กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 46 เจ้าโจรหัวล้าน เจ้ากล้าสู้กับแม่ชีที่ศีลธรรมย่ำแย่คนนี้หรือ!?

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 46 เจ้าโจรหัวล้าน เจ้ากล้าสู้กับแม่ชีที่ศีลธรรมย่ำแย่คนนี้หรือ!? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

            ขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งในอาณาจักรเก้าแคว้น?

            เขากระบี่วิญญาณถ่อมตัวเกินไปแล้ว… หลี่ฮั่นถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว ไม่ใช่เพียงขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่ง แต่เป็นขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งและอันดับสองเลยต่างหาก!

            ตอนที่หวังอู่เผยแกนทองคำคู่ที่น่าทึ่งออกมา หลี่ฮั่นก็รู้ว่าเรื่องครั้งนี้คงใช้กำลังทำให้สงบได้ยาก

            หากขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายสองคนสู้กับขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งแค่คนเดียว โอกาสที่จะชนะนั้นสูงถึงเจ็ดหรือแปดส่วน แต่หากพวกเขาต้องรับมือกับแกนทองคำคู่ โอกาสของพวกเขาจะเหลือไม่ถึงสี่ส่วน… จากสัญชาตญาณเตือนภัยล่วงหน้าของสัตว์ร้าย จิตแห่งเต๋าในวิหารหยกส่งคำเตือนมาให้เขาอย่างชัดเจนว่าอย่ามีเรื่องด้วยจะดีกว่า

            ไม่แน่ว่าหากต้องสู้จริงๆ ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของวิญญาณกำเนิดใหม่ของทั้งหลี่ฮั่นและซ่าวป๋อ พวกเขาอาจจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าและสยบฝ่ายตรงข้ามได้ แต่มันก็เป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีไพ่ซ่อนไว้ในมืออีกเท่าใด สำหรับหลี่ฮั่นและคนอื่นๆ แล้ว การที่แกนทองคำคู่ปรากฏออกมาแปลว่าอย่างน้อยความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมันยังแปลว่าข้อมูลมากมายก่อนหน้านี้ของอาวุโสห้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณล้วนผิดหมด

            อาวุโสห้าผู้นี้ ตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในพันธมิตรหมื่นเซียน นางคือคนที่เหลือทนและไม่สลักสำคัญ ชื่อที่ใช้เรียกนางว่าเป็นขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งในอาณาจักรเก้าแคว้นนั้นเป็นเหมือนคำล้อเลียนมากกว่าคำชม เหล่าศิษย์น้องของนางอย่างน้อยก็ล้วนบรรลุตบะขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายกันแล้ว มีเพียงนางที่ยังคงค้างเติ่งอยู่ที่ตบะขั้นสร้างแกนและอ้างตัวว่าเป็นเจ้าแห่งขั้นสร้างแกน เมื่อยี่สิบปีก่อนนางได้ต่อสู้กับซ่าวป๋อศิษย์น้องของเขา เห็นได้ชัดว่าแม้พลังการต่อสู้ของนางจะสูงกว่าขั้นสร้างแกนทั่วไป แต่สำหรับขั้นกำเนิดใหม่หรือขั้นที่สูงกว่า พลังเท่านั้นยังไม่เพียงพอ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้องได้มาเห็นก่อนถึงจะเข้าใจ ขั้นสร้างแกนอันดับหนึ่งในอาณาจักรเก้าแคว้น จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำว่าขั้นสร้างแกน แต่อยู่ที่คำว่าอันดับหนึ่ง… คนแรกที่ให้ตำแหน่งนี้กับนางไม่ได้ตั้งใจจะป้อยอนางเพราะเห็นแก่หน้าสำนักกระบี่วิญญาณที่เป็นหนึ่งในห้าวิเศษ และไม่ได้จะล้อเลียนที่นางค้างเติ่งอยู่ที่ขั้นสร้างแกนไม่สามารถฝ่าทะลวงไปต่อได้ แต่เขาหมายความว่าแม้นางจะเป็นเพียงขั้นสร้างแกน แต่ก็ยังเป็นอันดับหนึ่งอยู่ดี!

            ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนที่เคยผ่านประสบการณ์การฝ่าทะลวงจากขั้นสร้างแกนช่วงปลายมาเป็นขั้นกำเนิดใหม่ หลี่ฮั่นมั่นใจว่าภายใต้กรอบทฤษฎีการบำเพ็ญเซียนที่มี แทบเป็นไปไม่ได้ที่แกนทองคำคู่จะมีอยู่จริง และความจริงที่ว่านางสามารถทำลายความรับรู้นับพันปีของการบำเพ็ญเซียนนั้นยิ่งน่าหวาดผวากว่าการมีอยู่ของแกนทองคำคู่ด้วยซ้ำ!

            บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นศัตรูด้วย นี่ยังไม่รวมว่าการที่นางเผยแกนทองคำคู่ให้เห็น ก็แปลว่านางหงายไพ่ที่มีอยู่ในมือออกมา ดังนั้นหากพวกเขาเลินเล่อก็ย่อมยากที่จะหาช่องในการวางแผน

            และเมื่อถึงตอนนั้นเรื่องนี้จะไม่เป็นเพียงข้อพิพาทของเหล่าผู้อาวุโส แต่จะลุกลามจนกลายเป็นสงครามระหว่างสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์และสำนักกระบี่วิญญาณ แม้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะเป็นสำนักชั้นสูง และขั้นตบะของเจ้าสำนักก็ล้ำลึกเกินหยั่งถึง แต่การต้องเป็นปรปักษ์กับห้าวิเศษ… อย่างน้อยหลี่ฮั่นก็ไม่อาจรับผิดชอบถึงขั้นนั้นได้

            ความจริงแล้ว ความขัดแย้งทั้งหมดภายในพันธมิตรหมื่นเซียนไม่เคยดำเนินไปถึงขั้นสุดท้าย ที่ปฏิบัติกันทั่วไปคือทั้งสองฝ่ายต่างอวดอ้างพละกำลังใส่กัน ฝ่ายไหนที่ไม่มั่นใจก็จะเลือกล่าถอยไปเอง และในตอนนี้ หลังจากที่หวังอู่ได้สำแดงแกนทองคำคู่ให้เห็น ท่วงท่าโอหังและความมั่นใจของนางก็พุ่งขึ้นจนถึงขั้นสุด ขณะที่ความมั่นใจของหลี่ฮั่นและซ่าวป๋อกลับสั่นคลอนอย่างหนัก

            ดังนั้นการตกลงเรื่องนี้อย่างสันติจึงเป็นความคิดที่ดีกว่ามาก

            หลี่ฮั่นในฐานะหนึ่งในสามของผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ได้เลือกที่จะถอยก่อนมานานแล้ว ทว่าการถอนตัวครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ถูกใจฝ่ายตรงข้ามกลับนัก

            “คลี่คลายได้ด้วยวิธีสันติ?” หวังอู่ส่ายศีรษะจากนั้นก็ยิ้มออกมา “ข้าอุตส่าห์เผยแกนทองคำคู่ให้เห็น แต่เจ้ากลับอยากคลี่คลายเรื่องนี้อย่างสันติหรือ”

            สีหน้าของหลี่ฮั่นเคร่งขรึมขึ้น “ไม่งั้นเจ้าอยากจะเป็นต้นเหตุของสงครามระหว่างสองสำนักรึไง ถึงตอนนั้นพันธมิตรหมื่นเซียนคงจัดเตรียมบทลงโทษให้สำนักของเจ้าอย่างสาสมแน่! พูดชัดๆ ก็คือที่นี่คือดินแดนในการดูแลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ และศิษย์ของเจ้าก็เข้ามาปล้นสัตว์เซียนของสำนักเราถึงถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน!”

            แม้น้ำเสียงของหลี่ฮั่นจะก้าวร้าว แต่คนที่คุ้นเคยกับวิธีนี้เป็นอย่างดีย่อมรู้ว่าน้ำเสียงเข้มๆ นั้นมักแฝงความอ่อนแอไว้เบื้องหลัง

            ทว่าประเด็นที่หลี่ฮั่นพูดออกมาก็มองข้ามไม่ได้ ศึกก่อนหน้านี้ระหว่างหวังลู่กับราชาพยัคฆ์อยู่ในระดับข้องใจส่วนตัว แต่เมื่อมันยกระดับไปจนเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโส การต่อสู้เต็มกำลังย่อมหมายถึงสงครามระหว่างสำนัก และด้วยระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้ที่พันธมิตรหมื่นเซียนจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับสงครามระหว่างสำนัก หนำซ้ำด้วยกรอบการทำงานของพันธมิตรหมื่นเซียน อย่างไรเสียเหตุผลก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง

            แม้แต่สำนักเซิ่งจิงเอง พวกเขาต้องระมัดระวังและทำทุกอย่างบนพื้นฐานของเหตุผลในการที่จะขึ้นมามีอำนาจ ตัวอย่างเช่น หากมีอาวุธมารปรากฏขึ้นในสำนัก หรือคนทั่วไปที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักไม่อาจเลี้ยงดูตัวเองได้… การจะไปยึดทรัพย์สมบัติของคนอื่นถือเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งยวด การฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอื่นซึ่งๆ หน้าอาจทำให้เกิดการตอบโต้ซึ่งแม้แต่สำนักเซิ่งจิงเองก็ไม่สนับสนุน ดังนั้นตอนนี้ในเมื่อหลี่ฮั่นได้เห็นว่า ‘กำลัง’ ของฝ่ายตรงข้าม ‘โดดเด่น’ ยิ่งกว่าตน เขาจึงเลือกที่จะถอยและเอาชนะอีกฝ่ายด้วยเหตุผล

            หากไม่อาจขัดขวางสัตว์เซียนไม่ให้หนีไป เขาก็จำเป็นต้องทำให้สำนักกระบี่วิญญาณจ่ายให้หนักที่สุด ทว่าจุดสำคัญที่หลี่ฮั่นและซ่าวป๋อใช้พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายผิดคือการชี้ให้เห็นว่าเขาอวิ๋นไท่อยู่ในการดูแลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ และการกระทำของสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ต่างกับการปล้นกัน!

            ทว่าหวังอู่เองก็ไม่คิดจะมีมารยาทด้วย นางหันหลังกลับแล้วพูดขึ้น “หวังลู่ ตาเจ้าแล้ว!”

            หวังลู่ยิ้มหยัน ก้าวเท้าออกมาจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและดังก้อง “สถานที่แห่งนี้มีเจ้าของก็จริง แต่ผู้คนนั้นไม่ใช่ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเจ้าครอบครองเขาอวิ๋นไท่ และกลายเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ภูเขา แม่น้ำ หรือแม้แต่พลังปราณฟ้าดินของที่นี่เจ้าจะใช้ก็ย่อมได้ ทว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเขาอวิ๋นไท่ไม่ใช่ทาสของสำนักเจ้า พวกมันมีสิทธิ์เลือกบ้านของตัวเอง”

            เมื่อเห็นว่าหวังอู่ไม่คิดโต้เถียงกับเขาด้วยตัวเอง แต่กลับให้ศิษย์ตบะขั้นพิสุทธิ์ออกโรงแทน หลี่ฮั่นก็อดที่จะย่นคิ้วไม่ได้ “เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะพูดงั้นหรือ”

            หวังอู่เหยียดยิ้ม “ไม่อยากพูดก็ได้ งั้นก็ลงมือเลยเถอะ แกนทองคำคู่ของข้าต้องการปะทะใจจะขาดแล้ว”

            “เจ้า!” ในใจหลี่ฮั่นร้อนรุ่มด้วยโทสะ อีกฝ่ายส่งศิษย์มาต่อปากต่อคำกับผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเขา เห็นได้ชัดว่านางมองว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับนางโดยตรง!

            เขา หลี่ฮั่น บำเพ็ญเซียนมากว่าสองร้อยปี ดังนั้นเขาจะยอมถูกปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร! แม้แต่ตอนที่เขาไปยังสำนักเซิ่งจิง ผู้อาวุโสขั้นเปลี่ยนวิญญาณของที่นั่นยังปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ แต่นางเป็นเพียงขั้นสร้างแกน… ไม่แปลกเลยที่แม้ว่านางจะทรงพลัง แต่ชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเซียนกลับเละเทะไม่มีดี!

            ทว่าหลี่ฮั่นกลับเปลี่ยนใจ ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่สู้ ยิ่งอีกฝ่ายทำตัวเกะกะระรานเพียงใด ก็ยิ่งเป็นการดีสำหรับเขา ตอนนี้คำพูดแต่ละคำของฝั่งนั้นสามารถนำไปเป็นหลักฐานต่อหน้าศาลตุลาการของพันธมิตรหมื่นเซียนได้!

            หากเขาจัดการเรื่องนี้ได้ดี สุดท้ายแล้วพันธมิตรหมื่นเซียนอาจสั่งให้สำนักกระบี่วิญญาณคืนสัตว์เซียนให้พวกเขาก็ได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์นี้สำนักกระบี่วิญญาณย่อมคัดค้าน ทว่ากลับกันมันจะยิ่งสร้างช่องโหว่ให้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จัดการได้มากขึ้น

            เมื่อคิดได้ดังนี้ หลี่ฮั่นก็ควบคุมความโกรธและกล่าวตอบหวังลู่ “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่เคยทำกับสิ่งมีชีวิตราวกับทาส หนำซ้ำเรายังต่อต้านการจับสิ่งมีชีวิตไปเป็นทาสอีกด้วย ดังนั้นข้าขอแนะนำผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณว่าจงคืนสัตว์เซียนที่สำนักกระบี่วิญญาณจะจับไปเป็นทาสให้แก่เขาอวิ๋นไท่ดีกว่า”

            หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คืนนางให้แก่เขาอวิ๋นไท่? แต่ซือเสวียนไม่ต้องการแบบนั้น นางตกลงที่จะกลับไปสำนักกระบี่วิญญาณกับข้า”

            หลี่ฮั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม้สัตว์เซียนภูตจันทราจะปรากฎตัวขึ้นเมื่อหกสิบปีก่อน แต่การรับรู้ของนางเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากที่ซึมซับแกนจักรพรรดิและเปลี่ยนร่างแล้ว ตอนนี้นางเป็นเหมือนผ้าขาว ไม่ว่าใครก็ย่อมโน้มน้าวได้โดยง่าย ไม่แน่ว่ากระดูกเพียงท่อนเดียวก็อาจทำให้นางยอมคุ้นเคยกับเจ้าแล้ว… การตัดสินใจเช่นนี้ยังถือเป็นจริงเป็นจังได้หรือ แม้แต่ในโลกมนุษย์ เด็กเองก็ยังไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง พวกเขาจำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง”

            หวังลู่ขมวดคิ้ว พลางคิดว่าผู้อาวุโสที่ชอบทำตัวอ่อนกว่าวัยผู้นี้มีวาทศิลป์ไม่น้อย คำพูดของอีกฝ่ายตรงประเด็นและฟังดูน่าเชื่อถือ

            ทว่าในฐานะเจ้าสำนักภูมิปัญญาที่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งร้อยล้านคน เขาจะเกรงกลัวการต่อปากต่อคำกับผู้อื่นได้อย่างไร

            “พูดถึงเรื่องผู้ปกครอง ถ้างั้นข้าก็มีเรื่องจะสารภาพ สามวันก่อนที่แกนจักรพรรดิจะปรากฏขึ้น ผู้ปกครองของซือเสวียน หรือก็คือวิญญาณภูเขาอวิ๋นไท่ตนก่อนได้ฝากฝังนางไว้กับข้า”

            สีหน้าของหลี่ฮั่นเปลี่ยนไป แต่แล้วก็ถามขึ้น “แล้ววิญญาณภูเขาอวิ๋นไท่ตนก่อนไปไหนแล้วเล่า”

            หวังลู่พลันนึกถึงร่างของเทพธิดาที่อยู่บนทะเลสาบเงียบสงบภายใต้แสงจันทร์ จากนั้นก็ตอบเสียงเสียงเศร้า “…สิ้นชีพไปแล้ว”

            “เช่นนั้นคนตายก็ไม่อาจเป็นพยานได้” หลี่ฮั่นผ่อนคลายขึ้น พลางคิดว่าการถกเถียงในครั้งนี้ดูจะเข้าทางเขาขึ้นเรื่อยๆ “แน่นอนว่าหากเทพธิดาเขาอวิ๋นไท่ตนก่อนสิ้นชีพไปแล้ว เราก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าสัตว์เซียนเป็นของใคร ดังนั้นข้าว่าปล่อยให้นางเป็นอิสระจะดีกว่า ให้นางอยู่ที่เขาอวิ๋นไท่สักสิบปี ในสิบปีนี้พอนางเติบใหญ่ขึ้น นางก็จะสามารถตัดสินใจได้เอง หากนางยังปรารถนาถึงสำนักกระบี่วิญญาณ เช่นนั้นสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราจะเป็นคนส่งตัวนางเอง!”

            หวังลู่เหยียดยิ้ม “สิบปี? ท่านหมายถึงสิบปีที่ท่านจะล้างสมองนางงั้นสิ ท่านกล้าพล่ามทางออกที่ไร้สาระแบบนี้ออกมาได้ยังไง!”

            หลี่ฮั่นกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราเอาใจใส่สัตว์ภูตมาตลอด เรื่องการดูแลสัตว์เซียนนั้น สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก้าวหน้ากว่าสำนักอื่นๆ มาก ตัวอย่างเช่น มีผู้อาวุโสสูงสุดของเราไม่น้อยที่เคยเป็นสัตว์ภูตมาก่อน ส่วนเรื่องการเล่าเรียนและฝึกฝนสัตว์เซียนนั้น ในพันธมิตรหมื่นเซียนนี้เราไม่เป็นสองรองใคร เรื่องสิ่งแวดล้อมในการเติบโตของสัตว์ภูต สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราก็ไม่แพ้ใครๆ เรื่องพวกนี้ต่างก็เป็นที่รับรู้กันดีในพันธมิตรหมื่นเซียน! ส่วนเรื่องการล้างสมองอะไรนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดไปเองฝ่ายเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อย…”

            เด็กสาวหูแมวที่อยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวงอดพูดออกมาไม่ได้ “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราเอาใจใส่สัตว์ภูตมาตลอด? ถ้างั้นท่านรู้บ้างไหมว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา อาเซี่ย…”

            ก่อนที่นางจะได้พูดต่อ หลี่ฮั่นก็พูดขัดขึ้น “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เป็นสำนักใหญ่ ย่อมมีคนชั่วที่ทำให้ชื่อเสียงของสำนักเสื่อมเสียอยู่แล้ว มีสำนักไหนในพันธมิตรหมื่นเซียนที่กล้าพูดว่าทุกคนในสำนักเป็นนักบุญ ชั่วชีวิตไม่เคยทำผิดบ้าง จะว่าไปชื่อเสียงของอาวุโสห้าของสำนักเจ้าก็ไม่ได้ดีนัก!”

            หวังอู่มองขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโศกเศร้า “คนทั้งโลกเข้าใจข้าผิดหมด”

            หลี่ฮั่นยิ้มเย็นจากนั้นก็พูดต่อ “หากไม่เชื่อละก็ เจ้าจะตรวจสอบก็ได้ว่าเราใช้อาคมล้างสมองสัตว์เซียนไหม ระหว่างสิบปีนี้เจ้าจะมาเยี่ยมเพื่อยื่นเงื่อนไขต่างๆ ได้ทุกเมื่อ สุดท้ายหลังจากจบสิบปี สัตว์เซียนจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าฝ่ายไหนเหมาะสมกับนาง และไม่ว่านางจะตัดสินใจยังไง ทุกคนก็จะยอมรับตามนั้น!”

            หวังอู่กล่าว “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเจ้าเป็นเจ้าของสถานที่นี้ เจ้าก็มีข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมเรื่องความใกล้ชิดน่ะสิ”

            หลี่ฮั่นกล่าว “ถูกแล้ว สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราเป็นเจ้าของที่นี่ เราจึงมีข้อได้เปรียบเรื่องความใกล้ชิด ส่วนเรื่องไม่เป็นธรรม… แล้วใครห้ามสำนักกระบี่วิญญาณไม่ให้มาตั้งสาขาที่เขาอวิ๋นไท่เล่า หากเจ้ามาตั้งสาขาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสองสามปีก่อน สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะกล้าแย่งชิงอาณาเขตกับหนึ่งในห้าวิเศษหรือ เราเป็นพวกแรกที่วางแผนเรื่องสัตว์เซียน แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาโทษเราเรื่องข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมเรื่องความใกล้ชิดเสียอย่างนั้น”

            เมื่อเห็นว่าการเจรจายิ่งทำให้หลี่ฮั่นค่อยๆ รุกไล่ได้มากขึ้น หวังอู่ก็แอบยิ้มขณะขยิบตาให้ผู้เป็นศิษย์

            งานดูแลเด็กของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่เจ้าว่าจะตอบโต้ได้เด็ดขาดเพียงไร

            หวังลู่เองก็แอบส่งยิ้มและขยิบตาส่งสัญญากลับไปว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน

            จากนั้นเขาก็ถามขึ้น “อาวุโสหลี่ จากที่ท่านพูด หลังจากที่เปลี่ยนร่างเรียบร้อย จิตของสัตว์เซียนนั้นไม่ต่างจากผ้าขาว หากยื่นกระดูกให้นางนางก็จะตามท่านไป แล้วท่านรู้ไหมทำไมนางถึงจะทิ้งบ้านที่อยู่มาถึงหกสิบปีแล้วตามข้ากลับสำนักกระบี่วิญญาณ”

            หลี่ฮั่นยิ้มเย็น “จะอะไรเสียอีกหากไม่ใช่คำหวาน หากเจ้ามั่นใจว่าจะจูงใจนางได้ เจ้าก็ควรตกปากรับข้อเสนอของข้าที่จะให้นางอยู่ที่นี่ไปอีกสิบปี ระหว่างนี้แต่ละฝ่ายก็จัดหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับนาง สุดท้ายแล้วนางจะตัดสินใจยังไงก็สุดแล้วแต่”

            หวังลู่ส่ายศีรษะ เผยท่าทีที่สุดจะเหลืออด “สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เงื่อนไข การตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นกับซือเสวียนแม้แต่น้อย! ทุกสิ่งในโลกล้วนมีจิตวิญญาณ และสิ่งที่ดึงดูดสิ่งเหล่านั้นให้เข้าหากันคือความจริงใจ ไม่ใช่แค่ความสนใจ!”

            ขณะพูดหวังลู่ก็เดินไปหยุดข้างๆ ป๋ายซือเสวียน จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหญิงสาวที่กำลังงงงวย เขาเอื้อมมือไปกอดอีกฝ่ายแล้วยิ้มหยันออกมา

            “ข้ากับป๋ายซือเสวียนรักกัน และสัญญาว่าจะแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว!”!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด