กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 18 ข้าเป็นพวกนิยมเด็กผู้หญิงด้วยใจที่บริสุทธิ์!

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 18 ข้าเป็นพวกนิยมเด็กผู้หญิงด้วยใจที่บริสุทธิ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในที่สุดเหตการณ์วุ่นวายบนยอดเขาสี่สภาพก็สงบลง สำนักเซียนหมื่นเวทถูกทำให้แปลกใจตั้งแต่ต้น ทว่าสุดท้ายเสียงตวาดดังลั่นของผู้อาวุโสก็ทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติดังเดิม

สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ทว่าพวกเขาก็ลำบากไม่น้อยทีเดียว

ผ่านไปพักใหญ่ เหล่าคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทก็ยังไม่หายจากอาการอับอาย เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะแสดงความแข็งแกร่งให้อีกฝ่ายประจักษ์ในครั้งแรกที่ได้เจอกัน แต่สุดท้ายแล้ว เป็นพวกเขาเองที่ถูกดึงจากม้าและตกลงมาในโคลน สิ่งที่น่าชิงชังยิ่งกว่าก็คือ เป็นพวกเขาเองที่ต้องกล้ำกลืนความอับอายลงไป เพราะเอาเข้าจริง สำนักกระบี่วิญญาณทำผิดที่ตรงไหนกัน ผิดหรือที่พวกเขาตระเตรียมผู้บำเพ็ญเซียนสาวจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องมาต้อนรับอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น หากเป็นสำนักอื่น เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะตะโกนเสียงดังว่า ‘โปรดย่ำยีร่างกายจ้าเถิด’ ก็เป็นได้ ทว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ทางฝั่งพวกเขาใช้ทั้งอาคมวายุสกัดภาพลวงตา อาคมลำแสงสงบจิต และอาคมภาพลวงตากายหยาบร่วงโรย… แต่อีกฝ่ายได้ร่ายอาคมมุ่งร้ายเพื่อยับยั้งมันหรือไม่ เห็นชัดว่าไม่

ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นสำนักเซียนหมื่นเวทเองที่ทำตัวไม่เหมาะสม… หากพวกเขารู้ก่อนล่วงหน้า พวกเขาย่อมใช้วิชาเซียนสักวิชาเพื่อปกป้องเหล่าศิษย์ให้เมินเฉยใส่หญิงสาวเหล่านั้นเสีย แบบนั้นจะสุภาพมากกว่า และพวกเขาก็จะไม่เสียหน้าเช่นนี้ โชคร้ายที่แม้แต่หัวหน้าของเหล่าผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่คิดว่าหญิงสาวเพียงไม่กี่คนจะเอาชนะเหล่าศิษย์อัจฉริยะที่มากด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาได้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หยวนฉาวเหนียนก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ในฐานะหัวหน้าผู้อาวุโส เขาย่อมต้องเป็นคนรับผิดชอบความผิดพลาดในครั้งนี้… สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อน เคยมีศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทประสบกับความชอกช้ำทางจิตเช่นนี้มาแล้ว… มันเกิดขึ้นเมื่อสองร้อยปีก่อนเมื่อครั้งที่หยวนฉาวเหนียนเพิ่งบรรลุตบะขั้นสร้างแกน หนึ่งในท่านลุงของเขาถูกผู้บำเพ็ญเซียนสาวจากสำนักเซียนคุณหลุนปฏิเสธรัก เขาเจ็บปวดจากอาการอกหักจนเกือบกระทบต่อขั้นเซียน หลังจากนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงต้องเชิญอาจารย์จากสำนักหยินหยางมาทำการรักษาท่านลุงอยู่ถึงสิบวัน สิบวันต่อมา ท่านลุงของเขาจึงหายขาดจากอาการอกหัก และอยู่อย่างรักใครสมัครสมานกับศิษย์น้องของเขาเอง

ไม่แน่ว่าเมื่อพวกเขากลับขึ้นเขาไป จ้านจื่อเย่กับพวกที่เหลืออาจต้องได้รับการรักษาเช่นนี้เหมือนกัน หรือพวกเขาจะเผยแพร่วิธีรักษานี้ออกมาดีนะ

อย่างไรเสีย ด้วยพิธีต้อนรับที่น่าประทับใจเช่นนี้ ท่าทีของสำนักเซียนหมื่นเวทจึงอ่อนลงอย่างมาก หลังจากนั้นเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ก็ยืนเรียงแถวและพูดจาทักทายกับเหล่าผู้อาวุโสและกลุ่มลูกศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณทีละคน ซึ่งก็เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยดี

จากบนยอดเขาสี่สภาพ อาวุโสสองและผู้อาวุโสเก้าก็พาคนของสำนักเซียนหมื่นเวทไปยังหอชมพูที่อยู่บนยอดเขาสระวิญญาณซึ่งใช้เป็นที่อยู่ชั่วคราว หลักจากพักผ่อนชั่วครู่ ผู้อาวุโสทั้งสองก็นำคนเหล่านี้เดินชมสถานที่หลายแห่งบนเขากระบี่วิญญาณ ผู้อาวุโสทั้งสองต่างทำตัวเป็นเจ้าบ้านมารยาทงามเพื่อขจัดความอับอายที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เย็นวันนั้นก็เป็นเวลาของกิจกรรมหลักในวันแรก ซึ่งก็คืองานเลี้ยงต้อนรับนั่นเอง

สถานที่จัดเลี้ยงอยู่ที่โรงอาหารของยอดเข้าเร้นลับ หลังจากที่อาย่าเตรียมการอย่างพิถีพิถัน สถานที่แห่งนี้ก็ตกแต่งผสมผสานด้วยศิลปะของแตกต่างกันของสองอารยธรรม นั่นคืออาณาจักรเก้าแคว้นและทวีปตะวันตก ซึ่งให้ความรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณที่ได้รับหน้าที่ดูแลแขกต่างเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทกลับไม่ไยแส

แน่ละว่าไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งรูปแบบใด พวกเขาไม่คิดจะชายตาแลอยู่แล้ว

ผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเซียนหมื่นเวทนั่งประจำที่กันตามลำดับ ผู้อาวุโสทั้งสามและผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่นภาของสำนักกระบี่วิญญาณนั่งอยู่ตรงกลางของโต๊ะหลัก จ้านจื่อเย่และศิษย์คนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันนั่งอยู่กับหวังลู่และหลิวหลีที่หัวโต๊ะ ส่วนศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณอีกสามคนนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง นอกนั้นเหล่าคนงานจากสำนักเซียนหมื่นเวทที่มาพร้อมกับผู้บำเพ็ญเซียนทั้งแปดนั่งอยู่ตรงส่วนอื่น ห้อมล้อมศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่วิญญาณ นี่ถือเป็นมารยาทที่ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้วของสำนักกระบี่วิญญาณ

เมื่อทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เฟิงอิ๋นและหยวนฉาวเหนียนต่างเป็นตัวแทนกล่าวปราศรัยให้ฝั่งสำนักของตัวเอง โดยปกติแล้วนี่เป็นเพียงการพูดคุยอย่างผิวเผิน ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักต่างใส่มุกตลกและการหยอกล้ออย่างถูกจังหวะ มุกตลกนั้นไม่ได้ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้หยาบโลน เสียงหัวเราะที่ตามมานั้นก็ฟังดูอบอุ่น ซึ่งช่วยขับเน้นบรรยากาศแห่งความสามัคคี และแสดงสัมพันธภาพที่ยั่งยืนของทั้งสองสำนักได้เป็นอย่างดี

ความจริงแล้ว หยวนฉาวเหนียนและผู้อาวุโสอีกสองคนไม่ได้อยากนั่งที่โต๊ะหลักตั้งแต่แรก อย่างไรเสีย พวกเขาก็มีอัตลักษณ์ที่ต่างกัน ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณเองก็มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง หากมีการโต้แย้งกันเกิดขึ้น มันอาจจะลุกลามกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างสองสำนักของห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนได้โดยง่าย และนั่นก็จะทำให้สำนักกระบี่วิญญาณดูดีขึ้น ซึ่งไม่คุ้มกันเลยสักนิด

แน่นอนว่าตัวเอกของงานเลี้ยงมื้อนี้นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ซึ่งเป็นโต๊ะของจ้านจื่อเย่และคนอื่นๆ

ตามที่คาดไว้ ทันทีที่ศิษย์ของทั้งสองสำนักนั่งประจำที่ของตัวเอง บรรยากาศก็เริ่มเย็นยะเยือกขึ้น ด้านหนึ่งนำโดยจ้านจื่อเย่ที่ต้องการกอบกู้หน้าและชื่อเสียงของสำนัก ส่วนอีกด้านนำโดยหวังลู่ที่ใช้เวลาตลอดสองเดือนตระเตรียมการแสดงลวงตานี้ในนามของสำนักกระบี่วิญญาณ ต่างจากเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหลัก การกระทบกระทั่งที่เล็กน้อยที่สุดบนโต๊ะนี้ก็อายกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงคอของอีกฝ่ายได้ ศิษย์เหล่านี้ทั้งยังเยาว์และทะนงตัว พวกเขาไม่รับรู้ถึงการกระทำที่รุนแรงของตนอีกทั้งยังไม่รู้จักทำตัวสุภาพเฉกเช่นผู้อาวุโสของตน เมื่อเวลามาถึงหลังจบมื้ออาหาร พวกเขาก็ตั้งใจทำให้อีกฝ่ายต้องอัปยศอดสูอยู่แล้ว ดังนั้น…จึงไม่จำเป็นต้องมีความกระดากใจกันแต่อย่างใด

ความจริงก็คือ เหล่าศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทต่างกระหายที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

หลังจากที่ได้พักผ่อน จ้านจื่อเย่และศิษย์คนอื่นๆ ต่างทุเลาจากประสบการณ์น่าหวาดกลัวของเหล่าโครงกระดูกเมื่อตอนเช้าตรู่และกลับมามีท่าทีหยิ่งยโสในความเฉลียวฉลาดของตัวเองเช่นเดิม ในตอนบ่ายที่พวกเขาได้เยี่ยมชมหออาลักษณ์และหอพัฒนาสรรพวิทยาของสำนักกระบี่วิญญาณ ความรู้สึกภาคภูมิที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเขาก็ผุดพราวขึ้นมาบนผิวหน้า เมื่อเทียบกับสรรพวิชาจำนวนมหาศาล และระบบการค้นคว้าพัฒนาที่เหนือกว่าผู้ใดในอาณาจักรเก้าแคว้น หออาลักษณ์และหอพัฒนาสรรพวิทยานั้นช่างน่าสมเพชยิ่งนัก เรื่องความสามารถในการศึกษา สำนักกระบี่วิญญาณนั้นมีระบบการศึกษาที่ครอบคลุม ดีกว่ากอลิล่าภูเขาอย่างสำนักจอมทัพกษัตริย์มากนัก แต่ว่ายังคงห่างบารมีกับสำนักเซียนหมื่นเวทไม่น้อย

สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อเช้านี้เป็นเพียงความพ่ายแพ้ชั่วคราว ทันทีที่สำนักเซียนหมื่นเวทเรียกเผยความหลักแหลมของตน สำนักกระบี่วิญญาณก็ทำได้เพียงคุกเขาและเลียเท้าของพวกเขาก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาเผยความหลักแหลมที่โต๊ะรับรองได้อย่างไร… เรื่องนี้นั้นง่ายมาก ตามธรรมเนียมของอาณาจักรเก้าแคว้น พวกเขาต้องกินดื่มและพูดคุยกันไปด้วย ตราบใดที่พวกเขาสามารถอวดความรู้อันกว้างขวางได้ กลุ่มคนเถื่อนไร้มารยาทนี้จะต้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกรงขามและรู้สึกด้อยกว่าแน่นอน… นี่ละแก่นของเรื่องนี้ หนำซ้ำนอกจากการดื่มและพูดคุยแล้ว พวกเขายังต้องแต่งกลอนแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้พบเจอมาในโลกมนุษย์อีกด้วย ซึ่งเป็นวิธีสนทนาตามธรรมเนียมโต๊ะอาหารของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้น โดยนัยยะของชื่อสำนักแล้ว สำนักกระบี่วิญญาณน่าจะชำนาญด้านเพลงกระบี่ การต่อสู้ฆ่าฟันและวิธีป่าเถื่อนอื่นๆ ส่วนการร่ายอาคมนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจเทียบกับสำนักเซียนหมื่นเวทที่ร่ำเรียนเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง หนำซ้ำศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทที่ไม่เอาไหนที่สุดในห้าคนนี้ก็ยังมีตบะขั้นสร้างฐานช่วงต้น ส่วนคู่แข่งจากสำนักกระบี่วิญญาณของพวกเขานั้นมีเพียงคนเดียวที่มีตบะขั้นสร้างฐาน แค่ความแตกต่างด้านพลังอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนการแลกเปลี่ยนสรรพวิชาเป็นการสังหารฝ่ายเดียวแล้ว

ด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น พวกเขาจึงนั่งลงรอคอยจังหวะโจมตี อีกด้านหนึ่ง พลังงานจากกลุ่มสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย นอกจากศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลีและหวังลู่แล้ว ยังมีเหย่ยวิน หัวหยิงและอวี๋ซินเหยา สามหัวกะทิรุ่นใหม่ไฟแรง แม้ขั้นเซียนของพวกเขาจะด้อยกว่า แต่ความมั่นใจนั้นไม่ด้อยเลย

ศิษย์ของทั้งสองสำนักนั่งสลับกันที่บนโต๊ะ ดูสนิทสนมและไม่มีระยะห่าง ทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือกจนกระทั่งหวังลู่ยิ้มและทำลายความเงียบขึ้นมา

“ศิษย์น้องเหย่ยวิน ศิษย์น้องหัวหยิน ข้าแนะนำแขกให้เจ้ารู้จักดีกว่า นี่คือพี่ใหญ่ของกลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์แห่งสำนักเซียนหมื่นเวท จ้านจื่อเย่ คนถัดมาคือศิษย์พี่หญิงสอง เย่เฟยเฟย ศิษย์พี่สาม เจ้าเจียงยวัน ศิษย์พี่สี่ ลู่เฉียนไช่ และคนสุดท้ายคือไห่อวิ๋นฟาน”

เหย่ยวินและหัวหยินยิ้มและพยักหน้าแต่ไม่ได้กล่าวอะไร ก่อนที่พวกเขาจะมาร่วมงาน ผู้เป็นอาจารย์ได้อธิบายคร่าวๆ แล้วว่าผู้นำการสนทนาในงานเลี้ยงรับรองครั้งนี้คือหวังลู่ พวกเขามีหน้าที่เพียงฟังอีกฝ่ายและไม่ต้องพูดเสริมใดๆ ทั้งสิ้น

“เอาละ ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเซียนหมื่นเวท ข้าขออนุญาตแนะนำคนทางฝั่งข้า พวกเจ้ารู้จักข้ากับศิษย์พี่หญิงหลิวหลีแล้ว แต่ทางฝั่งนี้คือศิษย์น้องเหย่ยวินจากยอดเขาเร้นลับ ถัดมาคือศิษย์น้องหญิงหัวหยิน และคนสุดท้ายคืออวี๋ซินเหยา”

ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนก็ได้ยินเสียงเจ้าเจียงยวัน ศิษย์พี่สามของสำนักเซียนหมื่นเวทส่งเสียงฮึออกมา “มีผู้บำเพ็ญเซียนหญิงไม่น้อย หรือพวกเจ้าจะรู้แค่วิธีสับรางสาวๆ กันนะ”

ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว สีหน้าของหัวหยินและอวี๋ซินเหยาก็เปลี่ยนไปทันที พวกนางได้มาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพราะเป็นสตรี แต่เพราะในหมู่ศิษย์ใหม่ด้วยกัน พวกนางนั้นตบะแกร่งกล้าที่สุด… ทว่าเจ้าเจียงยวันกลับกล้าเปรียบพวกนางกับหญิงสาวต่ำชั้นที่มีหน้าที่สร้างความรื่นเริง

หวังลู่เหยียดยิ้มพลางคิดในใจ ‘พวกเจ้าคิดจะหาเรื่องกันแล้วใช่ไหม มาสิมา บิดาแห่งการแดกดันนั่งรอเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ข้าตั้งใจจะเปิดตอนกำลังกินจานหลักเสียหน่อย แต่ในเมื่อพวกเจ้ารีบร้อน ข้าจะช่วยเรียกน้ำย่อยให้ก็ได้’

ทว่าก่อนที่หวังลู่จะมีโอกาสได้พูด ศิษย์พี่หญิงหลิวหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลันตบโต๊ะและตะโกนเสียงดัง “อ๋อ เจ้าคือคนที่ลวนลามเด็กผู้หญิงคนนั้นนี่นา!”

แค่ก!

หวังลู่พ่นน้ำออกจากปากในทันที หลิวหลีคนนี้… ช่างโผงผางเสียจริง ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำของนางนั้นชัดแจ้งและดังพอยจะทำให้คนทั้งโรงอาหารได้ยิน สายตาทุกคู่พลันเปลี่ยนเป้าหมาย ใบหน้าของเจ้าเจียงยวันแดงก่ำขึ้นมาในทันใด

“ข้าไปลวนลามเด็กผู้หญิงเมื่อไหร่กัน”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ หวังลู่ก็เหยียดยิ้มออกมาพลางคิดในใจ ‘งี่เง่า เจ้ากล้าถามคำถามโง่ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ทำแบบนี้ก็เท่ากับเอาคอไปพาดเขียงแล้ว!’

แน่ละว่าหลิวหลีตอบอย่างพาซื่อ “ก็เมื่อเช้านี้ ข้าเห็นเจ้าจูบเด็กผู้หญิงนั่นกับตาตัวเอง อาจารย์ของข้าบอกว่าทำเช่นนั้นถือว่าอนาจาร”

“เหลวไหล ข้าแค่ ข้าแค่…” เจ้าเจียงยวันกระวนกระวายเสียจนพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแทบจะแตกอออกมา ยิ่งเขาพูด ก็ยิ่งไม่อาจแก้ต่างให้การกระทำเมื่อเช้าของตนได้”

เคราะห์ดีที่ศิษย์พี่หญิงเย่เฟยเฟยยื่นมือเข้ามาช่วย “ในเรื่องนี้ ต่างคนก็ต่างมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ความรักที่ศิษย์น้องมีให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีเรื่องสกปรกมาเจือปน มีเพียงคนที่จิตใจสกปรกเท่านั้นจึงจะมองว่ามันเป็นการอนาจาร”

หลิวหลีขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายสักนิด

เห็นดังนั้น หวังลู่จึงฉีกยิ้มเตรียมพร้อมที่จะขึ้นสังเวียน… ทว่าในตอนนั้นเองก็มีอีกคนชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ข้าว่าเรากินกันก่อนดีกว่า”

หวังลู่มองชายผู้นั้น ส่ายศีรษะจากนั้นก็ยิ้มออกมา “เสี่ยวไห่พูดถูกแล้ว กินกันก่อนเถอะ”

ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน หวังลู่ก็ไม่อยากทำให้เสี่ยวไห่เสียหน้า อย่างไรเสียการประลองฝีปากในครั้งนี้ก็เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น อาหารจานหลักยังรอท่าพวกเขาอยู่

……………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด