กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 12.2 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (2)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 12.2 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 12 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (2)

 

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาเองก็สงสัยเช่นกัน คำกล่าวของหวังลู่เรื่องแท่นบูชานั้นเป็นความจริง ทุกสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างก็มีแท่นบูชาของตัวเองทั้งนั้น แท่นบูชานั้นสามารถควบรวมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินและเปลี่ยนให้เป็นสิ่งวิเศษต่างๆ มากมาย ทว่าสิ่งง่ายๆ เช่นแท่นบูชานี้ สำนักสวะอย่างสำนักเจ็ดดารากลับไม่เคยมีไว้ในครอบครอง นั่นเพราะพวกเขาสร้างไม่เป็นนั่นเอง

แม้แท่นบูชาจะดูเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทักษะและเคล็ดลับที่จะใช้ในการสร้างนั้นกลับสูงลิบอย่างไม่น่าเชื่อ! เจ้าสำนักเจ็ดดารามีตบะเซียนอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่อาจสร้างแท่นบูชาจริงๆ ได้! ณ ตอนนี้ หลังจากที่ออมเงินมาหลายปี สำนักเจ็ดดาราก็ทำได้เพียงซื้อภาชนะหักๆ มาจากหอนภาเร้นลับเท่านั้น พวกเขาจึงจำต้องตั้งค่ายกลห้าธาตุเหนือภาชนะที่ว่าเพื่อเป็น ‘ตั้งบูชา’ ขึ้นมา ดังนั้นอัตราการควบรวมพลังปราณฟ้าดินจึงไม่สูงนัก และของวิเศษที่เปลี่ยนสภาพมานั้นก็มีจำกัด… แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้หลายสำนักอิจฉาแล้ว หากเป็นแท่นบูชาของจริง สำนักอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาไม่กล้าคิดเลยจริงๆ!

สำหรับหวังลู่ แม้เขาจะมีปูมหลังที่โดดเด่น แต่ทว่าเพิ่งบำเพ็ญเซียนมาเพียงสองปีเท่านั้น ตบะเซียนของเขาอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับต่ำ แล้วจะรู้วิธีสร้างแท่นบูชาได้อย่างไร

ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงฮึมาจากหวังลู่ “พวกเจ้าประเมินศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณต่ำไปแล้ว”

พูดจบหวังลู่ก็หยิบหนังสือชื่อ ‘ความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชา โดย ลู่หลี’ ออกมา จากนั้นก็ไล่อ่านไปทีละหน้า

เลือดในกายของธิดาเทพเกือบจะปะทุออกมา “เจ้า…เจ้าเพิ่งจะมาอ่านงั้นรึ!?”

หวังลู่เหยียดยิ้ม “เพิ่งจะอ่าน? คำพูดนี้ถือเป็นการดูหมิ่นศิษย์แถวหน้าชัดๆ ข้าจะบอกให้นะ ศิษย์แถวหน้าที่แท้จริงน่ะไม่ใช่ว่าเพิ่งอ่านตอนที่จะใช้หรอก! ข้าน่ะอ่านมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ข้าก็แค่ทบทวนนิดหน่อย!”

“นี่เจ้า… แต่หนังสือเรื่องความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชานี่อย่างน้อยไม่ใช่สำหรับพวกตบะขั้นสร้างฐานหรอกหรือ เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นหลอมร่างเลย แล้วจะอ่านไปเพื่ออะไรกัน”

“ศิษย์แถวหน้าไม่เคยตั้งคำถามว่าวิชานี้มีประโยชน์หรือไม่ เขาจะถามเพียงว่าวิชานี้ได้คะแนนเท่าไหร่!”

“บ้าเถอะ! นี่มันปกติมนุษย์ที่ไหน! แต่หากเจ้ารู้เพียงทฤษฎีแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมเจ้ายังศึกษาเรื่องนี้เมื่อนมนานมาแล้ว หากเจ้าคิดจะทบทวนตอนนี้ ข้าก็เกรงว่ามันจะสายเกินไป”

หวังลู่ยิ้มหยัน “ด้วยสติปัญญาอย่างท่าน ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจประสิทธิภาพของการทบทวนวิชาของศิษย์แถวหน้า”

“เอาเถอะพ่อศิษย์แถวหน้า แล้วเจ้าคิดจะทบทวนวิชานี้เสร็จเมื่อไหร่เล่า”

หวังลู่ส่งเสียงฮึ “ขอข้าสองนาที”

พูดจบเขาก็เริ่มพลิกหน้าหนังสือแบบสุ่มๆ จากนั้นก็ปิดมัน “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”

“…นี่เจ้าแกล้งทำใช่ไหมเนี่ย”

“การตั้งแท่นบูชานั้นไม่ใช่เรื่องยากหากคำนวณสถานที่ตั้งมาเป็นอย่างดี เลือกประเภทของแท่นบูชาที่เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ และตระเตรียมวัตถุดิบพื้นฐานให้เรียบร้อย ปัญหาที่เหลือก็คือ จะสร้างกระแสพลังปราณเพื่อก่อกำเนิดวงโคจรของพลังปราณฟ้าดินได้อย่างไร เก้าในสิบส่วนของหนังสือความรู้พื้นฐานเรื่องแท่นบูชาเล่มนี้อธิบายถึงกระแสพลังปราณ และในส่วนนี้ข้าก็จำได้จนขึ้นใจแล้ว”

ธิดาเทพขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่หวังลู่กล่าวแม้แต่น้อย

นั่นเพราะนางบำเพ็ญเซียนไม่ได้ เฟิงหลิงจึงไม่ได้สนใจศึกษาทฤษฎีของการบำเพ็ญเซียน ความรู้เกี่ยวกับโลกบำเพ็ญเซียนของนางก็มาจากการได้ยินผู้คนบนภูเขาพูดคุยกัน ดังนั้นพอเป็นเรื่องทฤษฎีที่จริงจัง นางก็ถึงกับมึนงงไม่น้อย

แต่สำหรับตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะกับตาแก่ลามก ซึ่งเกี่ยวพันกับความพยายามหลายต่อหลายครั้งในการตั้งแท่นบูชาของสำนักเก่า หลังจากที่ล้มเหลวต่อเนื่องกัน เขาก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

การสร้างกระแสพลังปราณนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด อาจพูดได้ว่าการตระเตรียมสิ่งอื่นๆ เช่น การเลือกวัตถุดิบ การตั้งค่ายกลที่เข้ากัน รวมถึงการเลือกวันที่เป็นมงคลนั้นก็เพื่อจุดประสงค์นี้ทั้งนั้น

ทว่าการสร้างกระแสพลังปราณนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ซึ่งถือว่ายากพอๆ กับขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว สำหรับสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน ขอเพียงพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกน และหากผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวใช้วิธีนั่งกรรมฐานระดับลึก ก็สามารถควบคุมพลังปราณวิญญาณฟ้าดินเพื่อสร้างวงโคจรของกระแสพลังปราณได้ ทว่า…ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนผู้สูงศักดิ์จะยอมลดตัวสุงสิงกับสำนักเจ็ดดาราได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เป็นการยากที่ผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนจะนั่งกรรมฐานระดับลึกได้โดยไม่มีแหล่งพลังงานจากสำนักที่อยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับต่ำอย่างหวังลู่จะเทียบผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนได้อย่างไร

“อืม เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องจุกจิกเช่นนี้หรอก ขอแค่ไปรวบรวมวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องมาก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

ตาแก่ลามกพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ การตั้งแท่นบูชา สร้างประแสพลังปราณ เรื่องพวกนี้ถือเป็นแก่นความรู้ของสำนัก ไม่แปลกอะไรที่หวังลู่จะไม่แพร่งพรายให้รู้ ทว่า…แล้วพวกเขาจะไปรวบรวมวัตถุดิบมาจากที่ใดเล่า

“แน่นอนว่าเจ้าต้องไปซื้อมา อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้มีอิทธิพลในอาณาจักรเก้าแคว้นนี่ เพราะงั้นเจ้าต้องรู้จักคนที่ขายของพวกนี้สิ จริงไหม”

ขณะพูดหวังลู่ก็หยิบย่ามสีเหลืองหม่นมาจากข้างลำตัว หยิบปากกาและกระดาษออกมา แล้วเริ่มเขียนรายการสิ่งของที่ต้องการลงไป จากนั้นก็โยนมาให้ตาแก่ลามก “ซื้อของที่อยู่ในรายการนี่มา อย่าให้ขาดให้เกินแม้แต่อย่างเดียว”

ตาแก่ลามกมองไปยังรายการแล้วก็รู้สึกอยากกระอักเลือดในทันที “ทองคำระดับเจ็ด ดินดำระดับสี่ เปลวไฟระดับหก ท่านผู้จัดการ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”

อู้เฟยฮวาซึ่งได้ยินสิ่งที่ตาแก่ลามกพูดก็อดเบิกตาโพลงไม่ได้ “ของแต่ละอย่างนี่อย่างน้อยก็ราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ เราจะมีปัญญาจ่ายได้อย่างไร!?”

ครั้งนี้ถึงคราวหวังลู่ประหลาดใจบ้าง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ยึดครองเมืองหลวงของจังหวัดอยู่หรอกหรือ เงินไม่กี่แสนศิลาวิญญาณถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก แล้วกับอีแค่ไม่กี่ร้อยศิลาวิญญาณทำไมเจ้าถึงไม่มีปัญญาจ่าย”

ตาแก่ลามกร้องโอดโอยออกมาทันใด “เงินเป็นแสนศิลาวิญญาณนั่นถือเป็นรายได้ของสำนัก ไม่ใช่รายได้ส่วนตัวของข้าเสียหน่อย! ค่าดูแลจัดการของสำนักก็สูงไม่น้อย หากว่ากันตามตำแหน่งแล้ว เจ้าสำนักย่อมต้องหาประโยชน์จากเงินจำนวนนั้นก่อนผู้อาวุโสทั้งหลาย ดังนั้นกว่าเงินจะมาถึงมือข้าก็เหลือไม่มากแล้ว! หนำซ้ำข้ายังต้องใช้มันไปกับการบำเพ็ญเซียน! เงินที่ต้องใช้จ่ายไปกับโอสถต่างๆ ถือว่าไม่น้อย สุดท้ายข้าก็มีเงินเก็บเพียงไม่กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น!”

หวังลู่ถอนหายใจ “พูดสั้นๆ ก็คือเจ้าไม่มีเงิน ก็ได้ ข้าจะออกให้ก่อน”

จากนั้นเขาก็เปิดย่ามสีเหลืองหม่นแล้วหยิบหยกโปร่งแสงซึ่งมีประกายแวววาวจนคนอื่นๆ ตาพร่าออกมา

“นี่ นี่มันศิลาวิญญาณระดับสูงสุดนี่นา!” แม้จะใช้ชื่อของสำนักเจ็ดดารากวาดเงินมาหลายต่อหลายปี แต่ตาแก่ลามกกลับยังไม่เคยเห็นศิลาวิญญาณชั้นสูงเช่นนี้มาก่อน ศิลาวิญญาณประเภทนี้บริสุทธิ์มากเพราะเปี่ยมไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ศิลาวิญญาณชิ้นนี้มีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณชั้นสูงทั่วไปถึงสิบเท่า แต่กระนั้นหวังลู่กลับดึงมันขึ้นมาจากย่ามอย่างไม่ใส่ใจ! หนำซ้ำศิลาวิญญาณนี่ยังมีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณที่เขาสะสมมาหลายปีด้วยซ้ำ!

แม้แต่ธิดาเทพเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ยอดเขาไร้ลักษณ์โด่งดังเรื่องความอัตคัดมาตลอด แล้วหวังลู่ไปเอาศิลาวิญญาณมีค่าเช่นนี้มาจากไหนกัน

แน่นอนว่าต้องใช้แต้มการเรียนแลกมาแน่ ในฐานะศิษย์แถวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว แม้หวังลู่จะยากจน แต่ก็ไม่ได้ข้นแค้นขนาดนั้น

“เอาห้าร้อยศิลาวิญญาณนี่ไปแล้วไปซื้อวัตถุดิบมาให้ได้ภายในสองวัน จากนั้นเราจะตั้งแท่นบูชากันที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เฮ้ อย่างไรเสียมันก็จะเป็นฐานที่ตั้งหลักของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาของเราแล้ว ดังนั้นก็ควรจะทำให้สวยๆ หน่อย”

……………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด