กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 26 จงคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นเซียน

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 26 จงคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 26 จงคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นเซียน

 

“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ แน่ล่ะ ก็เจ้าเป็นที่หนึ่งของฝูงนี่นา”

เมื่อเจ้าสำนักเจ็ดดาราฟื้นคืนสติขึ้นมา เสียงโหวกเหวกของเด็กหนุ่มก็ดังเข้ามากระทบหู ตามด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงของหญิงสาว

“เหลวไหล เขาเป็นถึงเจ้าสำนัก แน่นอนว่าขั้นตบะย่อมสูงกว่าพวกอยู่แล้ว”

พอลืมตาขึ้น ก็เห็นคนสองคนยืนประจันหน้าอยู่ เขาหวนนึกถึงตอนที่กำลังจะได้ชัยชนะ หญิงสาวผู้นี้ก็ลอบโจมตีเขาที่ด้านหลัง ทำให้ต้องพ่ายแพ้หมดหนทาง หนำซ้ำตอนนี้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดในตัวก็กระจัดกระขายไปจนหมดสิ้น ทั้งยังถูกพันธนาการไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น แม้จะอับอายที่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษ แต่เจ้าสำนักก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่น

ทว่าสิ่งแรกที่หลุดออกจากปากกลับเป็น “คนของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หวังลู่โบกมือเบาๆ “วางใจเถอะ ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็มีสภาพไม่ต่างจากเจ้านั่นแหละ”

แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่จู่ๆ เขาก็กลับขุ่นเคืองขึ้นมา

“นั่นน่ะหรือการต่อสู่ที่ยุติธรรมของเจ้า”

หวังลู่ทำหน้าตลกใส่ “แน่นอนว่าไม่ แต่แล้วจะทำไมเล่า ถ้าเจ้ายังไหวจะแจ้นไปฟ้องร้องข้าก็ได้นะ~”

“เจ้า!?”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นเรื่องความต่ำช้าและหน้าไม่อายถึงเพียงนี้!

หวังลู่หัวเราะ “อะไรกัน รู้สึกไม่ยุติธรรมหรือ ข้าขอถามหน่อย ปรมาจารย์ขั้นพิสุทธิ์ผู้สูงส่งคิดจะแหกปากเรียกร้องความเป็นธรรมที่พ่ายแพ้ข้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่บำเพ็ญเซียนมาไม่ถึงสามปีงั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้ากล้าหรือ”

เจ้าสำนักเจ็ดดารานิ่งอึ้ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่บำเพ็ญเซียนมาไม่ถึงสามปี!? ย่อมไม่ใช่แน่! ในมุมมองของเขา แม้อีกฝ่ายจะยังเด็กและมีขั้นตบะตื้นเขิน แต่อย่างน้อยก็ควรเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงที่บำเพ็ญเซียนมามากกว่าสิบปีถึงจะถูก เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเด็กถึงเพียงนี้!

ขณะที่เจ้าสำนักเจ็ดดารายังคงตะลึงงันอยู่ หวังลู่ก็พูดต่อ “หากข้าอยากชนะเจ้าจริงๆ มันก็มีอีกหลายทาง ต่อให้เป็นการประลองกันตัวต่อตัว การเอาชนะเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าแค่เลือกทางที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุด ดังนั้นถึงเจ้าแพ้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เป็นธรรม เจ้าไม่ต้องรู้สึกแย่ไปหรอก

เมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของเจ้าสำนักเจ็ดดารา หวังลู่ก็ส่ายหัว หยิบบางอย่างออกจากย่ามสีเหลืองหม่นและโยนไปเบื้องหน้าอีกฝ่าย “เจ้ารู้จักสิ่งนี้ใช่ไหม”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราเพ่งพิศสิ่งนั้นอย่างรอบคอบ “ยันต์สายฟ้า? วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า… ฮ่าๆ หากใช้สู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เจ้านี่คงถือว่าเป็นอาวุธลับชั้นดี แต่หากใช้สู้กับข้า…”

“ถูกแล้ว มันไม่ดีพอที่จะใช้ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ เพราะงั้นข้าจึงงเอาจำนวนเข้าสู้ไงเล่า”

ขณะพูด เขาก็เปิดปากยามสีเหลืองหม่นกว้างขึ้น ในนั้นมียันต์สายฟ้าส่งเสียงกระทบกันอยู่นับร้อยชิ้น ใบหน้าของเจ้าสำนักเจ็ดดาราซีดเผือดไร้สีสัน หากยันต์สายฟ้าร้อยชิ้นระเบิดขึ้นพร้อมกัน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ก็คงไม่รู้สึกยินดีเท่าไร

“ยันต์สายฟ้านี่แค่เรียกน้ำย่อย ข้ายังมียันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดาอีกด้วย ในเมื่อเจ้ารู้ที่มาของข้าแล้ว เจ้าย่อมต้องรู้ว่าแม้ขั้นเซียนของข้าจะตื้นเขิน แต่ข้าก็มีคลังแสงมากมายที่จะใช้ต่อกรกับเจ้า”

จากนั้นธิดาเทพก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

เขายอมรับอยู่ในใจเงียบๆ โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้นช่างอยุติธรรม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ที่ฝึกบำเพ็ญเซียนมาอย่างจำกัด แม้จะมีอาวุธเซียนอยู่ในมือ ก็ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ของอาวุธนั้นได้อย่างเต็มศักยภาพเพราะพลังในกายไม่เพียงพอ ทว่า…หากเป็นของชิ้นเล็กๆ อย่างยันต์สายฟ้า ยันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างอิสระ แม้พลังของยันต์เหล่านั้นจะส่งผลเพียงเล็กน้อยเมื่ออยู่ในมือพวกเขา แต่หากใช้ยันต์นับร้อยๆ ชิ้นพร้อมๆ กัน แม้แต่ผู้ฝึกเซียนขั้นพิสุทธิ์อย่างเขาก็ย่อมแบนราบเป็นหน้ากลองแน่ ไม่ต่างจากมดนับแสนตัวเข้ามารุมช้างตัวเดียว ทว่าหากใช้สิ่งเหล่านั้นต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน มันก็เท่ากับการเอาศิลาวิญญาณไปผลาญทิ้งเล่นๆ ยันต์สายฟ้าร้อยชิ้นมีมูลค่าเป็นหมื่นๆ ศิลาวิญญาณ ยันต์อัสนีพิโรธกับยันต์เพชรจินดายิ่งแพงขึ้นไปอีก เจ้าสำนักคำนวณว่าหากอีกฝ่ายคิดจะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเอาชนะตน อย่างต่ำๆ ก็ต้องจ่ายไปหลายหมื่นศิลาวิญญาณ แต่ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนราคาค่างวดไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เลยสักนิด

ฮ่า! ศิษย์จากสำนักทรงเกียรติ… แต่ละคนรวยบัดซบจริงๆ!

หวังลู่หัวเราะเบาๆ “แน่ละว่าหากข้าต้องจ่ายเงินไปเป็นหมื่นๆ ศิลาวิญญาณเพื่อต่อกรเจ้า ข้าคงรู้สึกเสียดายไม่น้อย ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้เงินหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณจ้างใครสักคนมารับมือกับเจ้า ราคานี้ข้าว่าย่อมดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้ด้วยซ้ำ เจ้าว่าไหม”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึง ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าคงจะจ่ายไปไม่น้อยเพื่อตระเตรียมค่ายกลและผู้คนในหุบเขาหูสุนัขนี่”

“ตรงข้ามเลย ข้าจ่ายไปแค่หยิบมือเดียว นั่นเพราะข้าไม่อยากจ่ายเงินให้การตระเตรียมที่มันยุ่งยาก” หวังลู่อธิบาย “บ่อจันทรา เหมืองพลังปราณ เป็นสิ่งที่คนของสำนักข้าใช้เวลาทำเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น มันใช้วัตถุดิบมากมายก็จริง แต่ข้าสร้างแท่นบูชาเอาไว้ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง ดังนั้นของส่วนใหญ่จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อ เงินที่ข้าเสียไปเพื่อต่อกรกับเจ้านั้น…คือเจ็ดพันสองร้อยศิลาวิญญาณ หักลบกับของที่สามารถเอาไว้ใช้ต่อหลังจากจบการต่อสู้ ราคาจริงๆก็คงไม่มากไม่น้อยไปกว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณ เจ้าคิดว่าไง ถูกมากเลยใช่ไหมเล่า”

ไม่ใช่แค่ถูก แต่มันสุดจะเชื่อ! เจ้าสำนักเจ็ดดาราเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ของสำนัก ดังนั้นเขาจึงรู้ราคาของบ่อจันทราและสิ่งอื่นๆ อย่างดี หากสำนักเขาจะสร้างสิ่งเหล่านั้น แค่ค่าสร้างเหมือนพลังปราณก็หลายหมื่นศิลาวิญญาณแล้ว ส่วนบ่อจันทรานั้น… เขาไม่มีพิมพ์เขียวด้วยซ้ำไป!

ในตอนนั้น ในใจของเจ้าสำนักมีแต่ความสับสน อีกทั้งเขายังเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้อาวุโสคนอื่น ความคิดของเขาจึงปั่นป่วนไม่น้อย

เมื่อเห็นใบหน้าสับสนของเจ้าสำนัก หวังลู่ก็พูดขึ้น “เจ้าอยากเดินดูสำนักของข้าหน่อยมั้ย”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราเงยหน้าขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าเข้าสำนักของเจ้า เป็นขี้ข้าเจ้า? ข้าว่าเจ้าอย่าเสียเวลาเลยดีกว่า”

หวังลู่กล่าว “อย่างน้อยก็ให้โอกาสข้าก่อนเถอะ เหตุใดจึงรีบปฏิเสธนัก เจ้ายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาสักนิด”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราเหยียดยิ้ม “จริงอยู่ที่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญาของเจ้า แต่หลังจากที่สอบถามสำนักมากมายที่อยู่แถวนี้ ข้าก็รู้ว่าสำนักเจ้านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสำนักพันวิญญาณในประเทศจันทราขาวเลยสักนิด! ฮ่า! พันธมิตรหมื่นเซียนของเจ้าอาจจะดูสูงส่ง แต่เอาเข้าจริงก็ด้อยกว่าสำนักของข้าซึ่งเป็นเพียงสำนักชั้นล่าง อย่างน้อยเราก็ด้อยกว่าแค่กำลังเงิน ไม่ใช่กำลังคน!”

หวังลู่ยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นก็ขยิบตาให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังเจ้าสำนักเจ็ดดารา

“เหวินเป่า พาคนผู้นี้ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านซิ”

“ตกลง”

จากนั้นเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็รู้สึกว่าร่างของเขาถูกมืออ้วนล่ำยกขึ้นกลางอากาศราวกับว่าเป็นชิ้นเนื้อย่างก็ไม่ปาน

เจ้าสำนักเจ็ดดาราทั้งรู้สึกอับอายและโมโหจึงพยายามดิ้นหนี เขาคิดว่าในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ แม้พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาจะกระจายไปหมดแล้ว หนำซ้ำร่างกายก็ถูกพันธนาการด้วยด้ายจำนวนมาก แต่หากเขาดิ้น แรงของเขาก็น่าจะมากพอๆ กับวัวตัวหนึ่ง ทว่าฝ่ามือที่อยู่บนคนของเขากลับบีบแน่นมากขึ้น แล้วก็มีพลังมหาศาลมากดการดิ้นหนีของเขาลง

พอหันศีรษะกลับไปมอง เจ้าสำนักก็เห็นว่าชายที่อยู่ด้านหลังเขานั้น แม้จะรูปร่างกำยำสูงใหญ่ แต่กลับดูอ่อนเยาว์ เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าซื่อสัตย์ถ่อมตัว

เจ้าสำนักถูกเหวินเป่าแบกออกมาจากโรงเก็บของแคบๆ ขนาบข้างด้วยหวังลู่

นอกโรงเก็บของ คือหมู่บ้านตระกูลหวัง สำนักงานใหญ่ของสำนักภูมิปัญญา ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนัก

ในฐานะเจ้าสำนักที่ละเอียดรอบคอบ เขาเคยเดินทางผ่านหุบเขาหูสุนัขซึ่งอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของสำนักเจ็ดดาราเมื่อสิบปีก่อน และตัดสินว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เลิศเลออะไร เขาเพียงรู้สึกเสียดายพลังปราณฟ้าดินจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ แต่ตัวหมู่บ้านนั้นไม่ได้น่าสนใจ ไม่ต่างจากหมู่บ้านห่างไกลที่อื่นๆ หากจะพูดให้ชัดก็คือ หมู่บ้านนี้ค่อนข้างร่ำรวย เพราะอยู่ไม่ไกลจากอำเภออู่โถวนัก จึงมีครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่ไม่น้อย

ทว่ามาตอนนี้หมู่บ้านตระกูลหวังกลับเปลี่ยนแปลงไปราวพลิกแผ่นดิน ที่กลางหมู่บ้านมีดวงแก้วสีเทาสูงเท่าๆ คนหนึ่งคนลอยอยู่กลางอากาศ มันค่อยๆ สูดเอาพลังงานฟ้าดินเข้าและปล่อยออกอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ มันคือกระแสพลังปราณที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราปรารถอยากครอบครองมาตลอด! ข้างใต้ดวงแก้วนั้นคือฐานพลังปราณซึ่งเชื่อมต่อกับดวงแก้ว ทำหน้าที่ควบรวมพลังปราณเพื่อให้วงโคจรหมุนวน คุณภาพของฐานไม่ได้ดีนัก แต่ลวดลายนั้นวิจิตรสวยงามและทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยม เจ้าสำนักเจ็ดดาราเองอยากได้สิ่งนี้มาตลอด แต่เขาหาพิมพ์เขียวไม่ได้

ข้างๆ ฐานพลังปราณที่อยู่ใต้ดวงแก้ว มีสิ่งของหล่ายสิ่งที่วางกระจัดกระจายตามจุดต่างๆ เช่น เครื่องมือที่ดูคล้ายฐานพลังปราณซึ่งคุณภาพไม่ค่อยดีนัก แต่กลับมียู่ไม่น้อย หนำซ้ำยังจัดวางได้อย่างชาญฉลาดและสวยงามตามสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้ หมู่บ้านตระกูลหวังจึงปกคลุมไปด้วยพลังปราณฟ้าดินที่หนาแน่นผิดธรรมดาซึ่งเกิดจากกระแสพลังปราณจากดวงแก้ว

หากได้บำเพ็ญเซียนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะมิเพิ่มเป็นสองเท่าหรือ ก่อนหน้านี้ หมู่บ้านตระกูลหวังก็มีพลังปราณฟ้าดินที่ค่อนข้างหนาแน่นอยู่แล้ว แต่หลังจากมีการจัดการเช่นนี้ มันกลับดียิ่งกว่าสถานที่ตั้งของบางสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยซ้ำ

นอกจากนี้พวกชาวบ้านยังสร้างสนามอายุวัฒนะและห้องแปรธาตุ อีกทั้งทางตะวันออกของหมู่บ้าน ยังมีบ่อจันทราขนาดใหญ่ซึ่งแต่ละคืนสามารถกักเก็บแสงจันทร์ไว้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

หมู่บ้านนี้มีทุกสิ่งไม่ต่างจากสำนักระดับล่างในพันธมิตรหมื่นเซียนมี แน่นอนว่าเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ คุณภาพไม่ดีเท่าของใช้ในสำนักระดับกลางๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน ทว่าสถานที่เล็กๆ แต่มีข้าวของครบครันเช่นนี้ถือว่าหาไม่ได้ง่ายๆ เลย

“ไม่เลวเลยเจ้าว่าไหม”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราซ่อนความสนเท่ห์ไว้ในใจและเหยียดยิ้มออกมา “ในฐานะศิษย์จากสำนักชั้นนำอย่างเจ้า ทั้งหมดนี่ก็แค่ใช้เงินไม่กี่ศิลาวิญญาณเท่านั้น”

หวังลู่พูดขัด “วัตถุดิบทุกอย่างข้าได้มาจากแท่นบูชา ส่วนที่เหลือได้มาจากหมู่บ้านตระกูลหวัง ชาวบ้านลงแรงช่วยกันก่อสร้างสิ่งต่างๆ ข้าก็แค่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการออกแบบ”

“อาศัยแรงงานของพวกโง่เง่าเหล่านี้หรือ”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราถามด้วยน้ำเสียงยากจะเชื่อ แม้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการบำเพ็ญเซียนซึ่งสร้างขึ้นในหมู่บ้านจะไม่ใช่ของมีคุณภาพสูง แต่อย่างไรเสียก็เป็นข้าวของแห่งโลกเซียน การสร้างของแต่ละชิ้นต้องอาศัยการควบคุมพลังปราณฟ้าดินอย่างเข้มงวด ซึ่งไม่อาจทำสำเร็จได้ด้วยฝีมือของปุถุชนธรรมดา

หวังลู่ยิ้ม “แม้คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะไร้ปัญญา แต่หลังจากฝึกฝนนานหลายเดือน อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถดึงพลังปราณเข้าร่างได้ ส่วนพวกที่ฉลาดเฉลียวกว่าก็เกือบจะทะลุถึงขั้นฝึกปราณระดับแปด ดังนั้นการทำงานใช้กำลังเช่นนี้ย่อมไม่เกินความสามารถ”

“หา?”

เจ้าสำนักเจ็ดดาราตกตะลึงอีกครั้ง ไปถึงขั้นฝึกปราณได้ในเวลาไม่กี่เดือน… นี่เทียบเท่ากับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณตามธรรมชาติเชียวนะ แล้วยิ่งพวกที่สามารถทะลุไปถึงขั้นฝึกปราณระดับแปดได้… พวกเขาทำได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร!?

ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็เหยียดยิ้มออกมา “เจ้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาสินะ”

หวังลู่ไม่ปฏิเสธ ขณะเดินนำชมหมู่บ้าน เขาก็พูดออกมา “ใช่แล้ว ข้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา หากไม่มีสิ่งนี้และให้กินแต่โอสถหกประสานเพียงอย่างเดียว ต่อให้บำเพ็ญเซียนไปสามปีห้าปี พวกเขาก็ยังไม่อาจไปถึงขั้นฝึกปราณได้… ทว่าเจ้าช่วยใช้สมองก่อนจะพูดออกมาได้ไหม เจ้าว่าพวกไม่ได้เรื่องพวกนี้จะสามารถพัฒนาได้โดยอาศัยวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาอย่างเดียวหรือ หากวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาดีจริง เช่นนั้นสำนักพันวิญญาณคงได้ครองทั้งแคว้นธาราครามไปแล้ว”

ขณะพูดประโยคสุดท้าย หวังลู่ก็หันหลังกลับพร้อมเหยียดยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็เคยฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี่ เจ้าไม่รู้ถึงผลของมันหรอกหรือ”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด