กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 38.1 กระบี่แห่งสัจจะ (1)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 38.1 กระบี่แห่งสัจจะ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“จะให้ข้าประทานกระบี่เล่มไหนให้” ใบหน้าของหลิวเสี่ยนเคร่งขรึม เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ

หวังลู่ตอบ “กระบี่แห่งสัจจะ”

หลิวเสี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งมองหวังลู่ด้วยสายตาเคร่งเครียดเป็นเวลานาน จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ “เจ้าต้องการใช้สิ่งนี้พิสูจน์ความบริสุทธิ์งั้นหรือ เช่นนั้นก็ได้ ข้าตกลงตามนั้น”

ทันทีที่หลิวเสี่ยนพยักหน้า ฟางเฮ่อก็กล่าวขึ้นอย่างลังเล “ศิษย์พี่ แต่แบบนี้มันไม่เป็นไปตามกฎ”

หลิวเสี่ยนฮึดฮัด “ข้ารู้ ศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณขอให้ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ประทานกระบี่แห่งสัจจะให้เป็นเรื่องที่ชวนตะลึงอย่างมาก ทว่าในเมื่อเขาออกปากเอง กฎของสำนักก็กำหนดไว้เช่นกันว่าข้าเองก็ห้ามปฏิเสธ”

“แต่กระบี่แห่งสัจจะใช้จิตเซียนเร้นลับ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณคนไหนจะทนได้แน่”

ในหลายๆ สำนัก หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ คนผู้นั้นอาจร้องขอให้ผู้อาวุโสประทานกระบี่แห่งสัจจะกับตน จากนั้นผู้อาวุโสจะใช้จิตเซียนของกระบี่ตรวจสอบจิตใจของคนผู้นั้น หากคนผู้นั้นสามารถทนต่อการตรวจสอบของกระบี่ได้ ก็จะพิสูจน์ได้ว่าคนผู้นั้นบริสุทธิ์

แน่นอนว่ากระบี่นี้ทรงอานุภาพเสียจนยากที่จะต้านทาน อานุภาพของกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้อยู่ที่ความทรงพลังหรือความคมของมัน แต่อยู่ที่พลังของจิตเซียนที่สั่งสมอยู่ในกระบี่ ที่จะไต่ถามพลังวิญญาณขั้นปฐมโดยตรง

คำถามที่ถามนั้นสามัญมากๆ เช่น จิตใจของเจ้ารู้สึกผิดหรือไม่

หากใช่ กระบี่นี้จะพุงเข้าแทงทะลุหัวใจและกรีดพลังวิญญาณขั้นปฐมจนคนผู้นั้นตายชนิดที่ไร้บาดแผล หากจิตของคนผู้นั้นผ่องใส ไม่ว่ากระบี่จะไต่ถามสักเท่าไหร่ สวรรค์จะถล่ม โลกจะพลิกคว่ำ หรือภูเขาทั้งหมดจะพังทลายเขาจะรู้สึกเพียงมีสายลมพัดผ่านเท่านั้น ทว่าการทำจิตให้ผ่องใสนั้นพูดง่ายกว่าทำ แม้คนผู้นั้นจะบริสุทธิ์ ในชีวิตก็ย่อมต้องมีความรู้สึกผิดแม้เพียงเล็กน้อยอยู่บ้าง อย่างเช่น ขี้เกียจบำเพ็ญเซียนหรือพูดนินทาลับหลังผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่หากจิตใจของคนผู้นั้นรู้สึกผิดแม้เพียงน้อยนิด คนผู้นั้นก็มิอาจซ่อนสิ่งนี้จากกระบี่แห่งสัจจะและจะกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ได้

แน่นอนว่ากระบี่แห่งสัจจะยังเปิดช่องว่างให้อยู่ ทำให้เหล่าศิษย์สามารถหักล้างพลังของกระบี่ได้หลายส่วน ต่อให้คนผู้นั้นมีความรู้สึกผิดแม้เพียงน้อยนิดอยู่ในใจ ก็ยังจะสามารถรอดชีวิตมาได้ ดังนั้นแม้กระบี่แห่งสัจจะจะไม่แม่นยำทั้งร้อยส่วน แต่วิธีนี้ก็ช่วยหลีกเลี่ยงการกล่าวหาอย่างผิดๆ ดังนั้นหลายสำนักจึงยังคงใช้กระบี่แห่งสัจจะอยู่ เพียงแค่ทั้งพันธมิตรหมื่นเซียน มีศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณเพียงน้อยนิดที่จะกล้าร้องขอกระบี่แห่งสัจจะ

นั่นเพราะสำหรับศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณแล้ว พวกเขายังไม่อาจหักล้างพลังของวิธีนี้ได้! ในการบำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เหล่าศิษย์จะเน้นฝึกพลังปราณฟ้าดินและพลังอิทธิฤทธิ์ของตน ส่วนการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมจะเน้นฝึกในขั้นตบะถัดไปซึ่งคือขั้นสร้างฐาน แน่ละว่าไม่ได้แปลว่าศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณไม่อาจฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมได้ ทว่าแม้แต่ผู้ที่พัฒนาพลังวิญญาณขั้นปฐมได้อย่างรวดเร็วเช่นเยวี่ยซินเหยา ก็ไม่ได้เรียกใช้งานมันมากนักนอกจากต้องต่อสู้จริงๆ ซึ่งต้องใช้ร่วมกับค่ายกลอีกด้วย แน่ละว่าเยวี่ยซินเหยาไม่ได้คิดจะไปต่อสู้กับใคร แบบแผนการบำเพ็ญเซียนของนางมีขึ้นเพราะจุดประสงค์บางอย่างโดยเฉพาะ

ในความคิดของฟางเฮ่อ การที่ศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณอย่างหวังลู่ร้องขอกระบี่แห่งสัจจะ ก็เหมือนการร้องขอปัญหาชัดๆ

ฟางเฮ่อถาม “เจ้าคิดว่าวิชาไร้ลักษณ์ของเจ้าโด่งดังเรื่องการตั้งรับ ดังนั้นเจ้าจะสามารถต้านทานกระบี่แห่งสัจจะได้เช่นนั้นหรือ”

หวังลู่ตอบกลับ “ศิษย์ไม่อาจโอหัง ดังนั้นขอให้ท่านลุงประทานกระบี่อีกสามวันนับจากนี้”

“สามวันนับจากนี้?”

“ถูกต้อง ศิษย์ขอเวลาเตรียมตัวสามวันเพื่อรับมือกับกระบี่”

หลิวเสี่ยนเหยียดยิ้ม “เจ้าคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมประวิงเวลาล่ะสิ”

หวังลู่กล่าว “ศิษย์มิกล้า ศิษย์จะไปเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่ฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญา ท่านลุงจะไปดูด้วยตาตัวเองก็ย่อมได้”

“ฐานที่มั่นหลักของสำนักภูมิปัญญา? หมู่บ้านตระกูลหวังน่ะหรือ ตกลง เราจะไป”

หลิวเสี่ยนกึ่งร้อนใจกึ่งสงสัย

ท่าทางที่หวังลู่แสดงออกมาในตอนนี้ไม่ใช่แสร้งทำ หลิวเสี่ยนมีประสบการณ์การอ่านผู้คนมาทั้งชีวิต เหตุใดเขาจะดูไม่ออกว่าหวังลู่มั่นใจในตนเองจริงหรือเพียงคุยโว เขาเป็นเพียงศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณ แต่กล้าร้องขอการตรวจสอบจากกระบี่แห่งสัจจะ สำนักตั้งใหม่อย่างสำนักภูมิปัญญาที่มีผู้ติดตามเป็นมนุษย์ปุถุชนหนำซ้ำผู้บำเพ็ญเซียนยังต้องอาศัยรากวิญญาณหกประสานจะจัดเตรียมอะไรได้ในเวลาเพียงสามวัน ไม่เพียงแค่สามวัน ต่อให้เขาให้เวลาถึงสามปี นอกจากว่าหวังลู่จะฝึกวิหารหยกของตนและพัฒนาจากตบะขั้นฝึกปราณเป็นตบะขั้นสร้างฐานได้ เช่นนั้นแล้วต่อให้อีกฝ่ายตระเตรียมการมากมายอย่างไร กระบี่แห่งสัจจะก็ยังเหนือชั้นกว่าอยู่ดี!

ความจริงแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ในโลกแห่งเซียน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากที่จะรับมือกับกระบี่แห่งสัจจะ ต่อให้คนผู้นั้นบริสุทธิ์จริงๆ ด้วยซ้ำ ทว่าหวังลู่ที่มีตบะเพียงขั้นฝึกปราณกลับพยายามเอาชนะสิ่งที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากจะเอาชนะได้… ฮ่า! นี่เจ้านั่นคิดว่าตัวเองฝึกกระบี่กระจ่างใจมาหรืออย่างไร

หลังจากเหยียดยิ้ม หลิวเสี่ยนก็สะบัดมืออุ้มหวังลู่ขึ้นมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่สีทองและเหาะตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหวัง

ฟางเฮ่อส่ายศีรษะจากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่เหมือนผู้เป็นศิษย์พี่ และเหาะตามไป

เหวินเป่าและเยวี่ยซินเหยาที่ถูกทิ้งไว้ในห้องมองหน้ากันอย่างหวาดกลัว ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอับจนหนทาง เจ้าอ้วนไม่อาจซ่อนความวิตกต่อหน้าศิษย์น้องหญิงได้ เขาจึงถามออกไป “ศิษย์น้องหญิง สองสามวันมานี้ศิษย์พี่ทำอะไรบ้าง”

เยวี่ยซินเหยายิ้ม “ท่านถามผิดคนแล้ว สองวันก่อนข้าไม่ได้ติดตามศิษย์พี่ไปไหน ตอนที่เราออกนอกเมือง เขาส่งตัวข้าให้คนของเขาเพื่อจัดการโน่นนี่มากมาย ข้าทั้งต้องลงนามเอกสาร ต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา ขอบอกตามตรง ตอนนั้นข้าเองก็สับสนไม่น้อยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ส่วนเรื่องของศิษย์พี่นั้นก็อย่างที่รู้ๆ อยู่”

“มันลึกลับเพียงนั้นเชียวหรือ” เหวินเป่าผงะ “ดูท่าว่าศิษย์พี่คงเตรียมการหลายอย่างเอาไว้แล้ว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ต่อให้เขาเตรียมตัวมากกว่านี้ มันจะช่วยชีวิตเขาได้จริงๆ หรือ

“แทนที่จะถามข้า ข้าว่าท่านไปถามผู้อาวุโสห้าจะดีกว่า นางน่าจะเข้าใจศิษย์พี่หวังลู่มากกว่าใครๆ”

เมื่อเหวินเป่าเดินลงมายังชั้นล่างของโรงเตี๊ยมและเห็นผู้อาวุโสห้ากำลังนั่งดื่มและกินอยู่ หญิงสาวผู้นั้นก็ยิ้มให้ “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากผู้อาวุโสห้า เหวินเป่าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทว่าจากนั้นเขากลับได้ยิน…

“ต่อให้ตาเฒ่าฟางจับตัวหวังลู่ไปแล้วเปลี่ยนเจ้านั่นให้เป็นวัวไม่ก็ม้า หรือเอาไปขังลืมสักพันปี ตราบใดที่ข้ายืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ถูกลากเข้าไปเอี่ยวแน่นอน”

เหวินเป่าตื่นตระหนก “ท่านอาห้า ที่ท่านบอกว่าไม่เป็นไร หมายถึง…”

“แน่นอน หมายถึงข้านี่แหละที่ไม่เป็นไร! เจ้าหวังลู่จะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า! เจ้านั่นมีธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลอยู่ในประเทศต้าหมิง แต่กลับไม่ส่งมาให้อาจารย์ของตัวเองสักศิลาวิญญาณเดียว!”

เมื่อใช้วิชากระบี่บิน ปรมาจารย์เทพเซียนขั้นกำเนิดใหม่จะใช้เวลาเพียงสิบถึงสิบห้านาทีจากเมืองหลวงของประเทศต้าหมิงมายังหมู่บ้านตระกูลหวังที่อยู่ห่างไกลในหุบเขาหูสุนัข

ทว่าเมื่อพวกเขาเหาะมายังหมู่บ้านตระกูลหวัง หลิวเสี่ยนก็อดตกตะลึงไม่ได้

สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาไม่ใช่หมู่บ้านบนภูเขาที่แห้งแล้ง หรือตำหนักโอ่อ่าที่เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเน่าหนอนอย่างที่คาดเอาไว้ พื้นที่โดยรอบใจกลางหมู่บ้านตระกูลหวังในรัศมีหลายร้อยลี้เต็มเป็นทุ่งวิญญาณขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหญ้าวิญญาณและหญ้าอายุวัฒนะหลายหลากชนิด แม้ระดับจะไม่สูงนัก แต่เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลอย่างดี และเติบโตได้อย่างน่าพึงพอใจ

ที่วิเศษไปกว่านั้นก็คือ แม้พลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่จะไม่เข้มข้นมากนัก แต่ก็ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แทบจะไม่มีตรงไหนที่สูญเปล่า มันถูกแจกจ่ายไปยังสถานที่ต่างๆ บนภูเขาอย่างมีระบบและทั่วถึง หนำซ้ำที่ใจกลางหมู่บ้านตระกูลหวัง ยังมีแท่นบูชาทรงกลมหน้าตาประหลาดที่สร้างกระแสพลังปราณฟ้าดินขึ้นมา ทำให้มีแหล่งพลังงานฟ้าดินส่งไปยังทุ่งวิญญาณอย่างไม่ขาดตอน

“ไม่เลว”

หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนฟ้าพักใหญ่ แม้หลิวเสี่ยนจะไม่เห็นด้วยที่หวังลู่ผลาญพลังงานของตนเองไปกับลัทธิเช่นนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าการจัดการในฐานที่มั่นหลักของลัทธิแห่งนี้ทำได้ดีมาก แม้ไม่อาจเทียบกับสำนักใหญ่ๆ ได้ แต่ก็แทบไม่แตกต่างจากสำนักระดับเก้าสักเท่าไร

หวังลู่ยิ้มพลางอธิบาย “แม้สำนักภูมิปัญญาจะเริ่มตั้งขึ้นที่หมู่บ้านตระกูลหวัง แต่สภาพของที่นี่ก็ไม่นับว่าดีเลิศ ดังนั้นระดับการพัฒนาจึงเป็นไปอย่างจำกัด… ทว่าหลังจากที่ข้าเข้ามาแก้ไข รูปแบบฮวงจุ้ยของที่นี่ก็เปลี่ยนไป ในอีกไม่เกินห้าสิบปี พลังปราณฟ้าดินตามแนวฮวงจุ้ยของที่นี่ย่อมต้องเข้มข้นมากขึ้น และที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของเหล่าเซียนอย่างแท้จริง”

หลิวเสี่ยนเฝ้าดูอีกพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหวังลู่

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด