กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 38 หลิวหลีจะอยู่ในใจของข้าตลอดไป

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 38 หลิวหลีจะอยู่ในใจของข้าตลอดไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

            ความเศร้าคือการบาดเจ็บรูปแบบหนึ่ง ทว่ากว่าที่อาเซี่ยจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว

            หากว่ากันตามอาการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียว หมัดทั้งสองของหวังลู่แม้จะหนักแต่ก็ไม่ถึงตาย ที่รุนแรงยิ่งกว่าคืออาการบาดเจ็บที่เขารับช่วงต่อมาจากราชาพยัคฆ์ก่อนหน้านี้

            แม้อาเซี่ยจะสับเปลี่ยนตัวกับราชาพยัคฆ์ได้สำเร็จ แต่รากฐานของเขาที่เป็นเพียงขั้นสร้างแกนกลับไม่สามารถใช้พลังของขั้นกำเนิดใหม่ได้ดีนัก ตามการคาดคะเนของเขาเอง หากไม่บำเพ็ญเซียนไปอีกสิบปี เขาก็ยังไม่สามารถใช้พลังดั้งเดิมของราชาพยัคฆ์ได้ถึงห้าส่วน แต่เมื่อเทียบกับร่างเดิมของเขา เท่านี้ก็ถือว่าทรงพลังขึ้นมากแล้ว โชคร้ายที่ตอนนี้ร่างของเขาบาดเจ็บสาหัสทำให้เขาเป็นเพียงตบะขั้นกำเนิดใหม่แต่ตัว แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่าตอนนี้ตัวเองนั้นไม่อาจต้านทานหมัดหมัดเดียวของหวังลู่ได้ด้วยซ้ำ

            หลังจากถูกอัดเข้าที่หน้าถึงสองครั้ง อาการบาดเจ็บของอาเซี่ยก็ระเบิดออก ภายในตัวเขาเหมือนถูกไฟผลาญ ศีรษะพยัคฆ์ที่ใหญ่โตเกือบระเบิดร้องไห้ออกมา อีกทั้งร่างกายก็ยังโงนเงนถอยหลังไม่หยุด

            ผู้อาวุโสแห่งสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต่างพากันประหลาดใจ พวกเขารีบเตรียมตัวกำจัดหวังลู่เพื่อปกป้องอาเซี่ย อาคมนานาชนิดถูกร่ายออกมาอย่างต่อเนื่องจนเต็มฟากฟ้าที่อยู่เหนือหุบเขาจันทร์เต็มดวง

            เห็นดังนั้นอาเซี่ยก็ตื่นกลัวจนแทบจะสบถออกมา เขารีบโบกไม้โบกมือห้ามคนเหล่านี้ไม่ให้ทำเรื่องที่โง่เขลา

            หวังลู่เชี่ยวชาญด้านการสะท้อนกลับอาการบาดเจ็บ ดังนั้นหากคนพวกนี้ใช้พลังเต็มแรง มันจะต่างอะไรกับการพยายามฆ่าเขากันเล่า เมื่อครู่หวังลู่สามารถออกหมัดใส่เขาได้เพราะความรู้สึกเจ็บปวดใจในใจ แต่ตอนนี้หากอาคมนับสิบถูกตัวของหวังลู่ละก็ ด้วยวิชาสะท้อนกลับของอีกฝ่าย อาเซี่ยย่อมตายแน่นอน!

            อาเซี่ยไม่ได้หวังตั้งแต่แรกว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้แบบตัวต่อตัว เพราะการท้าประลองข้ามขั้นถือเป็นเรื่องปกติสำหรับศิษย์ผู้สืบทอดของห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นเขาจึงต้องใช้วิธีอื่นต่อกรกับอีกฝ่าย

            “เจ้าไม่อยากได้ยาถอนพิษเพื่อรักษาหลิวหลีหรือ!?”

            นี่คือไพ่ตายของอาเซี่ย เขาเป็นคนมอบมีดสั้นอาบยาพิษที่อยู่ในมือของเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนให้กับนางด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงย่อมมีเพียงอาเซี่ยที่มียาถอนพิษ ถ้าเขาสามารถใช้ยาถอนพิษนี้ต่อรองกับอีกฝ่ายได้ เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ความจริงยิ่งหวังลู่โกรธเกรี้ยวมากเท่าไร มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายใส่ใจหลิวหลีมากขนาดไหน และยิ่งใส่ใจมาก ก็ยิ่งยอมจำนนได้ง่ายขึ้นด้วย

            โชคร้ายที่อาเซี่ยไม่รู้จักหวังลู่ดีพอ

            “ไม่อยากได้”

            ตู้ม!

            ระหว่างที่อาเซี่ยกำลังตกตะลึง หมัดหนักๆ หมัดที่สามก็ตรงมาที่เขา แต่อาเซี่ยเองก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว จึงถ่ายเทพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อเหาะกลับมาด้านหลัง แต่เขาไม่คาดคิดว่าสองหมัดก่อนหน้านี้จะทำให้วิหารหยกถูกเผาไหม้จนไม่อาจใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างที่ต้องการ! เขาได้รับวิญญาณกำเนิดใหม่และร่างกายของราชาพยัคฆ์ ปีกมังกรเมฆานี่ก็มาจากราชาพยัคฆ์เช่นกัน ดังนั้นจึงได้วิชาวายุราชาจึงติดตัวมาด้วย ทว่าตอนนี้กระแสลมกำลังอลหม่านจึงไม่อาจช่วยเขาหลบหนีได้!

            อาเซี่ยเอี้ยวศีรษะหลบอย่างเร่งรีบ ทำให้หมัดของหวังลู่ถากโหนกแก้มของเขาไป ทันใดนั้นใบหน้าดุร้ายของราชาพยัคฆ์ก็บวมออกมาข้างหนึ่ง ในขณะเดียวหันอาเซี่ยก็รู้สึกได้ว่าจิตแห่งเต๋าของเขาซึ่งหลอมรวมเข้ากับจิตสีม่วงอมดำของราชาพยัคฆ์พลันสว่างและปั่นป่วนขึ้น เป็นสัญญาณว่าจิตขั้นกำเนิดใหม่สีม่วงแดงกำลังจะเลือนหาย

            ความเจ็บปวดรุนแรงนี้เกือบทำให้อาเซี่ยขยับตัวไม่ได้ เขาค่อยๆ เสียความควบคุมทั้งพลังอิทธิฤทธิ์และร่างร่างนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือระงับมันก่อนที่จะปะทุออกมา อาเซี่ยพยายามขยับปากทั้งที่ร่างขยับไม่ได้ “หยุดก่อน เจ้าอยากให้หลิวหลีตายจริงหรือ คิดว่านักบวชเนื้อสุนัขนั่นจะชุบชีวิตนางได้หรือยังไง พิษนั่นมีข้าคนเดียวที่แก้ได้ หากไม่ได้กินยาต้านพิษละก็ ในชั่วไม่กี่อึดใจนี้นางย่อมตายอย่างแน่นอน!”

            “งี่เง่า”

            น้ำเสียงของหวังลู่ทั้งเย็นชาและเย้ยหยัน หลังจากปล่อยหมัดออกไปสามหมัด ความโกรธเคืองในใจก็บรรเทาลงไปเล็กน้อย ทำให้เขาไม่อาจออกหมัดเพลิงพิโรธได้อีก

            ความเศร้าไม่ใช่อาการบาดเจ็บรูปแบบหนึ่งซึ่งผิดจากที่อาเซี่ยจินตนาการไว้ เมื่อครู่หวังลู่ใช้การสะท้อนกลับของวิชากระบี่ไร้นามปล่อยเพลิงในวิหารหยกไปยังคู่ต่อสู้ ถือเป็นการไต่เข้าไปในขอบคำสาบานกับปีศาจในใจเลยทีเดียว

            ทว่าคำสาบานกับปีศาจในใจไม่อนุญาตให้เขาไต่ขอบข้อจำกัด หวังลู่เป็นคนกำหนดเป้าหมายและควบคุมข้อจำกัดด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลอกการรับรู้ของตัวเอง หนำซ้ำในเรื่องการควบคุมข้อจำกัด คำสาบานกับปีศาจในใจก็เหมือนการละเล่นที่ต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะ และรางวัลที่ได้จากคำสาบานก็มาจากข้อจำกัดดังกล่าว! ดังนั้นต่อให้หลอกตัวเองได้สำเร็จและไม่ถูกคำสาบานกับปีศาจในใจลงโทษ แต่เขาก็จะไม่ได้รางวัลที่ได้จากคำสาบานอยู่ดี!

            ต่อให้เป็นแค่การไต่ขอบ แต่คำสาบานกับปีศาจในใจก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวง ทว่าการมีอยู่ของคำสาบานกับปีศาจในใจเป็นสิ่งจำเป็นในแผนการใช้ชีวิตของหวังลู่ ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะไต่ขอบทั้งยังต้องการคำสาบานกับปีศาจในใจ ก็มีทางเดียวที่จะทำได้ นั่นคือยอมรับความจริงว่าเขาไต่เข้ามาในขอบข้อจำกัดและยอมรับการลงโทษของคำสาบานกับปีศาจในใจ คำสาบานกับปีศาจในใจกุมชีวิตของเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงต้องผลาญพลังชีวิตของตัวเองเพื่อสังเวยให้อีกฝ่ายจนกว่ามันจะพอใจ

            แน่นอนว่าชีวิตนั้นล้ำค่าและเปราะบาง การจุดไฟเพื่อเผามันตรงๆ จึงไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย ดังนั้นหวังลู่จึงเลือกที่จะใช้วิธีชดเชย

            “…พลังปราณโดยกำเนิดนี่เป็นของดีจริงๆ”

            หวังลู่ถอนหายใจอยู่ในใจ หากอาจารย์ของเขาไม่สอนกลเม็ดเล็กๆ นี้ให้ เขาย่อมไม่มีวิธีสับขาหลอกคำสาบานกับปีศาจในใจเพื่อทำร้ายศัตรูแน่ ทว่าเขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ก่อนจะลงจากเขามา ผู้เป็นอาจารย์ได้พร่ำเตือนเขาอยู่หลายรอบ “เจ้าใช้พลังปราณชีวิตเหยียบเข้าไปในขอบคำสาบานได้ แต่เจ้าจะผิดคำสาบานกับปีศาจในใจตรงๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าตายแน่!”

            และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อครู่เขาปล่อยหมัดไปแค่สามหมัด แต่แต่ละหมัดนั้นคำสาบานกับปีศาจในใจได้ผลาญอายุขัยของเขาไปถึงสิบปี! พลังของคำสาบานกับปีศาจในใจที่ผูกมัดไว้ช่างน่าสะพรึงจริงๆ แค่ไต่ขอบคำสาบานสามครั้งยังทำให้เขาเสียอายุขัยไปถึงสามสิบปี! แล้วนี่หากเขาผิดคำสาบานตรงๆ โดยการกวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนใส่ฝ่ายตรงข้ามแม้เพียงกระบวนท่าเดียว อายุขัยหลายร้อยปีของหวังลู่ในตอนนี้จะไม่ถูกผลาญไปหมดสิ้นในทันทีหรอกหรือ

            ทว่าในความคิดของหวังลู่ การที่ต้องจ่ายไปสามสิบปีถือว่าคุ้มค่า

            แน่นอนว่าไม่ได้คุ้มค่าที่ทำให้อาเซี่ยพ่ายแพ้ย่อยยับ การใช้อายุขัยสามสิบปีไปกับเศษสวะเช่นนั้นสำหรับเขาถือว่าเปล่าประโยชน์ แต่มันหมายถึงการดับความโกรธที่ปะทุอยู่ในวิหารหยกของเขาต่างหาก แม้มันก็ยังหลงเหลือร่อยรอยที่ไม่อาจลบเลือนได้ก็ตาม

            ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิวหลีบาดเจ็บรุนแรง จิตเซียนไร้ลักษณ์ในวิหารหยกของเขาทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพลิงสีแดงเข้มปะทุขึ้นและผลาญทุกอย่างที่อยู่ในวิหารหยก มันคือเพลิงแห่งคำสาบานของปีศาจในใจจากที่เขาได้สาบานกับปีศาจในใจไว้ ดังนั้นเมื่อไรที่ต้องเผชิญกับความปั่นป่วนทางอารมณ์ขนานใหญ่ เพลิงปีศาจที่เทียบเท่าเพลิงสวรรค์จะปรากฏออกมา ทว่าหลังจากที่หวังลู่ปลดปล่อยหมัดทะเลเพลิงออกมา วิหารหยกของเขาก็กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว แต่ที่ผิวนอกของจิตเซียนไร้ลักษณ์กลับปรากฏรอยแผลสีดำที่ยากจะลบเลือนขึ้น

            แน่นอนว่าหากต้องการ เขาย่อมมีวิธีมากมายที่จะขจัดรอยแผลนี้ ทว่าหวังลู่กลับอยากเก็บมันไว้ เขาต้องการจดจำบทเรียนที่ต้องสูญเสียอายุขัยสามสิบปีนี้ไว้ นักผจญภัยมืออาชีพนั้นแม้จะดุดันแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่ารู้แจ้ง ความพลั้งเผลอเพียงชั่วครู่ทำให้เขาไม่อาจปกป้องคนรอบกายที่มีค่าควรปกป้อง… แล้วบทเรียนเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเก็บรักษาไว้หรือ

            ส่วนหลิวหลีที่ถูกพิษนั้น… มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

            หลังจากปล่อยหมัดไปสามหมัดอารมณ์ของหวังลู่ก็สงบลง ทว่าตอนนี้อาเซี่ยกลับต่างจากหวังลู่ เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนคนจมน้ำที่พยายามตะเกียกตะกายคว้าฟางเอาไว้ ทันทีที่คิดว่าตัวเองพบหนทางรอดชีวิตเขาก็รีบพูดขึ้น

            “เจ้าคิดว่าตัวเองมาจากห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนแล้วจะเที่ยวออกอาละวาดในอาณาจักรเก้าแคว้นได้หรือ แน่ละ ศิษย์ชั้นนำอย่างเจ้าย่อมต้องมียาช่วยชีวิตที่ผู้อาสุโสมอบให้ซึ่งสามารถถอนพิษได้นับหมื่นชนิด แต่พิษกร่อนกระดูกผลาญดวงใจของข้าไม่อยู่ในหมื่นชนิดนั่น แล้วจะรักษาได้ง่ายๆ ได้ยังไง! หนำซ้ำด้วยรูปกายที่โด่ดเด่นของผู้ฝึกจิตกระบี่กระจ่างใจ ทันทีที่ถูกพิษพิษจะกระจายไปทั่วร่าง หากไม่ได้ยาถอนพิษจากข้า หลิวหลีจะต้องตายอย่างแน่นอน!”

            เสียงรีบเร่งของเสี่ยวชีดังขึ้นราวกับเป็นเสียงสะท้อนของอาเซี่ย

            “หวังลู่ ข้ารักษาอาการพิษของหลิวหลีเรียบร้อยแล้ว”

            “หา?”

            อาเซี่ยตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่งจากนั้นก็คำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “คิดจะเล่นเล่ห์กับข้าหรือ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีตบะเพียงขั้นสร้างแกนอย่างเจ้าจะแก้พิษกร่อนกระดูกผลาญดวงใจของข้าได้ยังไง เจ้า…”

            ขณะพูด ศีรษะพยัคฆ์ของเขาก็ก้มลงไปมอง เขาเห็นนักบวชเนื้อสุนัขยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่หัวล้านคนหนึ่ง แสงแห่งเซนที่อ่อนละมุนปรากฏออกมาจากร่างของพวกเขาและเข้าไปโอบล้อมกายหลิวหลีเอาไว้ หญิงสาวบาดเจ็บสาหัสและมีใบหน้าซีดเซียว แต่รอยสีดำที่แสดงอาการว่าถูกพิษกร่อนกระดูกผลาญดวงใจกลับไม่มีอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าพิษของเขาจะถูกขจัดไปแล้วจริงๆ…

            “เป็นไปไม่ได้!?”

            ตาของอาเซี่ยแทบจะถลนออกมาจากเบ้า มีดสั้นอาบยาพิษในมือของเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนเป็นของโบราณที่เขาได้มาหลังจากได้รับโอกาสแห่งเซียนที่หาได้ยากยิ่งเมื่อหลายปีก่อน มันเป็นมีดสั้นโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี แม้ความรุนแรงของพิษจะลดลงไปมากแล้ว แต่ก็ยังถือว่าเป็นพิษแปลกที่อันตราย แตกต่างจากพิษซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นอย่างสิ้นเชิง แม้แต่สำนักหมื่นพิษหรือสำนักที่ถนัดด้านนี้ยังยากที่จะแก้พิษได้…แล้วนี่นางเป็นเพียงนักบวชเซนไร้ชื่อ เหตุใดจึงแก้พิษนี้ได้!?

            อาเซี่ยคิดไว้ว่า ทางเดียวที่หวังลู่จะทำได้คือใช้งานยันต์สวรรค์และพาทุกคนกลับไปยังสำนักกระบี่วิญญาณ จากนั้นจึงให้เหล่าผู้อาวุโสกำจัดพิษ ทว่าพอใช้งานยันต์สวรรค์แล้ว จะมีเพียงหวังลู่ หลิวหลี และฉวนโจ่วฮวาเท่านั้นที่หนีไปได้ แต่ไม่ใช่สัตว์เซียนภูตจันทราและนักบวชเซนเนื้อสุนัขเพราะทั้งสองไม่ได้ประทับตราไว้บนยันต์ ดังนั้นยันต์จึงไม่นับรวมคนทั้งสองในการเคลื่อนย้าย ถึงตอนนั้นต่อให้เขาไม่สามารถจับตัวหวังลู่ แต่ก็ยังจับตัวภูตจันทราที่ถูกทิ้งไว้ได้

            ไม่คิดเลยว่าไพ่แห่งชัยชนะของเขากลับล้มเหลว ทุกคนรับรู้ได้ว่าอาเซี่ยนั้นตกตะลึงเพียงใด

            “เจ้าอยากรู้งั้นหรือ เรื่องนี้ง่ายมาก ไม่ใช่ว่าเจ้าประมาทความสามารถของเสี่ยวชีในการทำให้พิษสิ้นฤทธิ์ แต่เจ้าประมาทความสามารถในการต้านพิษของหลิวหลีต่างหาก”

            หวังลู่ผ่อนคลายลงแล้ว เขาจึงสามารถอธิบายต่อได้อีกหลายประโยค

            “เจ้าฉลาดที่ไม่เอาข้าเป็นเป้า แต่แม้มีดสั้นนั่นจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มันก็เป็นเพียงสิ่งของที่ไร้ชีวิต แม้พิษที่เคลือบไว้จะรุนแรง แต่ก็ไม่มีพลัง ต่อให้เป้าหมายคือข้า ความสามารถในการต้านพิษของข้าก็จะขับพิษส่วนใหญ่ออกไปได้ แม้ในทางทฤษฎีร่างกายที่กระจ่างใสของหลิวหลีนั้นแทบจะไร้ความสามารถในการต้านพิษ และหากนางถูกพิษแม้แต่เจ้าสำนักก็อาจปวดหัวได้ ทว่าแม้ร่างของนางจะมีจุดอ่อนหลายอย่าง แต่นั่นไม่รวมความสามารถในการต้านพิษ”

            เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวังลู่ก็อดขำออกมาไม่ได้ “ยัยทึ่มนี่เป็นคนตะกละ ทุกครั้งที่เห็นอะไรใหม่ๆ นางก็อยากจับยัดใส่ปากทันที ไม่สนด้วยซ้ำว่ามันจะมีอันตรายรึเปล่า หนำซ้ำนางยังไม่รู้จักเรียนรู้สักครั้ง นางต้องทรมานจากอาการอาหารเป็นพิษมานับครั้งไม่ถ้วนตอนที่อยู่บนสำนักที่เงียบสงบ ดังนั้นผู้อาวุโสจึงไม่มีทางเลือกนอกจากให้นางกินยาขับพิษเพื่อป้องกันไม่ให้ตายก่อนหมดอายุขัย ตอนที่นางลงเขามาเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เมื่อหลายปีก่อน รายงานการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของนางนั้นไม่ต่างจากบันทึกเรื่องอาหาร จนทำให้อาจารย์ของนางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าเบื้องหลังของบันทึกอาหารนั้น นางได้ลิ้มลองความขมของพิษนานับชนิดในหลายสิบประเทศของอาณาจักรเก้าแคว้นมาแล้ว บทหนึ่งในบันทึกของนางเขียนไว้ว่า วันนี้ข้ากินเต้าหู้หวานและติ่มซำเนื้อ รู้สึกไม่สบายตัวเลย… เจ้าว่าเบื้องหลังบันทึกนี่ได้ซ่อนวิกฤตและความเจ็บปวดไว้มากมายขนาดไหนกัน นางสามารถเอาตัวรอดจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เช่นนี้มาได้ แล้วเจ้าคิดว่าร่างกายของนางต้องมีความสามารถในการต้านพิษสูงส่งแค่ไหนล่ะ”

            เขาหยุดพูดและมองอาเซี่ยที่ใบหน้าถอดสีด้วยแววตาล้อเลียน

            “ดังนั้นการใช้พิษต่อกรกับหลิวหลีก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย”

            ก่อนที่เสียงของเขาจะเงียบลง เสียงหงุดหงิดกระวนกระวายใจของเสี่ยวชีก็เร่งขึ้น “อย่ามัวเสียเวลาพล่ามอยู่เลย แม้พิษในร่างของนางจะถูกขจัดหมดแล้ว แต่การถูกพิษจู่โจมปุบปับสร้างความเสียหายใหญ่หลวงกับนาง ดังนั้นสถานการณ์ของนางจึงยังเข้าขั้นวิกฤต ข้าทำได้เพียงกดไม่ให้มันทวีความรุนแรงขึ้น ตอนนี้นางยังไม่พ้นอันตราย เจ้ารีบทำในสิ่งที่ต้องทำแล้วมาช่วยข้าเร็วๆ เถอะ!”

            “ข้ารู้”

            พูดจบหวังลู่ก็คลายหมัดแล้วชักกระบี่แห่งเขาคุนออกมา สายตาเย็นเยียบจับจ้องไปที่ร่างของอาเซี่ย

            “หมดเวลาคุยแล้ว ได้เวลาส่งเจ้าไปตามทางเสียที”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด