กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 25 ข้าทำทุกอย่างได้เพื่อเจ้า!

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 25 ข้าทำทุกอย่างได้เพื่อเจ้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          “ความจริงข้ามักมีปัญหาที่คิดไม่ตกอยู่ตลอด”

          ภายในหุบเขาตอนกลางคืน คนสามคนกับสุนัขอีกหนึ่งตัวนั่งล้อมกองไฟอยู่ มีหมูป่าจ้ำม่ำอยู่บนกองไฟ ไขมันของมันหยดลงไปในเปลวเพลิงและกลิ่นหอมก็กระจายไปทั่วทั้งหุบเขา ได้ยินเสียงคนทั้งสามที่ฉีกชิ้นเนื้อเข้าปากกินอย่างชัดเจน

          เสี่ยวชีฉีกขาหลังของหมูป่าด้วยท่าทางสบายๆ นางถามขึ้นขณะเคี้ยวเนื้อในปาก “เจ้าอุตส่าห์พาเรามาที่นี่อย่างยากลำบาก แถมใช้เงินเป็นแสนๆ ศิลาวิญญาณเพื่อสู้กับคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ จากนั้นก็นั่งรอเวลาอยู่ตรงนี้ แต่ถามหน่อยถ้าได้เจอกับสัตว์เซียนจริงๆ เจ้าจะทำยังไง”

          “นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

          ขณะที่หญิงสาวยกปัญหานี้ขึ้นมาถาม หลิวหลีเองก็กำลังฉีกกินขาหน้าของหมูป่าอยู่ ทว่าต่างกันที่เสี่ยวชีกินเหมือนพวกโจรร้ายน้ำมันไหลเยิ้มท่วมปาก ส่วนหลิวหลีกลับใช้กระบี่พลังปราณเฉือนขาหมูป่าออกเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ไว้บนจานกระเบื้องที่อยู่บนเข่า จากนั้นก็ใช้ตะเกียบไม้ไผ่คีบกินทีละชิ้นพลางยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

          นี่คือผลจากการร่ำเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจขั้นปลาย แม้อาวุโสสี่โจวหมิงจะรู้สึกว่าเขาล้มเหลวในการสั่งสอนศิษย์ผู้สืบทอดของตน แต่ความพยายามหลายปีของเขาก็ได้ประทับรอยที่ไม่อาจลบออกได้ให้กับหลิวหลี ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง แม้หญิงสาวจะไม่เข้าใจแนวความคิดเกี่ยวกับสุภาพสตรีหรือความเป็นสุภาพสตรี แต่ถ้อยคำและการกระทำที่นางแสดงออกในทุกวัน รวมถึงกฎต่างๆ ก็ฝังลึกลงในกระดูกของนางไปเสียแล้ว

          แต่แน่นอนว่าย่อมมีบางเรื่องที่โจวหมิงไม่อาจดูแลได้ ขณะกินเนื้อย่าง หลิวหลีลืมไปว่านางไม่ควรจะกินตอนกำลังพูด ในใจของนางคิดว่านางไม่ได้กินตอนพูดแต่พูดตอนกินต่างหาก… ดังนั้นนางก็ถามเสียงค่อย “ใช่แล้วศิษย์พี่ ท่านคิดจะทำยังไงกับสัตว์เซียนนั่น ท่านจะย่างมันจากนั้นก็กินหรือเปล่า”

เสี่ยวชีเหยียดยิ้ม “ย่างแล้วก็กิน? เจ๋งนี่! ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มีผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่อยู่หนึ่งคนและขั้นสร้างแกนอีกหลายคน แต่พวกเขาก็ยังจับตัวมันไม่ได้ ดังนั้นต่อให้เจ้าตามรอยมันได้ก่อนพวกเขาอยู่หนึ่งก้าว แต่ด้วยความสามารถของเจ้า คิดว่าจะจับมันได้หรือ”

          หวังลู่ขำ “ใช้กำลังเพื่อจับน่ะเป็นการกระทำของพวกที่ไม่ได้รับการสั่งสอน และข้าก็ไม่เหมือนพวกป่าเถื่อนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์นั่นเสียหน่อย”

          เสี่ยวชีถามอย่างสงสัย “ไหนลองบอกรายละเอียดเรื่องแผนการของเจ้ามาหน่อยซิ”

          “สั้นๆ ก็คือ สรุปด้วยเหตุผลและล่อด้วยประโยชน์ อย่างแรกเลยการมาถึงของเราเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะเมื่อดูจากระดับความก้าวหน้าแล้ว หากเราไม่เสนอหน้าเข้ามาและปล่อยให้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์หลอมปลอกคอสัตว์เซียนที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้าสัตว์เซียนนั่นย่อมไม่อาจหนีได้แน่ และในเมื่อเจ้าสัตว์นั่นอยู่บนเขาอวิ๋นไท่มาระยะหนึ่งแล้ว ทำไมมันจะไม่รู้ว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ปฏิบัติต่อสัตว์ภูตยังไง หากมันรับได้ มันคงโผเข้าใส่อ้อมแขนของอีกฝ่ายนานแล้ว ในเมื่อตอนนี้มันพยายามซ่อนตัวอย่างถึงที่สุด ก็เห็นได้ชัดว่ามันชิงชังคนพวกนั้นขนาดไหน หากเราช่วยมันให้พ้นจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้ แน่นอนว่ามันย่อมรู้สึกเป็นบุญคุณกับเรา ข้อสอง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะใช้เวลาทั้งชีวิตอาศัยอยู่บนเขาอวิ๋นไท่นี่ ชื่อเสียงของสัตว์เซียนนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ตอนนี้มันยังเป็นแค่ตัวอ่อน หากโชคร้ายที่อยู่ของมันถูกเปิดเผยออกไป มันย่อมไม่มีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องถูกสำนักอื่นปราบได้ ดังนั้นแทนที่จะไปกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ มันอาจเลือกกลับไปกับเราที่สำนักกระบี่วิญญาณ ส่วนวิธี เราก็แค่ใช้อาหารเป็นเหยื่อล่อแล้วจับมันก็เท่านั้น!”

          เสี่ยวชีนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “ข้าว่ามันไม่น่าโง่ขนาดนั้น”

          หวังลู่โบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่ปัญหา หากมันไม่หลงกลก็ไม่เป็นไร ยังไงซะเป้าหมายของข้าก็ชัดเจน ตราบใดที่ข้าทำให้งานใหญ่ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เสียเปล่าได้ ข้าก็พอใจแล้ว”

          “ถือว่ารังเกียจเคียดแค้นใหญ่หลวงเลยนะ ทำร้ายคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเนี่ย”

          หวังลู่กระดิกนิ้วไปมา “คุณหนูเจ็ด ท่านไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ทำร้ายคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าแผนนี้เป็นไปด้วยดี ต่อให้สุดท้ายแล้วข้าไม่ได้สัตว์เซียนนั่นมาครอง ข้าก็ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้บ้าง”

          “ได้บ้างยังไง”

          “สี่คำสั้นๆ กระแสสังคม ตัวอย่างเช่น ศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักกระบี่วิญญาณอย่างหวังลู่นั้นทั้งกล้าหาญ เจ้าความคิด เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำในเรื่องที่มีมนุษยธรรมอย่างกระตือรือร้น เขาต้านทานแรงกดดันและขัดขวางการจับสัตว์อย่างผิดกฎหมายของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์เซียนที่ไร้พิษสงออกมาได้ หรือไม่ก็เจ้าสำนักภูมิปัญญาร้องขอให้โลกบำเพ็ญเซียนปฏิบัติตามแนวคิดทุกชีวิตมีความเท่าเทียม ต่อต้านสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์และสำนักอื่นๆ ที่กระทำกับสัตว์เซียนอย่างไร้มนุษยธรรม…”

          เสี่ยวชีกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ไร้สาระชะมัด หากเจ้าไม่โดนคนอื่นก่นด่าจนตายสิถึงจะแปลก ถามจริงๆ นะ เจ้าแค่ปรี่เข้าไปหาสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เพื่อขัดขวางภารกิจสำคัญของพวกเขาเท่านั้นหรือ มีเหตุผลบ้างไหมเนี่ย!?”

          หวังลู่ยิ้ม “ข้าไม่กลัวผู้คนจะก่นด่าหรอก ข้ากลัวจะไม่มีใครด่ามากกว่า! ผู้สังเกตการณ์น่ะจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ หากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จับสัตว์เซียนได้ง่ายๆ  ผู้คนจะไม่รู้สึกริษยาหรือ พวกเขาจะไม่อยากเห็นมากกว่านั้นหรือ ดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในเรื่องนี้ แค่ข้าสามารถกระตุ้นความรู้สึกของพวกเขา ให้พวกเขาลุกออกมาดูความวุ่นวายนี้อย่างตั้งอกตั้งใจได้ แค่นั้นชื่อเสียงของข้าก็กระฉ่อนแล้ว และมันจะทำให้ข้าหาผลประโยชน์ได้ในภายหลัง ส่วนเรื่องที่ว่าข้าจะเปลี่ยนโอกาสนี้เป็นผลประโยชน์ได้ยังไง มันก็ง่ายมาก เมื่อเทียบกับคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจมากกว่า ข้าย่อมดูเป็นคนธรรมดาอ่อนแอคนหนึ่งและผู้ที่อ่อนแอมักอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปมากกว่า เมื่อเวลามาถึงข้าก็แค่ต้องตะโกนดังๆ แม้ขั้นตบะของข้าจะไม่สูง แต่ข้าก็มีพื้นเพที่ไม่เลว! แน่นอนว่าเลือดของพวกคนที่เฝ้าดูจะต้องเดือดพล่าน พวกเขาจะปรบมือให้ข้าอย่างกึกก้อง จากนั้นข้าก็สามารถจัดงานเรี่ยไรเงินทุน หรือไม่ก็จัดตั้งกองทุนขึ้นมา ถึงตอนนั้นผลกำไรย่อมมหาศาลแน่! นี่ยังไม่รวมที่ข้าจะได้รับแต้มชื่อเสียงจากสำนักด้วยนะ”

          เมื่อได้ยินหวังลู่พล่ามถึงความทะเยอทะยานของตนไม่หยุดปาก เสี่ยวชีก็ถึงกับตะลึงไป ชิ้นเนื้อที่จ่อปากของนางอยู่ก็พลันร่วงลงพื้น

          “จะ เจ้านี่ช่างฉลาดจริงๆ!”

          หวังลู่ไม่ได้มีท่าทีเขินอายแม้แต่น้อย “เรื่องธรรมดา อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงนักผจญภัยมืออาชีพ! สรุปคือถ้าเราหาตัวสัตว์เซียนภูตจันทราเจอ ไม่ว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปทางใด ข้าก็มั่นใจว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน”

          พูดจบหวังลู่ก็พร้อมที่จะหาอะไรใส่ท้อง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากำลังพล่ามเรื่องแผนการ เสี่ยวชีกับหลิวหลีไม่ได้แค่นั่งฟังเขาเฉยๆ พริบตาเดียวสองคนนั้นก็กินหมูป่าตัวใหญ่เบ้อเริ่มไปเกือบทั้งตัว หนำซ้ำยังฉีกเอาส่วนที่นุ่มและชุ่มฉ่ำกินไปจนเกือบหมด!

          หวังลู่กำลังเอื้อมมือไปหยิบส่วนที่เป็นสันใน ตอนนั้นเองฮวาฮวาที่นั่งอยู่แถวเท้าของเขาก็เงยหัวขึ้น พลางทำสีหน้าระแวดระวัง มันส่งเสียงคำรามออกมาในลำคอ

          หวังลู่ตบหัวอีกฝ่าย “พูดมา!”

          “เอ่อ ข้าได้กลิ่นของเด็กสาวหูแมว”

          ทันทีที่มันพูดจบ ร่างของเด็กสาวหูแมวก็ปรากฏขึ้นช้าๆ ภายใต้แสงสลัวยามค่ำคืน

          เด็กสาวหูแมวเป็นนักล่าแต่กำเนิดและมีความได้เปรียบในความมืด ฝีเท้าของนางเงียบกริบ ตำแหน่งของนางถูกซ่อนอย่างดี ประสาทการรับรู้เฉียบคม และการกระทำก็ว่องไว… ทว่าตอนนี้หลิงเยียนไม่ได้พยายามจะซ่อนตัว นางเผยตัวให้หวังลู่และคนอื่นๆ เห็นอย่างเด่นชัด ใบหน้าเล็กๆ ของนางยามที่เดินมาถึงกองไฟดูสงบนิ่งยิ่งนัก

          ทันทีที่เห็นหลิงเยียน เสี่ยวชีก็รู้สึกประหลาดใจ นางวางขาหมูป่าในมือลงแล้วเอื้อมมือไปหยิบไม้เท้าตีสุนัขที่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ แม้เด็กสาวหูแมวจะบาดเจ็บสาหัส แต่อย่างไรเสียนางก็มีตบะขั้นสร้างแกน ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนก็เป็นการดีที่สุด ส่วนหลิวหลีรู้สึกตื่นเต้นยินดี นางรีบหยิบจานที่อยู่บนตักไปวางข้างๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเหมือนจะพุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย “หลิงเยียน เจ้าเองหรือ!?”

          หวังลู่ดึงเจ้าคนโง่กลับมาจากนั้นก็เอ่ยปากถามเด็กสาวหูแมวพร้อมรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “กลับมานี่อยากตายหรือ”

          เด็กสาวหูแมวได้แต่อ้าปากแต่ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

          “เอาละ เจ้าคิดไปก่อนก็ได้ แต่ขอเรื่องที่มันฟังเข้าหูสักหน่อย ไม่ใช่จะมาบอกว่าอาจารย์ของเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกอับอายจนทนไม่ได้ เจ้าก็เลยคิดจะแปรพักตร์ แบบนั้นมันดูถูกสติปัญญาข้าไปหน่อย”

          เด็กสาวหูแมวนิ่งเงียบไปนานมาก “ข้า…ข้ารู้สึกอับอายจริงๆ นะ ดังนั้น…”

          หวังลู่พูดแทรกขึ้นมา “เจ้าก็เลยตั้งใจมาที่นี่เพื่อดูถูกสติปัญญาข้า!?”

          “เปล่า ข้า…” เด็กสาวหูแมวรู้สึกกระดากอาย “ข้าเปล่าโกหก”

          หวังลู่เกือบจะบริภาษใส่นางไปอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสี่ยวชีพูดพร้อมขมวดคิ้ว “นางไม่ได้โกหก”

          “เฮ้ คุณหนูเจ็ด นี่ท่าน…”

          เสี่ยวชีโบกมือใส่หวังลู่เพื่อให้นางได้พูดจบก่อน “ลองคิดดู ต่อให้เจ้าไม่เชื่อข้า แต่เจ้าก็เชื่อในญาณหยั่งรู้ของหลิว… เซียนเอ๋อร์มาตลอด ถูกไหม ทันทีที่เห็นเจ้าเหมียวนี่ ปฏิกิริยาแรกของเซียนเอ๋อร์คือตื่นเต้นดีใจไม่ใช่ระแวงภัย หนำซ้ำข้ายังไม่เห็นท่าทางมุ่งร้ายของนางเลย”

          หวังลู่อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “พอท่านพูดแบบนี้มันก็ฟังดูสมเหตุสมผล… ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสนาง เฮ้ ยัยเหมียวตรงนั้นน่ะ ข้าจะให้เวลาเจ้าพูดจาเกลี้ยกล่อมข้าก็ได้”

          พูดจบหวังลู่ก็วางจานในมือลง นั่งเอาขาพาดไปบนก้อนหิน สายตาของเขาจับจ้องไปที่อีกฝ่ายหนึ่ง ท่าทีของชายหนุ่มดูสง่างามจนเกินตบะขั้นตัวเองไปสองขั้นและข่มเด็กสาวหูแมวที่มีตบะขั้นสร้างแกนเสียมิด

          “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ คิดช้าๆ จะแนะนำตัวเองก่อนก็ได้ พูดเรื่องกิจกรรมยามว่าง อธิบายทำไมถึงอยากเข้ากลุ่มของเรา แล้วคิดว่าในอนาคตตัวเองจะเป็นยังไง ข้าฟังอยู่”

          เมื่อได้ยินชุดคำถามของหวังลู่ เด็กสาวหูแมวก็ถึงกับอึ้งไป ผ่านไปพักใหญ่นางจึงจัดการกับความคิดของตัวเองและเปิดปากขึ้น

          “ข้า ข้าความจริงแล้ว… ได้รับคำสั่งจากอาเซี่ยผู้เป็นนายให้มาทำให้พวกเจ้าไว้วางใจ จากนั้นค่อยตลบหลังพวกเจ้าอีกที”

          หวังลู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขาพยักหน้า “พูดต่อสิ”

          “ความจริงแล้ว เจ้าคงรู้ถึงสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ดี แม้ตัวตนของข้าจะเป็นถึงผู้อาวุโสของสาขาเขาอวิ๋นไท่ ทั้งยังมีตบะอยู่ในขั้นสร้างแกน แต่ว่า…”

          หวังลู่กล่าว “แต่เจ้านายดั้งเดิมของเจ้าที่เคยฝึกเจ้ามาในอดีตพยายามที่จะ ‘มัด’ มือเท้าของเจ้าไม่ให้หลบหนีจากชาตะทาสได้”

          เด็กสาวหูแมวพยักหน้าอย่างเศร้าสร้อย ยอมรับข้อสันนิษฐานของหวังลู่

          “ครั้งนี้อาเซี่ยสั่งให้ข้ามาที่นี่ บอกให้ข้าทำทุกอย่างเพื่อสร้างปัญหาให้พวกเจ้า” พูดจบนางก็เขย่าขวดกระเบื้องสีม่วงใบเล็กๆ ที่อยู่ในมือจากนั้นก็เปิดฝาออก ทันใดนั้นไอแห่งความตายก็กระจายออกมาจากขวด “เขาบอกให้ข้าหาทางให้เจ้ากินสิ่งนี้ให้ได้”

          หวังลู่ตะแคงขาพลางเอามือไปรองคาง และฟังเรื่องราวของเด็กสาวหูแมวด้วยความสนใจ

          ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายขณะพูด “ข้าไม่ต้องการทำตามคำสั่งเขา แต่ก็ไม่อาจไม่ทำ ดังนั้น…ข้าจึงต้องมาที่นี่”

          หวังลู่ใคร่ครวญ “ก็แปลว่าเจ้าตั้งใจที่จะมาตาย งั้นทำไมไม่กลืนยาพิษที่อยู่ในขวดนั่นแล้วจบเรื่องไปเสีย ทำไมต้องทำให้มือของตัวเองแปดเปื้อนด้วย”

          เด็กสาวหูแมวกล่าว “ข้า…ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง”

          “เจ้าคิดว่าพวกเราจะยอมกลืนยาพิษนั่นด้วยความเต็มใจหรือ” หวังลู่หัวเราะออกมาทั้งที่พยายามกลั้นไว้แล้ว

          “ไม่ ที่ข้าหวังก็คือ นางจะช่วยข้าได้” เด็กสาวหูแมวชี้ไปททางหลิวหลี

          “ข้า?” หลิวหลีอุทานออกมา “ข้าอยากช่วยเจ้าก็จริง แต่ถ้าเจ้าคิดจะให้ข้ากลืนยาพิษนั่น แบบนั้นมันก็ค่อนข้างจะ…” พูดจบนางก็ทำสีหน้าเป็นกังวล

          หวังลู่ถอนหายใจ “เห็นไหม แม้นางจะไม่รับปาก แต่ก็มีความคิดที่จะกินยาพิษนั่นเพื่อช่วยเจ้า นางจิตใจดีขนาดนี้ เจ้ายังกล้าให้นางสังเวยชีวิตเพื่อตัวเองอีกหรือ”

          “ไม่ๆๆ พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เด็กสาวหูแมวระล่ำระลักอธิบาย “ที่ข้าหมายถึงก็คือ ข้าจะขอยืมพลังกระบี่ของนาง ก่อนหน้านี้นางบอกข้าว่าพลังกระบี่ของนางสามารถตัดทุกอย่างได้ แม้ข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่หากเป็นความจริง…มันอาจช่วยตัดโซ่ตรวนที่ล่ามพลังวิญญาณขั้นปฐมของข้าเอาไว้ และปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระได้”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังลู่ก็หัวเราะพลางหันไปตบศีรษะของหลิวหลี

          ผั่วะ!

          หญิงสาวกุมหัว น้ำตาแทบจะไหลออกมา “ศิษย์พี่ ท่านตีข้าทำไม”

          “ในฐานะตัวแทนของท่านลุงสี่ นี่คือการลงโทษให้กับการกระทำโง่ๆ ของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กแมวนี่ขนาดไหน แต่ก็ไม่ควรเผยวิชาของตัวเองให้นางรู้ เจ้าพูดจาไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นออกไปได้ยังไง!?”

“โอ้…ข้าขอโทษ ข้าลืมไป”

          หวังลู่ลูบศีรษะนางจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวหูแมวแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว งั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องปิดบังความจริง วิชากระบี่กระจ่างใจขั้นสูงสุดมีพลังกระบี่ที่สามารถตัดทุกอย่างได้จริงๆ แต่ด้วยขั้นตบะของนางในตอนนี้ หากเจ้าจะยอมเสี่ยงเพื่อให้พลังกระบี่ของนางตัดโซ่ตรวนให้ เจ้าคงต้องรออย่างน้อยยี่สิบปีกว่าที่นางจะทำอะไรแบบนั้นได้ เพราะงั้นเอาไว้อีกยี่สิบปีเจ้าค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน”

          “ไม่ ข้ามีทาง!” เด็กสาวหูแมวกล่าวออกมาอย่างกระตือรือร้น “นางไม่จำเป็นต้องทำลายรอยประทับความเป็นทาสบนพลังวิญญาณขั้นปฐมของข้าตรงๆ รอยนั้นถูกสลักลงไปนานแล้ว และมีเพียงข้าเท่านั้นที่จะฉีกมันออกไปได้หากวันหนึ่งข้าแข็งแกร่งพอ ไม่อย่างนั้นหากพลังกระบี่นั่นแทงเข้าไปที่รอยประทับ มันจะตัดพลังวิญญาณขั้นปฐมของข้าแทน และข้าย่อมตายแน่ แต่ถ้านางตัดสายสัมพันธ์ที่เชื่อมระหว่างข้ากับอาเซี่ยได้ ผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนกัน! ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ! ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”

          พูดจบเด็กสาวหูแมวก็คุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวลงต่ำ

          “…นี่เจ้าเสนอตัวจะมีลูกกับข้าหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด