กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 10.1 มีปฏิกิริยาตอบสนองทรงพลังอยู่ข้างหน้า ทรงพลังและรุนแรงไม่น้อย (1)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 10.1 มีปฏิกิริยาตอบสนองทรงพลังอยู่ข้างหน้า ทรงพลังและรุนแรงไม่น้อย (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็ไม่ได้กินเจ้าสุนัขโง่นั่น

เขาไม่อยากกินเพราะกลัวว่าหากกินมันเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสติปัญญาของเขา

ก่อนหน้านี้ หวังลู่ใช้คำพูดป้อยออวดอ้างว่าเนื้อสุนัขเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก… ความจริงแล้ว แม้กลิ่นของมันจะหอมไม่เบา แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ก็เหมือนกับหญิงสาวบนเวทีประกวดนางงามนั่นละ ยากเกินไปที่จะตัดสินได้ว่าใครควรจะเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง ทว่าไม่น่าเชื่อที่เจ้าสุนัขโง่จะเชื่อถึงขนาดที่พยายามกัดตัวเองเข้าจริงๆ ซึ่งดูน่าจะเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว…

ดังนั้นหวังลู่จึงตัดสินใจได้ว่าสติปัญญาของเจ้าสุนัขนี่คงอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์พี่หญิงหลิวหลีเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วไม่เสี่ยงกินจะดีที่สุด

ส่วนซาลาเปาไส้เนื้อห้าลูกก่อนหน้านั้น… เหอะ สิ่งที่เสียไปไม่อาจหวนคืน ไปแล้วไปลับไม่กลับมา เขาอุตส่าห์เก็บรักษาพวกมันไว้เกือบปี สุดท้ายแล้วก็ต้องเสียเปล่าทั้งนั้น

ความจริงตอนที่เจ้าสุนัขเริ่มพูดออกมา หวังลู่ก็เลิกล้มความคิดที่จะกินเนื้อของเจ้านี่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กินเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา การกินสัตว์อื่นย่อมเพิ่มพลังงานให้แก่เขาอย่างแน่แท้ หากเป็นบนเขาเมฆาคราม หวังลู่ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงความคิดแน่ ทว่าแทนที่จะกินเนื้อของมัน สุนัขพูดได้นั้นมีมูลค่าสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าหน้าตาของเจ้านี่จะไม่โดดเด่น แต่ในเมื่อมันสามารถวิ่งผ่านกระแสน้ำทมิฬมาได้ มันย่อมต้องรู้มีความลับมหาศาลเป็นแน่ และในเมื่อมันพูดได้ ก็ควรจะลวงให้มันคายข้อมูลออกมาแทนที่จะกินมันจะดีกว่า

ดังนั้น…

“เจ้าเป็นใคร”

“โฮ่ง?”

“มาจากไหน”

“บรู๋ว?”

“เกิดที่นี่หรือ”

“แบ๊ก?”

“แม่เจ้าชื่ออะไร”

“โฮ่งๆ”

“ระยำ ทำไมเจ้าไม่ตอบ”

“เหนื่อยเกินอ่ะ โบร๋ว”

ดังนั้น หวังลู่จึงได้รู้ว่าการที่จะให้เจ้าสุนัขโง่นี่พูดภาษามนุษย์ออกมาเป็นเรื่องยากลำบากไม้น้อย หากไม่ใช่เพราะมันเกือบถูกตุ๋นเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมในหม้อเมื่อคืนก่อนละก็ มันคงไม่คิดจะพูดออกมาเป็นแน่ ดังนั้นหวังลู่จึงเริ่มคิดที่จะเรียนภาษาสุนัขเพื่อเอาไว้สื่อสารกับมัน

และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่หวังลู่ใช้ซาลาเปาอีกสองสามลูกล่อหลอกให้อีกฝ่ายพูด เขาก็พบว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้นั้นหน้าโง่อย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะพูดภาษามนุษย์หรือร้องเพลงได้อย่างไพเราะ แต่สวรรค์ทรงโปรด มันกลับจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมาจากไหน ตอนที่หวังลู่พยายามเค้นให้มันตอบ มันก็เริ่มเห่าอย่างร้อนรนและทิ้งตัวลงเกลือกกลิ้งกับพื้น แสดงท่าทางให้เห็นว่าอดีตของมันนั้นเหลือทนเกินกว่าจะจดจำ

หลังจากทอดถอนใจว่าปัญญาของเจ้าสุนัขนั้นต่ำเตี้ยเกินจะเยียวยา หวังลู่ก็หยิบหม้อ ชาม และเครื่องปรุงออกมาเพื่อเตรียมอาหารอีกครั้ง เจ้าสุนัขมีท่าตกตะลึง “เจ้าจะกินอะไรน่ะ”

“ข้าจะเลี้ยงเนื้อสุนัขเจ้าเอง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไป”

แม้เจ้าสุนัขตัวนี้จะเบาปัญญาเพียงใด มันก็รู้ดีว่าตัวเลือกมีเพียงข้อเดียว นั่นคือลองกินเนื้อสุนัขไม่ก็รักษาชีวิตตัวเองไว้ มันรีบส่ายหัวในทันที “ข้าไม่อยากกิน”

“งั้นข้ากินคนเดียวก็ได้”

“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเจ้ายังยืนกรานจะกินข้าอยู่ได้ เราไม่ใช้สหายกันรึ”

หวังลู่มองอย่างประหลาดใจ “ข้าไปเป็นเพื่อนกับสุนัขอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”

เจ้าลูกสุนัขงุนงง “ข้ากินซาลาเปาไส้เนื้อของเจ้าไปแล้ว แปลว่าเป็นสหายกันชั่วชีวิต”

“พล่ามอะไรเนี่ย เจ้ากินซาลาเปาไส้เนื้อของข้าไป แปลว่าเจ้าติดหนี้ข้าต่างหาก”

เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดอกขึ้นแสดงท่าทีจงรักภักดีเต็มขั้น “ท่านพูดถูก ข้ากินซาลาเปาของท่าน แปลว่าข้าได้รับความกรุณาจากท่าน ดังนั้นจากนี้ไป ข้าจะเป็นน้องชายผู้ซื่อสัตย์ ท่านสั่งให้ทำอะไรข้าจะทำทั้งนั้น”

หวังลู่ก่นด่าเจ้าสุนัขโง่เง่าอยู่ในใจ ทว่าแม้มันจะหน้าโง่แต่ก็จงรักภักดีสูงและดูเชื่อใจมนุษย์ ซาลาเปาไส้เนื้อห้าลูกซื้อสุนัขได้จริงๆ

“ก็ดี งั้นเข้ามาในชามของข้าเสียดีๆ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หวังลู่ก็ได้สหายร่วมการเดินทางเอาตัวรอดในแดนปรลัยแห่งนี้

เมื่อพิจารณาจากระดับสติปัญญาของเจ้าสุนัขนี่ เห็นได้ชัดว่ามันก็ไม่เหมาะที่จะกิน ในเมื่อเขากินมันไม่ได้ จึงทำได้เพียงเก็บไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แม้เจ้าสุนัขหน้าโง่นี่จะพูดและร้องเพลงได้ แต่เวลาส่วนใหญ่มันก็แทบไม่ต่างจากสุนัขทึ่มๆ ตัวอื่น หลังจากที่มันนับเขาเป็นเจ้านาย ก็มักจะวิ่งพัวพันรอบตัว กระโดดไปรอบถ้ำ กระดิกหางดิ๊กๆ ยิ้มโง่ๆ แสดงความพออกพอใจขณะรอคอยซาลาเปาลูกใหม่จากหวังลู่อยู่เงียบๆ… ในฐานะสัตว์เลี้ยงสมองกลวง เจ้านี่ถือว่าทำได้ไม่เลว

วันแล้ววันเล่าผ่านไป และเพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ชายหนุ่มและสุนัขเผชิญกับกระแสน้ำทมิฬ จัดการเหล่าวิญญาณที่มาวนเวียนอยู่หน้าถ้ำ และออกเดินสำรวจอยู่ในภูเขาฝั่งตกวันตกด้วยกัน… วันทั้งวันพวกเขาไม่ได้พูดจากันมากนัก ทว่าหวังลู่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนว่าเจ้าสุนัขนี่ย่อมไม่ใช่สุนัขธรรมดา เพราะสุนัขธรรมดาไม่มีทางโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้ คำอ้างที่มันบอกว่าจำไม่ได้ว่ามาจากไหนหรือตัวมันเองชื่ออะไรล้วนเป็นไม่ใช่คำลวง เจ้าสุนัขนี่จำไม่ได้จริงๆ… ความจริงแล้วมันจำได้เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองสามเดือนก่อนหน้านี้เท่านั้น ซึ่งก็คือตอนที่จู่ๆ มันก็มาปรากฏตัวที่แดนปรลัยแห่งนี้ ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ มันพยายามหลีกหนีจากอันตรายรอบด้าน เลี่ยงเหล่าสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ล่าสิ่งที่ตัวเล็กและอ่อนแอกว่า ยามที่กระแสน้ำทมิฬมาเยือน มันก็เรียนรู้จากสัตว์ประหลาดอื่นๆ ที่คู้ร่างอยู่ในถ้ำ

ไม่นานมานี้ กระแสน้ำทมิฬซึมทะลุเข้ามายังถ้ำที่มันอาศัยอยู่ เจ้าสุนัขตระหนักถึง

มหันตภัยที่คืบคลานเข้ามา จึงไม่รอให้เหล่าวิญญาณเข้ามาในถ้ำ มันรีบวิ่งออกมาจากถ้ำ หัวซุกหัวซุนอยู่ในความมืดอย่างหมดหวัง และมันก็เจอถ้ำของหวังลู่ด้วยความบังเอิญอย่างที่สุด ทั้งยังเกือบจะกลายเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมอยู่ในหม้อด้วยซ้ำ

นอกจากนี้เจ้าสุนัขตัวนี้ยังทรงพลังกว่าสุนัขทั่วไป แม้มันจะสูงแค่เพียงหนึ่งฉื่อ แต่ความแข็งแกร่ง ความเร็วโดยเฉพาะชุดฟันของมันนั้นเทียบเท่าได้กับเสือไม่ก็สุนัขป่า ไม่สิ แม้แต่เหล่าสัตว์ที่ดุร้ายเหล่านั้นอาจถูกกัดจนถึงตายในรอบที่สองหรือสามหากต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสุนัขนี่เข้า

เจ้าพันทางตัวจ้อยนี่อาจจะตัวเล็กและซื่อบื้อ แต่หากจัดระดับตามมาตรฐานของสำนักกระบี่วิญญาณ มันจะจัดอยู่ในสัตว์ร้ายขั้นสูงระดับสอง หนำซ้ำนี่ยังไม่นับรวมความสามารถพิเศษอื่นๆ ที่เจ้าพันทางตัวนี้อาจมีด้วยซ้ำ

สัตว์ประหลาดทั่วไปมักจะมีความสามารถพิเศษที่เป็นข้อได้เปรียบในการเอาตัวรอด อย่างวานรหินและวานรไม้ที่หวังลู่เจอที่เขาเมฆาครามนั้นก็มีผิวหนังหนาผิดธรรมดา ส่วนวานรผีนั้นเก่งกาจด้านลวงตาและร่ายมนต์ เจ้าสุนัขหน้าโง่นี้จำความสามารถของมันไม่ได้ สองวันแรกที่พวกเขาออกสำรวจด้วยกัน หวังลู่รับรู้ได้เพียงข้อเดียว คือมันมีระบบย่อยอาหารที่เป็นเลิศสุดๆ

แดนปรลัยนั้นไร้อาหาร แม้เนื้อของสัตว์ประหลาดบางชนิดจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่หวังลู่ก็ไม่คิดกินมันเพื่อทดสอบความสามารถในการต้านพิษของร่างกายตนเอง… ทว่าเจ้าพันทางนี่กลับกินเนื้อเหล่านั้นอย่างมีความสุข

วันนี้หวังลู่และเจ้าสุนัขหน้าโง่ร่วมแรงกันออกสังหารสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ได้ตัวหนึ่ง หวังลู่ใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์เป็นอาวุธ ขณะที่เจ้าสุนัขหน้าโง่ใช้เขี้ยวคมๆ ฉีกคอของฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นซากของสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ย่อยสลายอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงสสารข้นๆ กึ่งน้ำกึ่งของแข็งซึ่งส่งกลิ่นเหม็นอย่างหนัก

หวังลู่คิดในใจว่ากองอุจจาระยังน่าจะกินได้กว่ากองสสารนี่ ทว่าน้ำลายของเจ้าสุนัขหน้าโง่กลับไหลย้อยท่วมปาก มันพุ่งเข้าไปกัดกินสสารกองนั้นอย่างรวดเร็ว

“เจ้ากินของพรรค์นั้นด้วยเรอะ… ตัวตนจริงๆ ของเจ้าคือเชื้อรารึเปล่าเนี่ย”

“โบร๋ว?”

“ช่างเถอะๆ… รีบๆ กินเข้า”

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด