กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 9.1 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (1)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 9.1 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 9 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (1)

 

“พูดสั้นๆ ในความคิดข้า โลกนี้เต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์ สุนัขป่าหาผลประโยชน์กับกระต่าย กระต่ายหาผลประโยชน์กับพืช พืชหาผลประโยชน์กับดิน… หากเราไม่ยืนอยู่บนจุดเหนือสุด เราย่อมต้องเสียบางสิ่งไปเช่นกัน เช่นเดียวกับการเก็บภาษี แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงพวกโง่เง่าในโลกนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายอาจเรียกว่าภาษีสติปัญญาก็ย่อมได้ แทนที่จะเสียภาษีที่ว่านี่ให้สำนักเจ็ดดารา ซึ่งเป็นพวกลวงโลกน่ารังเกียจ สู้เสียให้ข้าเสียยังดีกว่า”

ในโถงหลัก หวังลู่ซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ที่ม้านั่งยาว กล่าวคำเหล่านี้ออกมาด้วยท่าทางเยือกเย็น

เบื้องหน้าเขามีคนสี่คนนั่งอยู่

หนึ่งในนั้นคือเถ้าแก่เนี้ย หญิงสาวเอามือกอดอก นางมีสีหน้าไม่เห็นด้วยแต่บางครั้งก็ปนสีหน้าเป็นกังวล

ที่นั่งข้างๆ นางคือตาแก่ลามกเหออวิ๋น ผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดดาราในตอนนี้เป็นอิสระจากการถูกมัดแล้วทั้งยังถูกเชิญให้นั่งเก้าอี้อีกด้วย เขาเพลิดเพลินกับการปฏิบัติที่พิเศษนี้ไม่น้อย แต่เพราะคนข้างๆ คือเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ ตาแก่ลามกจึงรู้สึกไม่สบายตัวราวกับเป็นโรคริดสีดวงทวารอย่างไรอย่างนั้น

คนถัดไปคือผู้บำเพ็ญเซียนหญิงทรงเสน่ห์รูปร่างกลมกลึงประหนึ่งนาฬิกาทราย คู่บำเพ็ญเซียนของตาแก่ลามกนั่นเอง นางชื่ออู้เฟยฮวา เป็นผู้ติดต่อที่ประจำอยู่ในอำเภออู่โหว หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ยั่วยวนตามธรรมชาติ ทั้งยังฝึกวิชาร่วมประเวณีของโลกเซียนด้วย ทุกการเคลื่อนไหวของนางช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก โชคร้ายที่ตอนนี้ ใบหน้าของนางบวมเป่ง ทั้งยังบาดเจ็บภายในอีกหลายจุด ความจริง นางเกือบจะบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับหนึ่งได้แล้ว แต่กลับถูกขัดขวางจากหมัดของบางคนเสียก่อน ดังนั้นความทุกข์ใจของนางจึงยากที่จะกล่าวออกมา สีหน้าดูมีความอ่อนข้อให้อย่างจำนน เช่นเดียวกับเหออวิ๋น การต้องนั่งร่วมห้องกับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์และหวังลู่ ทำให้นางกระสับกระส่าย เหงื่อเย็นๆ ไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

ข้างๆ อู้เฟยฮวาคือเหวินเป่าที่งุนงงสุดขีด ก่อนหน้านั้นเขายืนคุมเชิงอยู่ที่ด้านนอกของลานบ้าน แล้วจากนั้นไม่นานผู้คุ้มกันก็นำจดหมายเรียกตัวเขาไปข้างในจากหวังลู่มาให้ ภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้าช่างเข้าใจได้ยากยิ่ง ทั้งเขายังต้องมาฟังทฤษฎีที่ลึกลับซับซ้อนอีกด้วย

“ศิษย์พี่หวังลู่ มะ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

หวังลู่ยิ้ม “ก็ที่ข้าพูดไปก่อนหน้า กฎแห่งสวรรค์กำหนดเอาไว้ว่าพวกมนุษย์ผู้โง่เง่าในโลกนี้จำต้องจ่ายภาษีสติปัญญา และในการดำเนินการตามกฎแห่งสวรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ ข้าจึงตัดสินใจที่จะตั้งสำนักขึ้นมา”

“หา?” คางอวบอ้วนของเหวินเป่าแทบจะร่วงลงสู่พื้น

หวังลู่พูดต่อ “จุดประสงค์ของสำนักก็คือจัดเก็บ จัดการ และใช้ภาษีสติปัญญาของเหล่าผู้โง่เขลาบนโลกนี้อย่างดี รวมทั้งดูแลจัดการความสนใจของพวกโง่เขลาอย่างจริงจัง”

เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้น “ดูแลจัดการความสนใจของพวกเขาเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”

“แน่นอนว่าเกี่ยว” หวังลู่ตอบเสียงนุ่ม “โดนข้าเอาเปรียบยังดีกว่าโดนสำนักเจ็ดดาราเอาเปรียบ”

“หึ! ต่างที่ตรงไหนกัน”

“หากท่านจะถูกข่มขืน เจ้าจะเลือกถูกเจ้าชายรูปงามข่มขืนหรือสัตว์ประหลาดจากบนภูเขาข่มขืนกันเล่า”

“เปรียบเทียบระยำอะไรของเจ้า!? ข้าไม่เลือกทั้งนั้น!”

หวังลู่หัวเราะ “ความคิดของสาวโสดไม่ถือว่าเป็นความเห็นพ้องของทุกคน พูดสั้นๆ ก็คือเรื่องนั้นเป็นความจริง ตราบเท่าที่สำนักของข้าจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าสำนักเจ็ดดารา ในสายตาของเหล่าคนโง่งม ข้าก็ถือว่าได้ภาษีสติปัญญาจากพวกเขาแล้ว ทว่าไม่ว่าสำนักเจ็ดดาราจะน่ารังเกียจขนาดไหน แต่ก็ยังมีประวัติยาวนานหลายร้อยปี ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่เราจะจัดการอะไรๆ ได้ดีกว่า แต่โชคดีที่ข้ามีข้อได้เปรียบอยู่สองสามข้อ

ข้อแรกเป็นข้อได้เปรียบทางทฤษฏี แม้ว่าสำนักเจ็ดดาราจะรู้อาคมมากมายเพื่อเอาไว้ใช้ล่อลวงผู้คน แต่กลับขาดแก่นทฤษฎีที่คงเส้นคงวา พวกเขาตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเราจึงต้องฝึกวิถีแห่งเซียน เราฝึกวิถีแห่งเซียนไปทำไม จะทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว แต่เราตอบคำถามเหล่านี้ได้เพราะมีระบบความคิดตามหลักทฤษฎีที่สมบูรณ์แบบ”

เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้นอีกรอบ “เจ้ามีระบบความคิดตามหลักทฤษฎีอะไรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

หวังลู่ตอบหน้าตาย “ข้าเพิ่งคิดได้เมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานี่เอง”

“…”

“ข้อที่สองคือมีการจัดการที่เหนือกว่า เพราะเป็นสำนักระดับสวะ การจัดการของสำนักเจ็ดดาราจึงหละหลวม ระบบก็ยุ่งเหยิง ประสิทธิภาพในการจัดการสิ่งต่างๆ ก็ต่ำเตี้ย ทว่าพวกเรานั้นแตกต่าง เรามาจากห้าสำนักวิเศษที่มีระบบการจัดการที่ก้าวหน้ากว่า ซึ่งช่วยพัฒนาการดำเนินการของสำนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่างๆ ลงได้”

“ฮ่าๆ…” เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะอย่างอ่อนแรง

“ข้อสามคือการปกครองบุคลากร คนในสำนักเจ็ดดาราส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขี้แพ้ที่ไม่มีใครเอาและเหล่าศิษย์โง่เง่าฉ้อฉล ซึ่งต่างขาดศรัทธาและความปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้า บุคลากรของพวกเขาช่างมีคุณสมบัติต่ำเตี้ย แต่พวกเรานั้นแตกต่างออกไป ดูข้าเป็นตัวอย่าง ข้าไม่เพียงครอบครองรากวิญญาณที่ประเสริฐที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน ซึ่งก็คือรากวิญญาณนภา ข้ายังได้เรียนรู้วิชาบำเพ็ญเซียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ขั้นตบะของข้าในตอนนี้จะยังไม่สูงนัก แต่ก็ก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยมและมีรากฐานที่แข็งแกร่ง…ซึ่งแปลว่าเรามีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพของบุคลากรอย่างเหลือล้น”

“ฮ่าๆๆ”

“ข้อที่สี่คือ…”

เถ้าแก่เนี้ยยกมือห้ามเขา “พอได้แล้ว เลิกพ่นเรื่องเหลวไหลไร้ประโยชน์นี่สักที บอกพวกเรามาว่าเจ้าต้องการอะไร”

“พูดง่ายๆ คือ ข้าอยากให้พวกเรารวมตัวกันก่อตั้งสำนัก ข้าเลยเรียกรวมตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างไรเล่า”

เถ้าแก่เนี้ยพูดเยาะ “เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจแต่อย่าลากข้าเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องไร้เหตุผลนี่เลย ข้าไม่สนใจเป็นสมาชิกลัทธินอกรีตหรอกนะ”

พูดจบนางก็ลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป

หวังลู่ทำเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ตามแผนการของข้า สำนักนี้ต้องมีทูต ซึ่งทูตที่ว่านี่นอกจากจะต้องสวยล้างโลกแล้ว ยังต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งบุคลิกยังต้องโดดเด่น จากทุกคนที่ข้ารู้จัก ก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติเช่นนี้แล้วนอกจากท่าน”

เถ้าแก่เนี้ยเปล่งเสีย “โอ้” ออกมาด้วยท่าทีไม่แยแส จากนั้นก็นั่งลงแต่โดยดี

จากนั้นเจ้าอ้วนก็กระมิดกระเมี้ยนยกมือขึ้น “ศิษย์พี่หวังลู่ ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”

หวังลู่ตอบเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องรู้ให้มากความนักหรอก!”

“อ้าว…” เจ้าอ้วนก้มหัวลงด้วยความอับอาย

“เอาเป็นว่าในเมื่อไม่มีใครมีความเห็นเป็นอย่างอื่น งั้นสำนักของเราก็ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยยกมือ “เราคุยเรื่องนี้มาก็พักใหญ่แล้ว แต่เจ้ามีชื่อสำนึกหรือยังเถอะ”

“แน่นอนว่าต้องมี ตามเป้าประสงค์ของสำนักที่มีขึ้นเพื่อจัดการและใช้สอยภาษีสติปัญญาของพวกที่โง่เขลา…

ก็ชื่อว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นแล้วกัน”

“ระยำเอ๊ย! ชื่อบ้าชื่อบออะไรของเจ้า!?”

“เรียกสั้นๆ ว่าศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา ให้แรงบันดาลใจดีไม่น้อยเลย ว่าไหมล่ะ”

“แรงบันดาลใจบิดาเจ้าสิ! น่าขายหน้าล่ะไม่ว่า!”

“แน่ละว่าชื่อศูนย์อากรเชาวน์ปัญญานั้นออกจะดูล้ำสมัยไปหน่อย เพราะฉะนั้นเราจึงจะจำกัดการใช้ให้เป็นการภายในในระดับสูงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราจะใช้ชื่อว่า สำนักภูมิปัญญา”

“ก็ยังฟังดูแปลกอยู่ดี”

“ชิ ท่านน่ะแหละที่มันสมองขุ่นมัวที่สุดแล้ว ก่อนอื่นพวกเจ้าทุกคนต้องปรบมือก่อนสิ”

แปะๆๆ เสียงปรบมืออย่างขอไปทีดังไปทั่วห้อง

ผ่านไปอึดใจใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยก็ถอนหายใจออกมา “ยินดีกับเจ้าด้วยที่กล้าเสี่ยงที่จะโดนผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฆ่าตายข้อหาจัดตั้งลัทธินอกรีตทันทีที่ลงจากภูเขามา แล้วอย่างไร บอกทีว่าเจ้าจะจัดการกับสองคนนี้อย่างไร”

พูดจบ หญิงสาวก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่สองนักโทษสงครามจากสำนักเจ็ดดารา ทั้งสองตัวสั่นเทิ้มในทันที เหงื่อเย็นๆ เริ่มหลั่งไหลลงมาราวกับน้ำตก พวกเขาหวาดกลัวว่าจะถูกฆ่าเพื่อไม่ให้ความลับรั่วไหล

โชคดีที่หวังลู่ไม่มีความตั้งใจจะฆ่าพวกเขา ทั้งยังหัวเราะด้วยซ้ำ “ขั้นต่อไปก็คือพัฒนาคณะทำงานที่ทรงพรสวรรค์ของเราให้มากขึ้น”

ขณะพูดเขาก็มองไปที่ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา

เถ้าแก่เนี้ยจ้องมองด้วยความสงสัยและโพล่งออกมา “หวังลู่ ความหมายของเจ้าคงไม่ใช่ต้องการให้สองคนนี้…?”

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด