กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 21 ข้าผิดไปแล้ว มันก็แค่ความฝันวาบหวามเท่านั้น

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 21 ข้าผิดไปแล้ว มันก็แค่ความฝันวาบหวามเท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 21 ข้าผิดไปแล้ว มันก็แค่ความฝันวาบหวามเท่านั้น

 

วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ในแคว้นธาราคราม จะว่าไปวิชานี้นั้นโด่งดังไม่น้อย

ถ้าจะพูดให้ถูก วิชานี้ถือว่าฉาวโฉ่ เมื่อหลายเดือนก่อน ปรมาจารย์จื้อเฟิงพ่ายแพ้ต่อสำนักกระบี่วิญญาณและถูกส่งกลับสำนักอย่างน่าอับอาย แม้ทั้งสองสำนักจะปกปิดรายละเอียดในเรื่องนี้เพื่อรักษาหน้า แต่การประเมินเชิงลบของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภากลับเล็ดลอดออกมา

เริ่มแรกผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณออกมาปรักปรำว่าวิชานี้เป็นวิชาสายมาร ทว่าความจริงที่ว่าปรมาจารย์จื้อเฟิงใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อช่วยพัฒนาผู้บำเพ็ญเซียนระดับล่างจำนวนมากที่ประเทศจันทราขาวก็เป็นที่รับรู้ไปทั่ว จากนั้นพันธมิตรหมื่นเซียนก็ส่งผู้ฝึกเซียนจำนวนมากเพื่อรวมกลุ่มกันทำวิจัย พวกเขาใช้ข้อมูลที่ได้มาจากจื้อเฟิงรวมทั้งคำสารภาพของสำนักพันวิญญาณ ศึกษาวิชานี้อย่างรอบด้าน

ทว่ากลุ่มผู้วิจัยก็ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อผลจากการศึกษาวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาอย่างรอบด้านกลับสนับสนุนข้อสรุปของผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ นั่นคือที่เป็นอยู่ในตอนนี้ วิชานี้มีจุดอ่อนมากเกินไป

คำอธิบายของผู้อาวุโสสำนักกระบี่วิญญาณที่มีต่อข้อบกพร่องดังกล่าวประกอบด้วย มันจะทำให้จิตแห่งเต๋าสั่นคลอน หากฟังในฐานะผู้สังเกตการณ์ มันก็เหมือนการพยายามมองหายอดเขาที่ถูกเมฆหมอกบดบัง นั่นคือยากที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริง ทว่าก็มีคำอธิบายที่เรียบง่ายกว่านั้น นั่นคือวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่ได้ช่วยในการบำเพ็ญเซียนได้จริง มันก็แค่ความฝันวาบหวามที่รู้สึกสมจริงอย่างที่สุด ให้ความรู้สึกสุขสบายใจ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ

หลักพื้นฐานของวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาคือการเผาผลาญสิ่งมีค่าของคนผู้นั้น นั่นก็คือ อายุขัย เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนาการบำเพ็ญเซียนของตนได้ ทว่าพลังอิทธิฤทธิ์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการพัฒนาขั้นตบะ ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น หลังจากฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาสามสิบปี ผู้บำเพ็ญเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณหกประสานอาจมีขั้นตบะได้ถึงขั้นฝึกปราณระดับสูง แต่หากผู้บำเพ็ญเซียนใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ระยะเวลาที่จะไปถึงขั้นตบะดังกล่าวอาจสั้นลงหลายปี ทว่าต้องแลกกับการที่อายุขัยของผู้บำเพ็ญเซียนผู้นั้นสั้นลงไปมากกว่าหกสิบปี และหากเลินเล่อแม้เพียงนิดเดียว อายุขัยอาจถูกเผาผลาญอย่างหนักหน่วงจนทำให้ถึงชีวิตได้อย่างปุบปับ จื้อเฟิงพยายามพิสูจน์วิชานี้ แต่ที่ประสบผลก็คือ เขาสามารถเลี่ยงการตายอย่างฉับพลัน และลดการเผาผลาญอายุขัยจากหกสิบปีเหลือ…ห้าสิบปี ซึ่งหากจะพูดกันจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรแม้แต่น้อย น่าขำยิ่งนัก จากคำกล่าวอ้างของจื้อเฟิง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาฉบับปรับปรุงนั้นถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่จะสร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้ฝึกเซียนได้ แต่หากว่ากันตามแก่นแท้แล้วนั้น วิชานี้กลับปิดกั้นการการพัฒนาขั้นตบะของผู้ฝึกเซียน หากผู้ฝึกเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณเทียมอย่างรากวิญญาณหกประสานฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาร้อยปี เขาอาจสำเร็จถึงขั้นสร้างฐาน ทว่าหากเขาใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ผู้ฝึกเซียนคนนั้นอาจผลาญอายุขัยของตนจนสามารถสำเร็จตบะสูงสุดได้ถึงขั้นฝึกปราณระดับสูง หนำซ้ำเพราะการบำเพ็ญเซียนที่รุดหน้ารวดเร็วเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนคนดังกล่าวจึงไม่ต่างจากปราสาททราย ที่ไม่อาจต้านแม้เพียงสายลมเดียวได้

หากจะมีประโยชน์อยู่บ้าง วิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้จะดีก็ต่อเมื่อผู้ที่ใช้ต้องการฝ่าทะลวงแบบก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่นหากบางคนติดค้างอยู่ที่คอขวดเพราะไร้ความชำนาญ ไม่อาจทะลวงไปจนถึงตบะขั้นต่อไปได้ เขาอาจเดิมพันอายุขัยของตนกับวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อทะลวงไปให้ถึงตบะขั้นต่อไป จากนั้นก็จะได้อายุขัยคืนกลับมาบางส่วน วิธีนี้จะใช้เป็นตัวเลือกสุดท้ายก็ย่อมได้ แต่หากวิชานี้แพร่หลายไปทั่วโลกในฐานะอาวุธวิเศษที่จะช่วยเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเซียนแล้วล่ะก็ มันก็จะน่าขำเกินไป

หากยังอยู่ในช่วงกลียุคเมื่อหลายพันปีก่อน คงไม่มีใครใส่ใจหากวิชาไร้แก่นสารพรรค์นี้จะแพร่หลายในวงกว้าง ทว่าปัจจุบันนี้มีสิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นโลกแห่งเซียนจึงไม่ต้องทนใช้วิชาที่เอาเปรียบเช่นนี้ หากทุกคนคิดพึ่งพิงการเผาผลาญอายุขัยของตนในทุกครั้งที่เผชิญอุปสรรคเพื่อหวังจะฝ่าทะลวงไปได้ เช่นนั้นโลกแห่งเซียนคงไร้อนาคตแล้ว

ดังนั้นเมื่อหวังลู่เสนอแผนนี้ขึ้นมา เขาก็ถูกคัดค้านทันควัน

“ตะคริวขึ้นสมองหรืออย่างไร เจ้าคิดได้อย่างไรว่าจะใช้วิธีนี้ ไม่กลัวว่าอาจารย์ของเจ้าจะมาลากตัวเจ้ากลับไปโบยหรอกหรือ”

“น่าหัวร่อสิ้นดี เหตุใดนางจึงต้องเปลืองแรงมาตามหาข้าด้วย หากเป็นเรื่องแบ่งเงินภาษีให้นางก็ว่าไปอย่าง…”

“เจ้าก็รู้ว่านางเกลียดวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้จะตาย”

“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็ถามติดตลกออกไป “พี่หญิงหลิง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าข้าเรียนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภามาจากไหน”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์นิ่งไป “จากไหน”

“แม้ข้าจะเป็นนักเรียนแถวหน้า แต่ก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมความรู้ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องเรียนมาจากที่ใดที่หนึ่ง แม้แต่คนที่มีภูมิความรู้กว้างขวางที่สุดอย่างท่านอาหลิวเสี่ยนก็ยังไม่รู้จักวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาฉบับปรับปรุง…ทีนี้ท่านเดาได้หรือยังเล่าว่าข้าเรียนมาจากใคร”

“…เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม!? เป็นไปไม่ได้!” จู่ๆ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ รู้แจ้งขึ้นมาว่าคนที่สอนวิชานี้ให้หวังลู่ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหวังอู่เอง!

“ไม่ใช่ว่าอาจารย์ข้าเกลียดวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่นางเกลียดที่ผู้คนต่างใช้วิชานี้เป็นทางลัดในการบำเพ็ญเซียน และข้าก็เห็นด้วยกับนาง พวกคนเขลาสมควรตายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทว่าวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาไม่เกี่ยวด้วย ต่อให้มันจะห่วยแตก แต่หากนำมาใช้งานได้ ก็ถือว่ามีประโยชน์ ข้าไม่ได้จะใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นทางลัดสักหน่อย”

“…แล้วเจ้าจะใช้ขำๆ หรืออย่างไร”

“มันไม่เกี่ยวกับว่าขำหรือไม่ขำ แต่เป็นอีกขั้นหนึ่งที่ต้องก้าวไปให้ถึงเพื่อให้สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้ ลองคิดดูสิว่าคนประเภทใดที่เรากำลังพัฒนาอยู่ พวกเขาทั้งไร้เงิน ไร้สมอง ไร้ความรู้! คนพวกนี้ หากอิงตามคำพูดของอาจารย์ข้า พวกเขาควรนอนกินอาจมอยู่ที่บ้าน ไม่ควรมาเกี่ยวข้องกับโลกแห่งเซียน! สิ่งดีสิ่งเดียวที่พวกเขามีก็คืออายุขัย ดังนั้นหากพวกเขาอยากบำเพ็ญเซียน พวกเขาจะทำอย่างไรได้นอกจากต้องทุ่มสุดตัว”

ธิดาเทพงงงวย “ต่อให้ทุ่มสุดตัวแล้วอย่างไร ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาแล้วก็ยังไม่คุ้ม…”

“มันจะไม่คุ้มได้อย่างไร จริงอยู่ที่หากใช้รากวิญญาณหกประสานก็อาจไปถึงตบะขั้นสร้างฐานได้หากบำเพ็ญเซียนอย่างพากเพียรสักหนึ่งร้อยปี แต่ปุถุชนธรรมดาเหล่านี้จะหาเวลาว่างที่ไหนได้ตั้งหนึ่งร้อยปี สำนักต่างๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกลูกศิษย์ต่างไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคืออุทิศตนเพื่อบำเพ็ญเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ หากพวกเขาไม่ทำไร่ไถนา พวกเขาก็ต้องหิวตาย หากพวกเขาไม่ทอผ้า ย่อมไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ตั้งมากมายที่เบี่ยงเบนความตั้งใจของพวกเขา หนำซ้ำข้าเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะรอให้พวกเขาบำเพ็ญเซียน การเรียนรู้หาประสบการณ์ในครั้งนี้กินเวลาเพียงหนึ่งปี! หากข้าต้องรีดแรงงานจากพวกเขาอย่างเต็มกำลัง ข้าก็ต้องใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเพื่อเร่งขั้นตบะของพวกเขา ยิ่งพวกเขาบำเพ็ญเซียนได้สำเร็จเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะช่วยพัฒนาสำนักภูมิปัญญาได้เร็วเท่านั้น สำนักภูมิปัญญายังพัฒนาได้แค่เพียงขั้นแรก หากเราเร่งจังหวะอีกหน่อย เราก็ย่อมถึงเป้าหมายของการพัฒนาได้เร็วขึ้น”

“แต่หากคนพวกนี้ต้องเผาผลาญอายุขัยของพวกเขาจะยิ่งไม่สูญเสียใหญ่หลวงหรือ”

หวังลู่กล่าวเสียงเย็น “พี่หญิงหลิง ท่านกลายเป็นคนอ่อนหวานตั้งแต่เมื่อไรกัน หากว่าไม่มีคนลงแรงปลูกต้นไม้ให้ เราจะได้รื่นรมย์กับร่มเงาของต้นไม้หรือ ตอนนี้สำนักภูมิปัญญาแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณกลุ่มคนที่สำเร็จตบะขั้นฝึกปราณ ทางหนึ่งพวกเขาถือว่าเป็นโฆษณาชั้นเยี่ยม อีกทางหนึ่งพวกเขาก็เป็นแรงงานในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ของสำนัก ทั้งแท่นบูชาสำรองในหมู่บ้านตระกูลหวัง สวนติณชาติวิญญาณ วิหารวิญญาณ… เราต้องสร้างมันขึ้นมาเองหรือเปล่า หากไม่มีสิ่งก่อสร้างเหล่านี้สำนักภูมิปัญญาจะสามารถดึงดูดพวกที่มีพรสวรรค์มาเข้าร่วมสำนักได้หรือ สัปดาห์ก่อนมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นฝึกปราณที่มีพรสวรรค์สูงส่งสามคนเปรยว่าสนใจอยากเข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา… หากเรามัวรอให้พวกสวะเหล่านั้นบำเพ็ญเซียนอย่างอืดอาด ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าสำนักภูมิปัญญาจะพัฒนาเลย”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังลู่ก็อดใส่อารมณ์ไม่ได้ “การพัฒนาสำนักในขั้นแรกย่อมต้องใช้ทุนรอนจำนวนมาก ซึ่งรากเลือดและโหดร้ายไม่เบา พี่หญิงหลิงท่านเองก็ควรเรียนรู้ที่จะทำตัวให้คุ้นชินด้วย”

“ผลสุดท้าย คำพูดที่ฟังดูมีคุณธรรมของเจ้ามันก็แค่เพื่อรวบรวมเงินทองเท่านั้นล่ะ ใช่ไหม” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ยังคงขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด

“จุ๊ๆ ท่านดูถูกข้าเกินไปแล้ว พี่หญิงหลิง จนถึงตอนนี้ภาษีสติปัญญาที่ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาเก็บมานั้น ข้าก็ลงให้กับสิ่งก่อสร้างและการพัฒนาของสำนัก ไม่มีสักแดงที่เข้ากระเป๋าของข้า”

คำแย้งของหวังลู่ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้อย่างฉับไวและกว้างขวาง แต่จนถึงบัดนี้มีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่รู้รายรับรายจ่าย เขามีสมุดบัญชีอยู่ในสมองแต่ไม่เคยแบ่งปันให้ใครได้รับรู้ด้วย

“เจ้าไม่คิดละโมบสักนิดจริงหรือ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สงสัยเป็นที่สุด

หวังลู่ยักไหล่ “ไม่เกี่ยวกับว่าละโมบไม่ละโมบ แต่คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่เป็นนักผจญภัยมืออาชีพก็คือจดจำเป้าหมายและพุ่งเป้าไปที่มัน ข้าลงจากเขามาเพื่อเรียนรู้หาประสบการณ์ ไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์ และการตั้งสำนักนี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดการเรื่องภาษีสติปัญญา ไม่ใช่ต้องการหาเงินเข้ากระเป๋า เป้าหมายของข้ามันชัดเจนมากก็เท่านั้น”

“จุ๊ๆ ใบหน้าเที่ยงธรรมของเจ้าทำคนอื่นอยู่ไม่สุขเอานะ”

ทว่าแม้เสี่ยวหลิงเอ๋อร์จะไม่พออกพอใจหวังลู่อยู่บ้าง แต่ภายใต้การจัดการของหวังลู่ สำนักที่เฟื่องฟูและพัฒนาอย่างรวดเร็วในหุบเขาหูสุนัขแห่งนี้ก็ไปได้ไกลเกินกว่าที่หลายคนจินตนาการเอาไว้มาก

สามเดือนถัดมา เมื่อสำนักเจ็ดดาราพร้อมที่จะมายังหุบเขาหูสุนัข สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่ใช่สำนักลูกเจี๊ยบบอบบางที่หวังพึ่งแค่คนทรยศขั้นสร้างฐานสองคนนั่น แต่เป็นสำนักยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจแผ่ไพศาลไปหลายประเทศ

ในเวลาเพียงสามเดือน อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาก็มีมากถึงหกส่วนของสำนักเจ็ดดารา หนำซ้ำเพราะทฤษฎีแปลกใหม่และการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สำนักจึงสามารถดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนอิสระได้เป็นจำนวนมาก แม้ไม่มีสักคนที่มีขั้นตบะสูงส่ง แต่ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งนับสิบคน ซึ่งหากไม่นำไปเทียบกับสำนักชั้นนำแล้ว ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ดีงามไม่น้อย

ดังนั้นพอพวกเบื้องบนของสำนักเจ็ดดารามาถึงยังหุบเขาหูสุนัขได้ไม่ถึงครึ่งวันดี พวกเขาก็หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ และไม่มีทางเลือกนอกจากเหาะหนีหางจุกก้นกลับไปยังยอดเขาแร้นแค้นและรายงานผล

สำนักเจ็ดดาราต่างตระหนกตกใจ แม้เจ้าสำนักจะคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้! สำนักเจ็ดดาราลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศต้าหมิงมานานหลายปี อีกทั้งยังคุ้นเคยกับสำนักข้างเคียงที่มีขนาดใหญ่กว่าจำนวนไม่น้อย ครั้งนี้ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง พวกเขาตั้งใจไปดูลาดเลาที่หุบเขาหูสุนัข และได้รับการยืนยันว่าสำนักภูมิปัญญาไม่ใช่สำนักที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง แต่เป็นสำนักที่โหดเหี้ยมรับมือได้ยากสำนักหนึ่ง!

พวกเขามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมากกว่าสิบคนและมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสี่หรือห้าคน ในประเทศต้าหมิงนี้ถือว่าเป็นขุมกำลังที่ไม่ควรไปล้อเล่นด้วย แม้ความแข็งแกร่งยังคงห่างชั้นกับสำนักเจ็ดดาราอยู่มาก แต่อีกฝ่ายยังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดออกมา ในขณะเดียวกันสำนักเจ็ดดาราเองก็ไม่อาจรวบรวมไพ่ไว้ในมือเพื่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายๆ

หากพวกเขาเริ่มสงครามและแม้จะชนะ ก็เป็นชัยชนะที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นเจ้าสำนักจึงทำได้เพียงกดความโกรธเกรี้ยวไว้ในใจอย่างช่วยไม่ได้

“ว่ามาซิ”

แน่ล่ะว่าพวกเขาต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่ ทว่าตอนนี้สำนักเจ็ดดาราเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย อีกฝั่งหนึ่งเป็นใครกันแน่ พวกเขามาจากไหน พวกเขาตั้งใจจะทำอะไร คำตอบของคำถามเหล่านี้พวกเขาไม่รู้เลย!

ดังนั้นพวกเขาควรไปถามใครดี แน่นอนว่าต้องเป็นเซี่ยฉือและเหออวิ๋น สองคนนั้นที่ทิ้งสำนักไปอย่างไม่มีเหตุผล ดังนั้นแม้ว่าสำนักเจ็ดดาราจะไม่ตรวจสอบหาเหตุผลเหล่านั้น แต่พวกเขาก็น่าจะละอายแก่ใจอยู่บ้าง หนำซ้ำในบรรดาคนของอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่สำนักเจ็ดดาราจะติดต่อด้วย

สองวันต่อมา เจ้าสำนักเจ็ดดาราจึงนัดหมายกับเซี่ยฉือ แน่นอนว่าเป็นการนัดหมายอย่างลับๆ สำหรับผู้อาวุโสที่เขาเพียรซื้อตัวมาเมื่อหลายปีก่อน ถือว่าเขายังมีความหวัง

ทว่าพอได้พบกัน เซี่ยฉือก็ยิ้มหยัน “เจ้าสำนัก… ข้าขอกล่าวประโยคนี้จากใจจริง โปรดกลับไปเสียเถอะ นี่ไม่ใช่ศัตรูที่ท่านจะรับมือได้ไหว”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด