กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 31 ว่าแล้วว่าพวกรู้ตื่นมักมีอายุไม่ยืน…

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 31 ว่าแล้วว่าพวกรู้ตื่นมักมีอายุไม่ยืน... at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การเผชิญหน้ากันระหว่างเหวินเป่ากับจูฉินกินเวลาไม่นาน จูฉินนั้นพลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ทว่าก่อนที่เขาจะทันเปิดปากพูดวาจาสุมไฟ ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยก็ขัดขึ้นมา “ข้าว่าไปคุยกันต่อข้างในเถอะ พวกท่านเห็นว่าอย่างไร”

จูฉินนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม “ก็ดี ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยเท่าไหร่ เข้าไปข้างในกันดีกว่า”

พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไป โดยไม่ได้ถามไถ่ความเห็นของเหวินเป่าสักนิด

เหวินเป่าเหม่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เข้าไปข้างใน? ย่อมได้ ในเมื่อเจ้าอนุญาตแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็นำไปเถอะศิษย์น้องจูฉิน”

ฝีเท้าของจูฉินหยุดลงในทันใด

“ข้าไม่ได้พบเจ้าแค่ไม่กี่เดือน แต่เจ้ากลับเปลี่ยนไปมาก ศิษย์น้องเหวิน แต่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องดี ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า ข้าขอแนะนำอะไรเจ้าหน่อย สำนักกระบี่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งในห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน เมื่อเทียบกับสำนักชั้นต่ำสำนักอื่นๆ เจ้าถือว่าเหนือกว่าพวกเขามาก ดังนั้นพอเจ้าลงเขามา เจ้าอาจจะเข้าใจผิดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เจ้าอยู่บนเขามากนัก แต่ความแข็งแกร่งนี้ใช้ได้กับพวกผู้ฝึกเซียนอิสระเท่านั้น เจ้าน่ะ…”

น่าเศร้าที่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เหวินเป่าก็ขัดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “เมื่อครู่ข้าบอกให้เจ้านำไปก่อนไง ไม่ได้ยินหรือ หากเจ้าอยากพูดต่องั้นก็หลบไป อย่ามัวขวางทางเดินเช่นนี้”

จากนั้นเขาก็สืบเท้าไปข้างหน้าพยายามจะเข้าไปในห้อง จูฉินมองเหวินเป่าอย่างแปลกใจกึ่งๆ ไม่เชื่อสายตา เขาหยุดยืนนิ่ง อยากรู้ว่าเหวินเป่าจะเดินผ่านเขาไปอย่างไร

หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน จูฉินเองก็รู้ได้เช่นกันว่าการบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่าก้าวหน้าไปอย่างมาก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณแต่ละคนรู้ดีว่าขั้นตบะและระดับของการบำเพ็ญเซียนนั้นไม่ได้เทียบเท่ากับพละกำลังที่แท้จริง เมื่อหลายเดือนก่อน ฉากที่อาวุโสห้าของสำนักกระบี่วิญญาณที่มีตบะขั้นสร้างแกน สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จากสำนักเซิ่งจิงได้อย่างง่ายดายยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์หลายคน

ขั้นตบะของเหวินเป่าในตอนนี้อยู่ในขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ซึ่งเป็นระดับเดียวกับจูฉิน! แปดเดือนมานี้ ประสบการณ์ที่เขาได้รับแปลกประหลาดมหัศจรรย์กว่าเยวี่ยซินเหยามากนัก การฝึกฝนที่สั่งสมมาตลอดสองปีในสำนักพัฒนาขึ้นมาก นอกจากระดับเซียนของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นแล้ว วิชากระบี่ การร่ายอาคม รวมถึงการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมยังก้าวหน้าขึ้นอย่างมหาศาลอีกด้วย พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อเทียบกับแปดเดือนก่อน! เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าเจ้าหมูตอนไร้ประโยชน์คนเดิมคนนี้จะล้ำหน้ากว่าเขาได้ในเวลาเพียงแปดเดือน ต่อให้รากวิญญาณของเหวินเป่าจะดีกว่าเขาก็ตาม

ดังนั้นเขาจึงหยุดยืนนิ่ง ขณะเดียวกันนิ้วก้อยและนิ้วโป้งที่มือขวาก็สัมผัสกัน คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระจ่ายไปทั่วร่าง ผิวของเขากระด้างขึ้นจนกลายเป็นเหล็ก พร้อมกันนั้นเท้าทั้งสองข้างก็เชื่อมต่อกับพื้นที่ยืนจนมั่นคงราวก้อนหิน

ณ จุดนี้ ต่อให้มีใครเอาค้อนที่ต้องอาศัยกำลังของชายฉกรรจ์เป็นสิบคนในการหลอมมาตีเขา เขาก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ผงะถอยหลังแม้เพียงครึ่งก้าว ทุกวันนี้ความประทับใจของผู้คนที่มีต่อผู้บำเพ็ญเซียนอยู่ตรงที่พวกเขาสามารถเหาะเหินไปบนกระบี่บิน กระโดดขึ้นกำแพงและหลังคาได้ แต่ความจริงแล้ว หากจำเป็นพวกเขาก็สามารถยืนได้อย่างมั่นคงกว่าผู้ใด

“ศิษย์พี่จูฉิน ศิษย์พี่เหวินเป่า พวกท่าน…” เยวี่ยซินเหยาคิดจะขัดขวางการปะทะไร้สาระลงเสีย โชคร้ายที่ก่อนนางจะได้ทำอะไร เหวินเป่าก็สาวเท้าเข้ามาก้าวหนึ่งและชนจูฉินเข้าที่ด้านหน้า!

ตู้ม!

หลังเสียงชนดังสนั่นเงียบลง จูฉินที่มีสีหน้ายากจะเชื่อก็เซถอยหลังไป ขาข้างหนึ่งก้าวลงบนธรณีประตู ส่งเสียงดังเปรี๊ยะ จากนั้นธรณีประตูก็พังลงมา

“เจ้า…แค่ก!”

จูฉินกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ใครจะคาดคิดว่าจู่ๆ เขาจะเจ็บที่หน้าอกขึ้นมา ทำให้ไอออกมาอย่างต่อเนื่องจนพูดไม่ได้ การชนที่รุนแรงเมื่อครู่นี้นอกจากจะทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ของเขากระเจิงแล้ว ยังทำให้หายใจติดขัดและเจ็บที่ปอดอีกด้วย

แม้การบาดเจ็บจะไม่รุนแรง และพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาสามารถกลับมาเป็นปกติได้ภายในการโคจรเพียงรอบเดียว ทว่าเขาพ่ายแพ้ไปหนึ่งกระบวนท่า และไม่ใช่พ่ายแพ้แก่ใครที่ไหน แต่ระยำเถอะ เขาพ่ายแพ้ให้เหวินเป่า! สีหน้าของจูฉินเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง เขารู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน

ฝ่ายเหวินเป่านั้น เขากำลังจะใช้โอกาสนี้ก้าวข้ามประตูไป แต่แล้วญาณมองเห็นของเขาก็จับภาพของศิษย์น้องเยวี่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจได้ ความปีติก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจในทันใด

เขาคิดในใจ ‘ฮ่าๆๆ! จูฉินจอมสารเลว! เจ้าไม่เพียงชนกับข้าเฉยๆ แต่ชนอย่างแรงเสียด้วย บิดาของเจ้าคนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานมาแปดเดือน หน้าที่นี้ต้องใช้ความแข็งแกร่งมหาศาล! หากเราแข่งร่ายอาคมหรือประมือกันตัวต่อตัวในสนามประลอง ไม่แน่ว่าโอกาสที่ข้าชนะอาจจะไม่สูงมาก แต่เจ้าคิดจะเอาชนะข้าเรื่องความแข็งแกร่งงั้นหรือ แม้แต่หัวหน้าหน่วยอื่นที่อยู่ในขั้นสร้างฐานยังไม่อาจเอาชนะข้าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับต่ำอย่างเจ้า เจ้าหาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ เชียว ฮ่าๆๆ ข้าขอโทษด้วย แม้ศิษย์พี่หวังลู่จะพูดอยู่เสมอว่า การทำตัวเป็นจอมวายร้ายอวดเก่งเพื่อกดคนอื่นให้จมดินจะเป็นหนึ่งในสิ่งหยาบช้าที่สุดสามสิ่งในโลกนี้ แต่บิดาเจ้าคนนี้รักมันยิ่งนัก!”

——

การปะทะกันที่หน้าประตูทำให้ท่าทีของจูฉินอ่อนลงกะทันหัน ดังนั้นตอนที่ทั้งสามเข้ามาในห้องและหาที่นั่งที่เหมาะควรให้ตนเอง อำนาจจึงตกอยู่ในมือของเหวินเป่าอย่างสมบูรณ์

แม้จูฉินจะส่งสายตาปรามไปให้เหวินเป่า แต่อีกฝ่ายก็ยังพุ่งไปที่เก้าอี้ประธานและจากนั้นก็เป็นคนเปิดบทสนทนา “ฮ่าๆๆ ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราพี่น้องจะได้มาเจอกันในครั้งนี้ นึกว่าจะเจอกันอีกทีก็ตอนกลับไปบนเขาอีกหลายเดือนข้างหน้า แคว้นธาราครามช่างกว้างใหญ่ แต่เราก็มาเจอกันที่ประเทศต้าหมิง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ!”

จูฉินทำเสียงฮึดฮัด หันไปมองด้านหลังของห้องโดยไม่ได้พูดอะไร เยวี่ยซินเหยายิ้มบาง “นับเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”

เหวินเป่าพูดต่อ “หาได้ยากที่พวกเราสามคนได้มารวมตัวกัน ทำไมไม่แลกเปลี่ยนกันสักหน่อยเล่าว่าแปดเดือนที่ผ่านมาพวกเราพบเจออะไรกันมาบ้าง ศิษย์น้องเยวี่ย ข้ารู้มาว่าเจ้าไปสำรวจสุสานโบราณ ได้รับอันตรายบ้างหรือไม่”

เยวี่ยซินเหยาประหลาดใจ นางยังไม่ชินกับท่าทีมั่นอกมั่นใจและร่าเริงของเหวินเป่าเช่นนี้ ทว่าในเมื่อเขาถามนาง เยวี่ยซินเหยาจึงตอบอย่างกระตือรือร้น “ไม่มีสิ่งใดอันตรายเลย… ข้าว่าที่นั่นน่ากลัวกว่าอันตรายมากนัก”

“ศิษย์น้องหญิงถ่อมตัวไปแล้ว หากที่นั่นน่ากลัวกว่าอันตรายจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมามากขนาดนี้ แม้ขั้นตบะของเจ้ายังอยู่ที่ขั้นฝึกปราณระดับเจ็ดช่วงกลาง แต่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้ากลับเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับหกแล้ว”

ศิษย์น้องหญิงส่ายศีรษะ “ศิษย์พี่คาดคะเนพลังและขีดจำกัดของพลังวิญญาณขั้นปฐมของข้าได้แม่นยำนัก ข้าเองยังต้องใช้เวลาใคร่ครวญก่อนเลย”

เหวินเป่ากล่าว “การฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมและการฝึกปราณสมควรสอดประสานกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมที่สุด ดังนั้นศิษย์น้องหญิงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้กับการฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมอย่างเดียวก็ได้”

“อืม ขอบคุณที่เตือนสติข้า ศิษย์พี่ ข้าจะระวังให้มากกว่านี้”

ระหว่างการสนทนา สีหน้าของเหวินเป่าสงบผ่อนคลาย ทว่าในใจนั้นมีความสุขเสียจนแทบจะเป็นลม สองปีที่ผ่านมานี้ที่เขากระบี่วิญญาณ เขาแทบไม่เคยสนทนาพาทีเช่นนี้กับเยวี่ยซินเหยา แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ผู้ดีเลิศคนนี้ไม่ต้องการพลาดโอกาสนี้ไป มันช่างอิ่มเอมและชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก!

เหวินเป่าผู้รู้ตื่นนี่ช่างดีจริงๆ!

ขณะเดียวกัน จูฉินที่คลายความจองหองลงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก ในใจได้แต่สงสัยว่าการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นอกสำนักนั้นวิเศษถึงขั้นที่ทำให้สวะกลายเป็นคนใหม่ได้เลยหรือ นี่มันช่าง…ผิดปกติยิ่งนัก!

ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในโถงหลักของวิหารประทีปยังคงสนทนากันต่อไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้มีเพียงเยวี่ยซินเหยาคนเดียวที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่ต้องสนทนาเรื่องส่วนตัวในสถานที่ของทางการ ทว่าเหวินเป่ากลับพูดอย่างใจเย็นว่าวิหารประทีปเป็นสถานที่ที่คอยดูแลจัดการเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน และพวกเขาทั้งสามก็สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องผู้บำเพ็ญเซียน เช่นนั้นแล้วสถานที่นี้จึงเหมาะสมที่สุด!

ขณะที่พูดคุยกัน เหวินเป่าซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความฮึกเฮิมที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเช่นเขาไม่คุ้นชินนักก็รู้สึกสุขใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่เขายังคงเป็นผู้คุมการสนทนา เขาย่อมดึงความสนใจของอีกสองคนไปยังเรื่องอื่นได้ และเมื่อคู่สนทนาอีกสองคนลืมเรื่องเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาไป นั่นย่อมแสดงว่าเขาได้รับชัยชนะ!

ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก เหวินเป่าจึงหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างกายขึ้นมาจิบ “แม้จะเย็นชืดแล้ว แต่รสชาติก็ยังดีเยี่ยม!”

จูฉินหันไปเห็นสีหน้าเขินอายของเยวี่ยซินเหยาจึงพูดเย้าว่า “แน่ล่ะว่านี่คือชาชั้นเลิศ ดื่มชาค้างถ้วยของคนอื่นเช่นนี้ ศิษย์…พี่เหวินเป่า นอกจากขั้นตบะเจ้าจะพัฒนาขึ้นแล้ว ยางอายของเจ้าก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย”

เหวินเป่าตกตะลึง ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงเย็นๆ ของหญิงสาวก็ดังมาจากด้านใน “องค์ชาย ชาค้างถ้วยของข้าสกปรกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

ขณะพูด หญิงสาวในชุดงดงามก็เดินตรงมายังพวกเขา หญิงสาวร่างสูงโปร่งหน้าตาหมดจดนางนี้น่าจะมีอายุอานามประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี ทว่าใบหน้ากลับเคลือบไว้ด้วยความเย็นชา ให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรงไม่น้อย

เมื่อเดินมาใกล้ นางก็เริ่มมองสำรวจเหวินเป่า เหวินเป่าผู้รู้ตื่นซึ่งก่อนหน้านี้รับมือจูฉินได้อย่างง่ายดาย ทว่าเมื่อถูกหญิงสาวผู้นี้จ้องมอง จู่ๆ ใจเขาก็เริ่มเต้นโครมครามอย่างไร้เหตุผล บุคลิกของผู้รู้ตื่นหดหายไปหลายส่วน

จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามายังถ้วยชาที่อยู่ข้างๆ เหวินเป่า คิ้วงดงามทั้งสองข้างขมวดเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายนางก็ยื่นจดหมายปึกใหญ่ให้จูฉิน

“องค์ชาย นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการ จดหมายทุกฉบับที่วิหารประทีปได้รับเมื่อเร็วๆ นี้…”

ก่อนนางจะทันพูดจบประโยค รัชทายาทจูฉินก็ขมวดคิ้ว “ทำไมจึงมากมายนัก พวกเจ้าไม่ทำงานทำการกันหรือไร หากศิษย์น้องหญิงเยวี่ยต้องมาไล่อ่านทีละฉบับ คงใช้เวลามากกว่าสิบวันกว่าจะเสร็จเป็นแน่!?”

หญิงสาวผู้นั้นเหยียดยิ้ม “รัชทายาท โปรดฟังผู้อื่นพูดให้จบก่อน ทางเราได้ทำรายการของจดหมายเอาไว้แล้ว จดหมายที่เหลืออยู่ในห้องพัสดุ ซึ่งมีมากกว่าสองพันฉบับ องค์ชายต้องการไปดูหรือไม่”

จูฉินผงะ “ทำไมถึงได้มากมายนัก!?”

“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับประเทศต้าหมิงและผู้บำเพ็ญเซียนต้องผ่านที่นี่ทั้งนั้น มันจะไม่มากได้อย่างไร วังหลวงเกรงกลัวอำนาจของสำนักประทีป จึงไม่ยอมให้ตั้งสาขาในสถานที่อื่นๆ สำนักต่างๆ ตั้งแต่สำนักชั้นนำของพันธมิตรหมื่นเซียนไล่ไปจนถึงสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงต้องมาลงทะเบียนสำนักและติดต่อเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่นี่ทีละสำนัก ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความล่าช้าได้”

จูฉินขมวดคิ้ว “ท่านเชียนฮู่ ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร…”

“โอ้ องค์ชายไม่เข้าใจหรือ งั้นก็ดี ข้าจะอธิบายให้ฟังเอง ตอนนี้วิหารประทีปทำงานไม่ไม่ได้ตามความเป้าประสงค์ของฝ่าบาทหลายเรื่อง และหากวังหลวงยังปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายอยู่เช่นนี้ ประสิทธิภาพในการบริหารของวิหารประทีปก็คงย่อยยับ แล้วก็คงไม่แปลกอะไรหากที่นี่จะถูกแทนที่ด้วยหอสัจจะบุรุษของพันธมิตรหมื่นเซียน”

จูฉินรู้สึกละอายเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ที่นี่กระมัง”

ท่านเชียนฮู่ถามกลับทันใด “เมื่อครู่พวกท่านทั้งสามยังพูดคุยสัพเพเหระได้เลย แล้วเหตุใดข้าจึงไม่อาจพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิหารประทีปได้เล่า”

“เอ่อ…”

เมื่อเห็นใบหน้าของจูฉินแดงขึ้นเพราะความอับอาย หญิงสาวก็ถอนหายใจ “องค์ชาย ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านอับอาย ข้าเพียงคิดว่าคำถามเหล่านี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น ว่าตอนนี้วิหารประทีปไม่มีความสามารถที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเซียนในประเทศต้าหมิงได้ เช่นนั้นแล้วการมีอยู่ของวิหารประทีปก็คงไร้ประโยชน์ หากท่านยังไม่เชื่อ ข้ายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ก็ได้ นี่ถ้าการเก็บตัวฝึกวิชาของข้าไม่ได้เสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คิด คงไม่ได้เจอเรื่องที่น่าสนใจเช่นนี้”

“เรื่องที่น่าสนใจ?”

จูฉินโพล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับรู้สึกว่าน้ำเสียงประหม่าของตนฟังดูพิกลนัก

ท่านเชียนฮู่ผู้นี้มีไอพลังที่แข็งแกร่งมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโถงหลัก นางอำพรางไอพลังของตนไว้ แต่ตอนนี้นางปลดปล่อยไอพลังออกมาอย่างเต็มที่ จนทำให้คนอื่นนิ่งเงียบโดยปริยาย

เชียนฮู่ยิ้ม เหยียดแขนขวาออกไป จู่ๆ จดหมายสองฉบับก็ปรากฏขึ้นในมือนาง

“นี่คือจดหมายที่เยวี่ยซินเหยาสหายของท่านส่งมาเมื่อสิบสามวันก่อน ในนี้กล่าวถึงขั้นตบะของนาง สำนักที่สังกัด รวมถึงเหตุผลที่นางมายังประเทศต้าหมิง… นั่นก็คือด้วยเรื่องของสำนักภูมิปัญญาถูกไหม”

เยวี่ยซินเหยาพยักหน้า

เชียนฮู่ยิ้ม “ขอบใจที่เจ้าให้ความร่วมมือ เท่าที่ข้ารู้ศิษย์จากสำนักชั้นนำมักไม่ชอบทำตามกฎที่ยุ่งยากเช่นนี้… ทว่าอีกด้านหนึ่ง สามวันที่ผ่านมา ข้าได้รับจดหมายที่น่าสนใจฉบับหนึ่ง”

เชียนฮู่พูดพลางดีดนิ้ว ทันใดนั้นจดหมายฉบับหนึ่งก็ดีดตัวขึ้น “มันคือจดหมายแนะนำตัวจากสำนักภูมิปัญญา ในจดหมายกล่าวไว้ว่าได้ส่งทูตเจรจามาสามคน คนที่เป็นหัวหน้านั้น…”

พูดถึงตรงนี้ นางก็กลอกสายตาขึ้นมองไปยังใบหน้าของเหวินเป่าซึ่งตอนนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด

“เจ้าชื่อเหวินเป่าใช่หรือไม่”

เจ้าอ้วนใช้พลังกายทั้งหมดรีดรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้า ในใจก็ตะโกนกรีดร้อง

ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด