขากลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!

“ฮ่ะๆ ศิษย์พี่ ครั้งนี้ข้าคงต้องพึ่งท่านแล้ว!”

หวังลู่คำราม “ข้าก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะเขียนได้เองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนที่เจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน รายงานของเจ้าห่วยที่สุดหากเทียบกับรายงานจากหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ จนข้าน่าจะตั้งให้เจ้าเป็นหัวหน้าก๊กของพวกผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รู้หนังสือ ความจริงแล้วเจ้าควรถนัดเรื่องนี้เพราะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่ความรู้เรื่องบทกลอนและบทเพลงของเจ้ากลับเป็นศูนย์ เจ้าเขียนร้อยแก้วก็ไม่ได้ หนังสือทางการก็ไม่ได้ หรือแม้แต่ภาษาพูดธรรมดาที่มีประโยชน์เฉพาะตอนที่เจ้าอยากแต่งนิยาย เจ้ายังเขียนไม่ได้เลย”

เหวินเป่าเลิกคิ้ว “อย่าพูดเช่นนั้นเชียว ข้าได้แรงบันดาลใจมาแล้วเรียบร้อย ในสองวันแรกของการเดินทางของเรา ข้าก็นึกบทนำของมันออก งานชิ้นนี้มีชื่อว่าศิษย์แห่งสำนักภูมิปัญญา เป็นเรื่องเล่าของชายผู้เก่งกาจที่มีบุคลิกแปลกแยก ตอนที่เขาใส่หน้ากาก เขาจะเป็นเพียงคนขี้ขลาดไร้ตัวตน แต่พอเขาถอดหน้ากากออก เขาจะกลายเป็นทรราชที่ไร้ความปรานี…”

หวังลู่เหลือบสายตามองเหวินเป่าอย่างประหลาดใจนิดๆ และหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เขาก็ตบบ่าอีกฝ่าย “เขียนให้ดีๆ อย่าขันทีล่ะ[1]”

“หือ?”

…………………………………….

[1] คำว่า ‘ขันที’ ในภาษาจีนคือ 太监 (ไท่เจี้ยน) แต่ในประโยคนี้ 太监 ของหวังลู่คือ 太+监 หมายถึง หยาบเกินไป ก็คือ เขียนดีๆ อย่าหยาบเกินไปล่ะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด