กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 35 ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัว

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 35 ไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          การพ่ายแพ้ของเหวินเป่าถือเป็นเรื่องน่าเศร้า

          ตอนที่ไม่มีใครคาดหวัง เขากลับเดินหน้าลุยในการต่อสู้อย่างกล้าหาญและขึ้นมาเป็นต่อคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าจากนั้น ท่ามกลางสายตาคาหวังของทุกคน เขากลับเลือดกำเดากระฉูดและพ่ายแพ้… เป็นม้ามืดที่ลึกลับเสียจริง

          แน่นอนว่านอกจากเหล่าผู้อาวุโสที่มีสายตาแหลมคมแล้ว คนอื่นๆ ไม่อาจมองความลับในเรื่องนี้ออก แหล่งพลังที่อยู่ในถุงผ้าของเหวินเป่ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของทุกคน บางคนว่ามันคือสารต้องห้าม บางคนก็ว่ามันไม่มีอะไรเลย คนเรามักทำให้เรื่องซับซ้อนโดยไม่จำเป็นกันไปเอง เจ้าอ้วนนั่นแข็งแกร่งอย่างแท้จริงอยู่แล้ว บางคนก็ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงนั่นคืออาวุธวิเศษที่สำนักกระบี่วิญญาณพัฒนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีพลังในการกักเก็บพลังอิทธิฤทธิ์…

          แน่นอนว่าสำหรับผู้เข้าแข่งขันของทั้งสองสำนักนั้น แม้ผลงานของเหวินเป่าจะสร้างความตื่นตะลึงเพียงใด มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเก็บงำความลับไว้ในกาย มากมายเพียงใด แต่ในฐานะผู้แพ้ เขาก็ได้สูญเสียความน่าสนใจไปเรียบร้อย

          สิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสี่ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งและต้องมาจับคู่แข่งกันในรอบถัดไป

          หลังการประลองทั้งสี่ครั้งในรอบแรก ทั้งสองฝ่ายต่างเผยไพ่ในมือและจุดอ่อนออกมาเกือบหมด กายสายฟ้าของจ้านจื่อเย่ กระบี่คู่อัคคีและวารีของหลิวหลี กระบี่ไร้นามพลังย้อนกลับของหวังลู่ และเวหาวิเศษของเย่เฟยเฟย

          กำหนดการแข่งขันในรอบสองคือวันถัดไป ผู้แข่งขันมีเวลาหนึ่งวันในการฟื้นพลังอิทธิฤทธิ์ รักษาบาดแผล สรุปและคิดหาวิธีโต้กลับที่เหมาะสมตามข้อมูลใหม่ที่ได้มา ในหมู่คนเหล่านี้ ทั้งสามคนยกเว้นหวังลู่แทบไม่ได้บาดเจ็บและไม่จำเป็นต้องฟื้นฟูสิ่งใด กรณีของหวังลู่นั้นถือว่าน่าเป็นห่วงมาก แม้วิชาแผลสู่แผลของเขาจะเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่ามาได้อย่างสวยงาม แต่บาดแผลที่เขาได้รับนั้นค่อนข้างหนัก หลายคนต่างเดากันว่าสำนักกระบี่วิญญาณอาจจะส่งเยวี่ยซินเหยาลงมาแข่งแทน

          ทว่าสำหรับบุคคลที่ทุกคนเป็นกังวลนั้น การคาดเดาดังกล่าวช่างเป็นเรื่องไร้สาระ

          “เหลวไหลน่า จะให้เสี่ยวหยูแข่งแทนข้างั้นรึ มันต่างจากผลักหญิงสาวตัวเล็กๆ ลงบ่อเพลิงตรงไหนกัน กังฟูวิฬาร์สามขาของนางจะเป็นเพียงของเด็กเล่นของเย่เฟยเฟยแม้แต่ในตอนที่อีกฝ่ายมีประจำเดือนน่ะสิ!”

          “…ศิษย์พี่ แม้ข้าจะรู้สึกดีที่ท่านเป็นห่วง แต่ที่ท่านพูดนั้นมัน…”

          “ข้าขอโทษ ข้าโผงผางไปหน่อย แต่เรื่องส่งตัวสำรองนั้นควรลืมไปได้เลย ครั้งนี้คู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป นอกจากข้าและหลิวหลีแล้ว ไม่มีใครมีโอกาสเอาชนะได้นอกจากจะใช้วิธีถุงผ้าไหม ทว่าไม่มีถุงผ้าไหมที่เหมาะกับเจ้า”

          หวังลู่พูดจาปลอบประโลมเยวี่ยซินเหยาขณะที่เขานอนพักอยู่บนเตียงที่ยอดเขาไร้ลักษณ์ระหว่างที่นางมาเยี่ยม

          “อาการบาดเจ็บนี่เล็กน้อยมาก ตอนอยู่ที่แดนปรลัย ข้าบาดเจ็บหนักกว่านี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ขอเพียงแค่ข้ากินยาและพักผ่อนอีกสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าก็จะหายดี”

          เยวี่ยซินเหยายังคงกังวลอยู่ “แต่การเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งจะสูญเปล่า”

          หวังลู่ยิ้ม “กับเย่เฟยเฟยแล้ว ยังจะต้องเตรียมการอะไรอีก หากคู่ต่อสู้เป็นจ้านจื่อเย่หรือหลิวหลี การเตรียมการจึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น แต่กับเย่เฟยเฟยแล้ว นางยังมีคุณสมบัติไม่พอ”

          “ศิษย์พี่ ท่านไม่กล่าวเกินไปหน่อยหรือ”

          เหวินเป่า นักรบที่ถ่อมตนและซื่อตรงที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยขึ้น “เย่เฟยเฟย..นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก”

          เพราะเขานั่งอยู่ข้างๆ เยวี่ยซินเหยา เจ้าอ้วนจึงดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย เขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงว่าสิ่งที่อยู่ในถุงผ้าไหมคืออะไร ดังนั้นจึงอดเหงื่อแตกพลั่กๆ ไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังพยายามถ่ายทอดประสบการณ์การต่อสู้กับเย่เฟยเฟยให้หวังลู่ฟัง

          “แม้เย่เฟยเฟยจะหงายไพ่ออกมาแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของนางยังมีมากกว่านั้น…”

          “ข้ารู้ อาคมของนางรุนแรงมาก แม้อาคมต่อเนื่องของนางจะไม่อาจเจาะทะลวงเกราะพลังของเจ้าได้ แต่นั่นเป็นเพราะนางยังไม่สำแดงกระบวนท่าพิเศษออกมา อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้มากพรสวรรค์อันดับสองในหมู่เด็กรุ่นใหม่ของสำนักเซียนหมื่นเวท ดังนั้นการโจมตีของนางย่อมไม่อาจปวกเปียก”

          เหวินเป่ากล่าว “ใช่ นางทั้งเร็วและมีพลังโจมตีที่รุนแรง เพราะฉะนั้นศิษย์พี่คงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมมากหน่อยในการรับมือนาง”

          “เล่ห์เหลี่ยม?” หวังลู่มีสีหน้าไม่อยากเชื่อ “ทำไมต้องทำเช่นนั้นด้วย”

          “นั่นเพราะ… ศิษย์พี่ ความสามารถในการโต้กลับของท่านไม่ได้เป็นผลเฉพาะตอนที่ท่านสู้ระยะประชิดหรอกหรือ”

          แม้จะเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกลำบากใจที่ต้องพูดออกมา แต่แม้แต่เหวินเป่าก็ยังมองออกว่าความสามารถในการตั้งรับระยะไกลของหวังลู่นั้นเท่ากับศูนย์ เจ้าเจียงยวันพ่ายแพ้เพราะเขาเร่งรีบจะเอาชนะ หากเขารักษาระยะห่างและใช้อาคมโจมตีหวังลู่ หวังลู่ก็คงไม่ต่างจากกระสอบทราย

          และแน่นอนว่าเย่เฟยเฟยคือผู้เชี่ยวชาญด้านการโจมตีระยะไกล นางอาจไม่เข้ามาประชิดตัวหวังลู่ด้วยซ้ำ

          หวังลู่หัวเราะ “ภูมิปัญญาชาวบ้าน! ในเมื่อข้ารู้ว่าข้าไม่อาจเอาชนะได้ในการโจมตีระยะไกล เช่นนั้นข้าย่อมหาทางดึงนางมาไว้ใกล้ๆ!”

          เหวินเป่าอึ้งไป “ยังไง แน่นอนว่าใช้อาคมคงไม่ได้ผล อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มาจากสำนักเซียนหมื่นเวท หรือท่านคิดจะใช้สุนัขของท่าน แต่มันก็บินไม่ได้นี่”

          หวังลู่กล่าว “สมองเจ้ามีไม่พอจะแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้หรอก ข้ามีวิธีของข้าแล้วกัน… หากพวกเจ้าอยากจะช่วยออกความคิดละก็ เช่นนั้นก็ช่วยวิเคราะห์การแข่งขันกับหลิวหลีเถอะ”

          “หา?”

          ศิษย์น้องหลายคนที่อยู่ข้างเตียงต่างพากันประหลาดใจ ศิษย์พี่หวังลู่ผู้นี้ทะเยอะทะยานเกินไปแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะเอาชนะรอบรองชนะเลิศ เขากลับจะเตรียมตัวต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศแล้ว หนำซ้ำเขาคิดจริงหรือว่าตัวเองมีโอกาสเอาชนะหลิวหลีได้

          “เหลวไหลน่า แน่ละข้าต้องช่วยนาง อย่างไรเสียเราก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน ต่อให้เราจะต้องมาสู้กันเองในการแข่งขันก็เถอะ ทว่าหากสุดท้ายเหลือแค่เราสองคน คิดว่าข้าจะไม่เล่นงานนางหรือ”

          คำพูดนี้คลายความสงสัยในใจใครหลายคนที่อยู่ที่นี่ โดยเฉพาะกับเหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกที่ไม่คุ้นเคยกับหวังลู่นัก ที่ต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

          ในหมู่พวกเขามีศิษย์น้องหญิงตัวน้อยที่ติดตามเยวี่ยซินเหยามา นางถามศิษย์พี่หญิงเหวินอวิ๋นของนางเบาๆ “ศิษย์พี่หญิง คนของยอดเขาไร้ลักษณ์นี่มีแต่พวกไม่ดีหรือ”

          เหวินอวิ๋นกระดากเล็กน้อย “เรื่องนี้… มีเรื่องเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับยอดเขาไร้ลักษณ์”

          อีกด้านหนึ่ง หวังลู่เริ่มตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับหลิวหลี

          “ตอนนี้ยังไม่มีใครเอาชนะหลิวหลีซึ่งๆ หน้าได้ แม้แต่เพลงกระบี่พลังย้อนกลับของข้าก็ยังไม่อาจเอาชนะเพลงกระบี่กระจ่างใจของนาง ดังนั้นการจะเอาชนะนาง คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้วิธีที่สร้างสรรค์สักหน่อย เมื่อเทียบกับข้าแล้ว พวกเจ้าคุ้นเคยกับหลิวหลีมากกว่า ไหนลองบอกเรื่องชีวิตประจำวันของนางให้ฟังหน่อยซิ แล้วข้าจะดูว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เช่นว่าปกตินางกินข้าวที่ไหน กิจวัตรประจำวันของนางมีอะไรบ้าง”

          ศิษย์น้องหญิงตัวน้อยที่เพิ่งถามคำถามกับเหวินอวิ๋นไปอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้ “ศิษย์พี่หวังลู่ ท่านถามคำถามพวกนี้ทำไม หรือว่าท่านคิดจะวางยาศิษย์พี่หญิงหลิวหลีกัน”

          “เหลวไหล ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะเอาขนมไปฝากนางงั้นหรือ”

“…”

          ศิษย์น้องหญิงหยุนหลวนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ใครกันจะกล้าเอ่ยแผนการณ์ที่ชั่วร้ายออกมาตรงๆ เช่นนี้!?

          หวังลู่สำทับ “นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องนางชอบอ่านหนังสืออะไร นางชอบฟังเพลงแนวไหน… ว่าแต่ว่า นางเคยมีประสบการณ์เรื่องความรักไหม”

          หวังลู่ถามคำถามไปมากมาย เคราะห์ร้ายที่คำตอบนั้นค่อนข้างเปิดเผยไปหน่อย จึงไม่มีใครยอมตอบเขา”

          “เรื่องนั้นพวกเจ้าก็ไม่รู้ เรื่องนี้พวกเจ้าก็ไม่รู้ นี่พวกเจ้าตั้งใจจะมาเยี่ยมข้าจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย” หวังลู่ถอนหายใจอย่างขุ่นเคือง “แต่ช่างเถอะ เอาเงินมาให้ข้าก็พอแล้ว”

          ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งห้องก็ร้างไร้ผู้มาเยี่ยม

——

          ด้านคนของสำนักเซียนหมื่นเวท ค่ำคืนนี้พวกเขาไม่อาจข่มตาหลับได้

          แม้หลังจากที่ผ่านเข้ารอบมาได้ จ้านจื่อเย่กับเย่เฟยเฟยจะรู้สึกหมดเรียวแรง แต่แต่การวิเคราะห์คู่แข่งในรอบถัดไปนั้นสำคัญกว่า

          จากการเตรียมการของผู้อาวุโสทั้งสองฝ่าย การแข่งขันรอบแรกในวันพรุ่งนี้จะเป็นของหวังลู่กับเย่เฟยเฟย แล้วค่อยตามด้วยจ้านจื่อเย่กับหลิวหลี เมื่อได้รู้เรื่องกระบี่คู่อัคคีและวารีของหลิวหลี จ้านจื่อเย่ก็กลับไปบนเรือคลื่นเมฆาเพื่อคิดหาวิธีโต้กลับเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะ ทว่าเย่เฟยเฟยและศิษย์น้องที่เหลือยังอยู่ที่หอชมพูแห่งยอดเขาสระวิญญาณ และช่วยกันปรึกษาหาวิธีรับมือ

          ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ที่เย่เฟยเฟยต้องรับมือด้วยไม่ได้อยู่ที่พละกำลังเหมือนคู่ต่อสู้ของจ้านจื่อเย่ แต่เป็นเล่ห์กระเท่ห์ที่ไม่จบสิ้นของอีกฝ่าย แม้แต่ในการพ่ายแพ้ของเจ้าเจียงยวัน ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะคู่ต่อสู้ใช้ความสามารถที่แท้จริง เมื่อผู้ชมต่างคิดว่าหวังลู่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมในการเอาชนะ เขากลับสู้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเล่ห์เหลี่ยมชนิดหนึ่งเช่นกัน…

          กับคู่ต่อสู้เช่นนี้ การคิดหาวิธีโต้กลับเพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีความหมาย เป็นการดีกว่าหากใช้พลังความคิดของคนหลายๆ คนในการหาวิธีตั้งรับเล่ห์กลทั้งหลายของฝ่ายตรงข้าม

          “เสี่ยวไห่ เจ้ากับหวังลู่คุ้นเคยกันที่สุด มีวิธีที่จะโต้ตอบเขาไหม”

          “ศิษย์พี่หญิงคาดหวังกับข้าเกินไปแล้ว กับหวังลู่นั้น ข้าเองก็จนปัญญา” ไห่อวิ๋นฟานยิ้มหยัน เขายังจำบทสนทนากับหวังลู่เมื่อไม่นานมานี้ได้ ซึ่งทำให้ตอนนี้ใจของเขาเต้นรุนแรงกว่าเดิมมาก ทว่า…คำพูดที่เขาต้องพูด เขาก็ควรพูด

          “ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องคิดมากว่าจะรับมือกับหวังลู่อย่างไร สุดท้ายแล้วในการดวลกันตัวต่อตัว ความแข็งแกร่งคืออันดับหนึ่งในการชี้ขาด จากการแข่งขันสี่รอบที่ผ่านมา เราสาวไปถึงตัวเขาได้ถึงสามรอบ”

          แม้เย่เฟยเฟยจะเรียกพวกเขามาให้ช่วยคิด แต่ว่าศิษย์คนอื่นๆ กลับไม่อาจเค้นเอาความคิดดีๆ ออกมาได้ และครั้งนี้จึงทำได้เพียงเป็นผู้ฟัง

          “สามรอบนั้นเขาเล็งจุดอ่อนทางใจของผู้แข่งขัน ศิษย์พี่ใหญ่ค่อนข้างย่ำแย่ในเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิง ศิษย์พี่สามเกรงกลัวเล่ห์กลของหวังลู่มากไปจนทำให้ใจร้อน ส่วนเหวินเป่าเล่า เป็นไปได้ว่าหวังลู่ใช้เล่ห์กลบางอย่างกระตุ้นศักยภาพของเหวินเป่า ความจริงแล้วหากมองในมุมอื่นมันก็ไม่ยากที่จะวิเคราะห์ออกมาได้ การที่มีอาจารย์และผู้อาวุโสคนอื่นอยู่ด้วย ทำให้หวังลู่ไม่อาจใช้เล่ห์กลได้มากมายนัก เขาใช้พิษหรือ หรือกินโอสถต้องห้าม หรือก่อกวนสถานที่ คำตอบก็คือไม่ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือจู่โจมด้านจิตใจ”

          เหตุผลของไห่อวิ๋นฟานเรียบงายมาก แต่พอเย่เฟยเฟยและอีกสองคนได้ยิน พวกเขาก็เหมือนรู้แจ้งขึ้นมาทันที

          “จากที่เจ้าพูด เช่นนั้นหวังลู่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้ว”

          “อย่างน้อยในการแข่งขันระหว่างสองสำนัก ไม่มีโอกาสให้เขาได้สบช่องมากนัก ดังนั้น…ศิษย์พี่หญิง ตราบใดที่ท่านยังเดินตามจังหวะของตนเอง และไม่หลงไปกับเล่ห์เหลี่ยมของเขา เช่นนั้นชัยชนะจะไปไหนเสีย” ไห่อวิ๋นฟานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม้ศิษย์พี่เจ้าจะแพ้แก่เขา แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ถูกบีบให้ใช้ไพ่ไม้ตาย กระบวนท่าตายตกไปตามกันของเขานั้นมีขีดจำกัดไม่น้อยท่านว่าไหม”

          เจ้าเจียงยวันกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “พอมาคิดดูแล้ว แรงปะทะจากกระบี่ของเขามาจากการที่กระบี่สองลำประสานกัน หมายความว่ากระบวนท่านี้ของเขาย่อมใช้ได้ในระยะประชิด หากข้ารักษาระยะไว้ตั้งแต่ต้นและโจมตีเขาด้วยกระบี่บิน อย่างน้อยข้าก็คงไม่ต้องเจ็บตัว”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “ศิษย์พี่หญิง ท่านเชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ระยะไกล หากมีระยะให้ท่านมากพอ แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ไม่สามารถเอาชนะท่านได้”

          เย่เฟยเฟยหัวเราะ “ข้าจะเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ได้อย่างไร แค่อสนีบาตทำลายล้างของเขาอย่างเดียว ข้าก็ไม่มีปัญญาจะสู้กลับแล้ว… ทว่าหากเป็นไปอย่างที่เจ้าบอก หวังลู่ไร้ความสามารถในการต่อสู้ระยะไกล เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “ทว่าศิษย์พี่หญิง อย่างไรท่านควรจะต้องระวังสักนิด ต่อไปเราจะสรุปเรื่องวิชาไร้ลักษณ์กัน ในเมื่อศิษย์พี่เจ้าได้สู้กับเขา ก็น่าจะมีข้อมูลโดยตรงสำคัญๆ ไม่น้อย”

          เจ้าเจียงยวันพยักหน้า “ถูกแล้ว แม้ข้าไม่อาจพูดว่ารู้ลึกถึงแก่นของวิชานี้ แต่ข้าก็เข้าใจมันไม่น้อย อย่างแรกเลย…”

          …ท่ามกลางเสียงปรึกษาหารืออย่างกระตือรือร้น การเตรียมการก่อนแข่งในครั้งนี้จึงเริ่มเคร่งเครียดขึ้น

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด