กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 40 เที่ยงตรงและเปิดเผย

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 40 เที่ยงตรงและเปิดเผย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสหลิวเสี่ยนและผู้อาวุโสฟางเฮ่อใช้เวลาพูดจากันโต้ตอบกันอยู่ครึ่งวัน

แม้หลิวเสี่ยนจะถอนกระบี่แห่งสัจจะออกเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา ทว่าหวังลู่ก็ใช้วิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์และพลังวิญญาณขั้นปฐมมากเกินไปจนทำให้บาดเจ็บไม่เบา

แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสองไม่นิ่งดูดาย ทั้งคู่จัดการรักษาอาการบาดเจ็บของหวังลู่อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณขั้นปฐมที่ทำงานหนักเกินไปของเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพัก ครึ่งวันผ่านไป แม้ร่างกายของหวังลู่จะยังอ่อนแออยู่ แต่เขาก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อเห็นหลิวเสี่ยนกับฟางเฮ่อตรงหน้า หวังลู่ก็ยิ้มนิดๆ

“ท่านลุง ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัดจริงๆ”

หลิวเสี่ยนเหน็บ “ข้ารู้แล้วว่าสติรู้แจ้งของเจ้ากระจ่างชัด ดูจากการที่เจ้าผ่านการทดสอบก็ได้”

ความจริง ถ้าพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว หวังลู่ไม่ถือว่าผ่านการไต่ถามของกระบี่แห่งสัจจะเพราะเขาไม่ผ่านการทดสอบสุดท้าย แต่เป็นหลิวเสี่ยนเองที่ตัดสินใจถอนกระบี่สุดท้ายที่รุนแรงที่สุดออก ไม่เปิดโอกาสให้หวังลู่พ่ายแพ้… ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในเมื่อหลิวเสี่ยนเป็นคนยกเลิกการทดสอบเอง ดังนั้นจะพูดว่าหวังลู่ไม่ผ่านการทดสอบก็ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสทั้งสองจึงถือว่าเด็กหนุ่มผ่านการทดสอบ

“ขอบคุณท่านลุง” หวังลู่ก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “ศิษย์ขอถามว่าการฝึกบำเพ็ญเซียนของศิษย์นั้นคุ้มค่ากับที่ท่านลุงลำบากลำบนจัดแผนการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ขึ้นมาหรือไม่”

เมื่อได้ยินคำถามที่แสดงความมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น หลิวเสี่ยนกลับไม่รู้สึกรำคาญทั้งยังตอบอย่างเป็นกลาง “เทียบกับศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมๆ กับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้ารวมถึงความแข็งแกร่ง เจ้านำหน้าไปหลายขุมนัก”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังลู่ก็จับใจความสำคัญของประโยคได้ทันที ศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขาเช่นนั้นหรือ

ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดที่มีเพียงน้อยนิดของสำนักกระบี่วิญญาณ เป้าหมายของหวังลู่ย่อมไม่ใช่การเอาชนะจูฉิน เหวินเป่า หรือศิษย์สำนักในคนอื่นๆ แม้เขาจะถูกรากวิญญาณนภาเฮงซวยรั้งไว้จนทำให้การบำเพ็ญเซียนของเขาล่าช้าไปถึงสองปีก็ตาม

คู่แข่งจริงๆ ของเขาคือศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ต่างหาก ในการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ มีศิษย์ผู้สืบทอดเข้าร่วมสามคน ดังนั้นคู่ต่อสู้ตัวจริงของหวังลู่ก็คือศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่เหลือ ทว่าทั้งสองคนเข้าสำนักมาก่อนเขา จึงไม่ถือว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

ดังนั้นความหมายโดยนัยของหลิวเสี่ยนจึงชัดเจน เมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคน เขานั้นไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย

หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย ที่จริงในแปดเดือนนี้ เขามัวแต่บริหารสำนัก จึงไม่อาจทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับการบำเพ็ญเซียนมากนัก ทว่าประสบการณ์ในฐานะเจ้าสำนักก็ช่วยให้เขาได้เรียนรู้กรอบความคิดล้ำค่าซึ่งศิษย์คนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้รับ และมันก็เป็นประโยชน์ต่อพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขามหาศาล ตลอดแปดเดือนมานี้ การบำเพ็ญเซียนของเขาก้าวหน้าไปเพียงหนึ่งระดับ ซึ่งไม่ถือว่าโดดเด่น ทว่าประโยชน์สูงสุดที่เขาได้รับคือพลังวิญญาณขั้นปฐมที่หนาแน่นขึ้น! นอกจากนี้ในการขยายอำนาจของสำนัก สำนักภูมิปัญญาต้องสู้รบหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของหวังลู่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้วิชาไร้ลักษณ์ของเขาจะไม่โดดเด่นด้านการจู่โจม แต่เขาก็สามารถดึงพลังจากค่ายกลเพื่อเสริมความแข็งแกร่งได้ เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งลงเขามา หวังลู่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่านัก!

ทว่าก้าวหน้าถึงขนาดนี้ก็ยังไม่อาจเอาชนะศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนได้หรือ

การต่อสู้ในเรื่องนี้ดุเดือดกว่าที่คิด… โชคดีที่สำนักของเขามีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน เมื่อบวกสิ่งนี้เข้าไปแล้ว เขาก็ประเมินเอาเองว่าไม่น่าจะมีศิษย์คนใดจะโดดเด่นไปกว่าเขาแน่ๆ

“หวังลู่ เจ้าอย่าเพิ่งกระหยิ่มใจไปหน่อยเลย” หลิวเสี่ยนถอนหายใจ “แม้เจ้าจะผ่านการทดสอบของข้าได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดสำคัญ”

แน่นอนหวังลู่รู้ดี ว่าสุดท้ายแล้วอาวุโสฟางเฮ่อต่างหากที่เป็นคนตัดสินชะตาชีวิตเขา

ดังนั้นหวังลู่จึงมองฟางเฮ่ออย่างกระตือรือร้น รอคอยให้อีกฝ่ายเปิดปากพูด

ผู้อาวุโสผู้เที่ยงตรงและเปิดเผยมองหวังลู่ที่ยังมีสีหน้าซีดเผือดแล้วก็อดส่ายศีรษะพลางถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร เรื่องสำนักภูมิปัญญาของเจ้านั้น จูฉินเองก็เขียนเอาไว้ในรายงาน เหวินเป่าก็เปิดปากสารภาพ หนำซ้ำศิษย์พี่หลิวเสี่ยนกับข้าก็ประจักษ์แก่สายตาตัวเอง! สำนักของเจ้ามีคุณธรรม จะเรียกว่าเป็นลัทธิก็ดูจะอคติไปหน่อย”

หวังลู่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ทว่าก็พูดไม่ได้ว่าซื่อตรง หากพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้ว สำนักภูมิปัญญาของเจ้ายังจัดอยู่ในหมวดลัทธิอยู่ดี”

หวังลู่เถียงกลับทันที “แต่เราได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศต้าหมิงแล้ว”

ฟางเฮ่อถลึงตาใส่หวังลู่ “ก่อนหน้านี้ สำนักพันวิญญาณก็ได้รับการรับรองจากประเทศจันทราขาว แล้วมันไม่ใช่ลัทธิหรอกหรือ การรับรองจากมนุษย์โลกเช่นนั้น… เจ้ากล้าถือเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร!”

“สำนักภูมิปัญญาของข้าสร้างจากสามัญชนทำงานเพื่อสามัญชน ดังนั้นเสียงจากสามัญชนจึงสำคัญที่สุดสำหรับเรา ดั่งคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเงินหรือถ้วยทอง ก็ไม่อาจเทียบเท่าชื่อเสียงในสังคมได้”

“เจ้านี่ช่างมั่วซั่วนัก! ยิ่งเจ้าขยับขยายสำนักในโลกมนุษย์ได้รวดเร็วเท่าไร เจ้าก็ยิ่งถอนตัวเองจากมันได้ยากเท่านั้น! เพราะเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ผู้บำเพ็ญเซียนมี มันยิ่งง่ายต่อการที่พวกเขาจะเล่นสนุกกับมนุษย์โลก ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน ในอดีตตอนที่มีสำนักมารออกอาละวาด คำสั่งเดียวจากเจ้าสำนักมารก็สามารถควบคุมให้คนธรรมดานับร้อยล้านคนยอมเสี่ยงชีวิตของตนแล้ว! อย่าบอกข้าเชียวว่านั่นไม่ใช่สำนักมารแต่เป็นสำนักที่เที่ยงธรรม!? ขนาดของสำนักเจ้าน่ะไม่มีค่าควรเอ่ยถึงแม้แต่น้อยหากเทียบกับสำนักมารที่ว่านั่น! คำกล่าวที่ว่าเส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของมนุษย์โลกมันก็หมายถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนควรขีดเส้นแบ่งตนและมนุษย์โลกออกจากกัน! สำนักเซียนไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ให้มากจนเกินไป และยิ่งไม่ควรชักจูงปุถุชนธรรมดาให้มาเป็นผู้ติดตาม ผู้ติดตามนับล้านของเจ้าถือเป็นจุดอ่อนของเจ้าโดยแท้!”

ฟางเฮ่อเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นผู้อาวุโสที่เที่ยงตรงและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีกครั้ง จากนั้นก็แนะนำอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุผลและข้อแก้ตัวมากมายที่จะยกขึ้นมาพูด ทว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาหรือผู้ติดตามนับล้าน เจ้าก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงประเด็นพวกนี้ไปได้ มันกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ไม่อาจลบล้างได้ไปแล้ว! ความจริงแล้วสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ห้ามศิษย์ก่อตั้งสำนัก ทว่าเมื่อดูจากคุณสมบัติของเจ้าและการตีความในประเด็นนี้ มีข้อแคลงใจที่ว่าเจ้าได้ละเมิดกฎในการตั้งสำนัก และทั้งนี้ทั้งนั้นสำนักที่ตั้งขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับกฎจะถูกมองว่าเป็นลัทธิและถูกสั่งห้าม”

หวังลู่ยิ้มแล้วถามขึ้น “ไม่สอดคล้องกับกฎข้อใด”

“กฎของสำนักกระบี่วิญญาณ รวมถึงกฎของพันธมิตรหมื่นเซียน”

หวังลู่นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “หากท่านลุงต้องการปกปิดเรื่องนี้ให้ข้า เช่นนั้นพันธมิตรหมื่นเซียนก็ไม่สมควรรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่ หนำซ้ำแคว้นธาราครามยังเป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่วิญญาณของเรา แม้จะมีการละเมิดกฎขึ้นที่นี่ ก็น่าจะปล่อยผ่านได้สบาย ถ้าให้พูดอย่างเข้มงวดที่สุด ในอาณาเขตของสำนักเซิ่งจิงมีการฝ่าฝืนกฎตั้งมากมาย แต่ก็ไม่เห็นมีใครคิดเอาผิดเลย”

ฟางเฮ่อเลิกคิ้ว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! ข้าเพิ่งบอกเหตุผลเจ้าไป นี่เจ้าเข้าใจบ้างไหมเนี่ย!?”

หวังลู่เอ่ยปากถามอีกครั้ง “ไม่มีทางเลี่ยงจริงๆ หรือ ท่านลุง ท่านเองก็ได้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะมองในมุมไหน การพัฒนาของสำนักภูมิปัญญานั้นชักนำสิ่งดีเข้ามามากกว่าสิ่งเลว เหตุใดจึงต้องยกกฎที่ไม่ยืดหยุ่นเหล่านั้นมาห้ามปราบกันเล่า”

ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “กฎก็คือกฎ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากข้าไม่รู้เรื่องนี้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ารู้เรื่องแล้ว ข้าก็ไม่อาจละเลยได้ ข้าเป็นผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนัก หากแม้ตัวข้าเองไม่ทำตามกฎ เช่นนั้นคำว่ากฎคงเหลือเพียงชื่อ และสำนักจะต้องหย่อนยานเป็นแน่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังลู่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง “เช่นนั้น ท่านลุงหมายถึง…”

“ยุบสำนัก และกลับขึ้นเขาไปกับข้าเพื่อรับโทษ เมื่อพิจารณาจากที่เจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์ชั่วร้าย ไม่ได้คิดหาผลประโยชน์ใส่ตัว หนำซ้ำการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ของเจ้าก็ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่นนั้นแล้วตามกฎ เจ้าเพียงต้องเก็บตัวบำเพ็ญเซียนในภูเขาสามปี”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิวเสี่ยนก็ถอนหายใจ ยุบสำนักและเก็บตัวบำเพ็ญเซียนสามปี การลงโทษนี้ไม่ถือว่าหนักไม่ถือว่าเบา และพูดได้ว่าไม่มีอคติ… แน่ละว่าหวังลู่เองคงรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะเรื่องการยุบสำนัก… ความจริงความรักที่ศิษย์น้องของเขามีให้หวังลู่ถือว่าแจ่มชัดเพราะฟางเฮ่อไม่ได้ไม่ยอมรับสำนักภูมิปัญญา ทว่าเมื่อมันเกี่ยวข้องกับกฎของสำนัก เขาจึงไม่อาจทำตัวคลุมเครือได้แม้แต่น้อย ที่ผ่านมานอกจากเจ้าสำนักจะบอกให้เขาตัดสินใจใหม่ การตัดสินของฟางเฮ่อนั้นถือว่าเลือดเย็นเป็นที่สุด

น่าเสียดายเป็นที่สุดที่ต้องยุบความพยายามตลอดแปดเดือนของหวังลู่ทิ้ง ทว่าเคราะห์ร้ายที่บนเส้นทางของการบำเพ็ญเซียนนั้นมีเรื่องให้น่าเสียดายมากมายนัก ดังนั้นสิ่งนี้จึงอาจถือว่าเป็นประสบกาณ์ที่หาได้ยากของหวังลู่ก็ย่อมได้

ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากหวังลู่ “ก็ดี ในเมื่อท่านลุงไม่ได้มีอคติต่อสำนักของข้า แต่จัดการทุกสิ่งตามกฎ เช่นนั้นก็ถือว่าดี”

ฟางเฮ่อตื่นตระหนก “ดีอย่างไร”

หวังลู่ถามกลับ “ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ ท่านลุง แม้กฎของสำนักจะห้ามตั้งลัทธิ… ทว่านิยามของคำว่าลัทธิของสำนักช่างคลุมเครือนัก ทั้งยังไม่มีกฎอื่นที่สอดคล้องกันอีกด้วย ข้าพูดถูกไหม”

เรื่องความรอบรู้ในกฎของสำนัก แม้หวังลู่จะเป็นนักเรียนแถวหน้า แต่ย่อมไม่อาจแม่นยำกฎไปกว่าผู้อาวุโสฝ่ายวินัยได้ ฟางเฮ่อกล่าวเสียงต่ำ “มันก็จริง แต่ไม่ถือว่าเป็นช่องโหว่นิยามของคำว่าลัทธิที่สำนักยึดถือก็เหมือนนิยามของพันธมิตรหมื่นเซียน และนิยามคำว่าลัทธิของพันธมิตรหมื่นเซียนนั้นก็ระบุไว้ละเอียดลออ หากอิงตามนิยามที่ว่านั่น สำนักภูมิปัญญาของเจ้าเข้าข่ายต้องห้ามอยู่หลายข้อ!”

“พูดอีกอย่างก็คือ เพราะพันธมิตรหมื่นเซียนตัดสินว่าสำนักภูมิปัญญาคือลัทธิ เช่นนั้นสำนักกระบี่วิญญาณจึงระบุให้สำนักภูมิปัญญาเป็นลัทธิหรือ”

ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าหวังลู่จะยกตรรกะนี้ขึ้นมาทำไม ทว่าก็ผงกศีรษะ “เป็นเช่นนั้น”

ทันทีที่เขากล่าวคำนั้นออกมา ใบหน้าของหวังลู่ก็ปรากฏรอยยิ้มร่าเริงจริงใจ “เช่นนั้นข้าก็เบาใจ ข้ารอให้ท่านยืนยันเช่นนี้ออกมา”

พูดจบรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมั่นอกมั่นใจ เด็กหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นแตะหน้าผาก จากนั้นก็กล่าวอย่างนุ่มนวล “อู้เฟยฮวา นี่ข้าเอง”

ขณะเดียวกัน น้ำเสียงเย้ายวนของหญิงสาวก็ดังก้องขึ้นในพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ “เจ้าสำนัก ไม่สิ ท่านผู้จัดการ”

ฟางเฮ่อตกใจ “ญาณทิพย์หยก?”

การสนทนากันด้วยพลังวิญญาณขั้นปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นตบะต่ำไม่อาจรอดพ้นการรับรู้ของผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ไปได้ ดังนั้นฟางเฮ่อและหลิวเสี่ยนจึงได้ยินการพูดคุยของหวังลู่และอู้เฟยฮวาทั้งหมด ทั้งยังได้เห็นใบหน้าทรงเสน่ห์ของอู้เฟยฮวาที่อยู่ไกลลิบด้วยซ้ำ

หวังลู่ถาม “เรียบร้อยหรือยัง”

อู้เฟยฮวากล่าวตอบ “ท่านผู้จัดการตั้งใจมอบหมายงานนี้ให้ข้า บอกให้ทำสำเร็จในสามวัน ดังนั้นข้าจึงทำอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้งานล้มเหลว”

“ให้ข้าดูที”

“ย่อมได้ แต่ท่านผู้จัดการจะตบรางวัลอะไรให้ข้าน้า”

“ข้าจะให้เจ้าเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้เลขาส่วนตัวอีกสองคน แต่ละคนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหน้าตาหล่อเหลา เหมาะควรกับการบำเพ็ญเซียนเตาหลอมสามประสานเป็นที่สุด พวกเขาจะชื่นชมเจ้าทั้งยามกลางวันยามกลางคืน เจ้าว่าเป็นไง”

“โอ้ววว ขอบคุณในความกรุณาของท่านมากท่านผู้จัดการ หากท่านผู้จัดการอยากชื่นชมข้าเป็นการส่วนตัว ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ บอกได้เลยว่าข้าจะดูแลท่านอย่างถึงใจจนท่านรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยทีเดียว”

“ฮ่ะๆ หากเจ้ายังมัวพูดจาไร้สาระอยู่ ข้าจะยกเลิกเรื่องที่เพิ่งพูดไปทั้งหมด”

อู้เฟยฮวาหุบยิ้มและรีบจัดแจงสิ่งที่หวังลู่ต้องการในทันที ภาพของสิ่งๆ นั้นถูกส่งผ่านมาทางญาณทิพย์หยก

เมื่อเห็นสิ่งนั้น หวังลู่เพียงแค่ยกยิ้มเล็กน้อย ทว่าหางเฮ่อและหลิวเสี่ยนกลับเบิกตากว้างตะโกนออกมาพร้อมกัน “เป็นไปไม่ได้!”

สิ่งที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ที่มากทั้งความรู้และประสบการณ์ควบคุมตัวเองไม่อยู่ไปครู่หนึ่งนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา

ภาพที่ปรากฏผ่านญาณทิพย์หยกคือตราประทับทองคำซึ่งนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือ ความมันวาวราวกับสายน้ำเคลือบอาบอยู่บนผิวหน้าของตราประทับนั่น… แม้ภาพเพียงอย่างเดียวไม่อาจแสดงให้เห็นรอยคลื่นซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตราประทับได้ ทว่าตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนนั้นแจ่มชัดนัก!

สำนักภูมิปัญญา

สมาชิกแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน!

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด