กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 6 ข้าอยากฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจ

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 6 ข้าอยากฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ทันทีที่เฟิงอิ๋นได้อ่านรายงานเล่มนี้ เขาก็คิดแผนการไว้ในหัวเรียบร้อย ถึงจุดนี้ เขาคำนวณแล้วด้วยซ้ำว่าจะได้ชื่อเสียงและคะแนนด้านวิชาการเพราะสิ่งนี้เท่าไร เขาเตรียมการทั้งหมดเอาไว้หมดแล้ว ทว่าผู้อาวุโสห้าทำเพียงเหยียดยิ้มให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้เก่งกาจของนาง

“ศิษย์พี่ นี่ท่านคิดจะขโมยผลงานด้านวิชาการของหวังลู่ซึ่งๆ หน้างั้นหรือ”

เฟิงอิ๋นตื่นตระหนก จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ศิษย์น้องหญิง เจ้าพูดเหลวไหลอะไรเช่นนี้ คนเราจะขโมยความสำเร็จด้านวิชาการของคนอื่นได้อย่างไร”

“อย่าพล่ามใส่ข้าหน่อยเลย พวกผู้บำเพ็ญเซียนที่ชอบอวดอ้างตัวว่าเป็นปราชญ์เป็นพวกที่หน้าไม่อายที่สุดแล้ว ขโมยความคิดน่ะไม่เท่าไร ต่อให้เป็นเรื่องเที่ยวผู้หญิงท่านก็ยังทำได้ ข้าพูดถูกไหม ตาแก่จากสำนักเซิ่งจิงที่โด่งดังเรื่องคลั่งไคล้นักบวชผมขาวคนนั้น ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งถูกจับเพราะไปเที่ยวหอนางโลมที่แคว้นเมฆาแล้วชักดาบมิใช่หรือ ข้าว่าท่านเองก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไรหรอก”

เฟิงอิ๋นจวนเจียนจะเศร้าใจ “ศิษย์น้องหญิง เจ้าเองก็รู้จักข้าดี ข้าบำเพ็ญเซียนมาหลายสิบปี แม้จะไม่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นปราชญ์ แต่ข้าไม่เคยทำอะไรเช่นที่เจ้าพูดสักนิด ไม่ต้องถึงขั้นว่าชักดาบไม่ชักดาบ แค่เรื่องระหว่างหญิงชายข้าก็ไม่ยุ่งแล้ว ข้าบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่สุด!”

ศิษย์น้องห้าส่งสายตาชิงชังไปยังอีกฝ่าย “โอ้ เช่นนั้นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็คงเป็นพยานชั้นเยี่ยมเลยสินะ”

เฟิงอิ๋นรีบเปลี่ยนหัวข้อในทันที “…ศิษย์น้องหญิง คุณค่าของรายงานที่หวังลู่เขียนขึ้นมามันยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจากสำนักกระบี่วิญญาณจะรับผิดชอบได้เพียงลำพัง หากเขาจะส่งรายงานนี้ไปให้คณะกรรมการการศึกษาด้วยชื่อของตนเอง ก็จะถูกพวกหนูจอมฉวยโอกาสฮุบไปในทันที ถึงตอนนั้นรายงานที่ต้องหลั่งเหงื่อเขียนมานี้จะถูกเรียกว่าเรื่องเพ้อฝันและประเมินว่าเป็นงานไร้สาระ และด้วยจิตเมตตาของคณะกรรมการการศึกษาเหล่านั้น อย่างมากเจ้าเด็กนั่นก็จะได้ชื่อเสียงด้านวิชาการสิบคะแนน ได้คะแนนด้านวิชาการอีกร้อยคะแนน ทว่าสองสามเดือนให้หลัง หลังจากที่คนพวกนั้นอ่านรายงานเล่มนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็จะตีพิมพ์หัวข้อนี้ด้วยชื่อของพวกเขาเอง แถมไม่อ้างอิงที่มาของงานชิ้นนั้นด้วย มันจะกลายเป็นผลงานพวกเขาไปโดยสมบูรณ์ อย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นเรื่องทำนองนี้มาก่อน”

ศิษย์น้องห้ายังคงยิ้มเหยียดต่อ “สมาชิกคณะกรรมการการศึกษาเฟิงกล่าววิจารณ์ตนเองได้ดียิ่งนัก”

เฟิงอิ๋นกล่าวอย่างฉุนเฉียว “หากข้าเป็นพวกเดียวกับพวกหนูสารเลวนั่น ผลงานการตีพิมพ์ในแต่ละปีของข้าจะน้อยกว่าพวกเขาตลอดได้อย่างไร!”

ทันทีที่พูดจบ ชายชราก็นิ่งอึ้งไปเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหวังอู่ค่อยๆ มีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น “อ้อ พักนี้ศิษย์พี่เป็นกังวลเรื่องผลงานตีพิมพ์ที่มีให้คณะกรรมการการศึกษา มิน่าถึงคิดจะขโมยผลงานของศิษย์ในสำนัก”

เฟิงอิ๋นตะโกนอย่างอับอาย “เจ้าจะพูดเรื่องขโมยอะไรนักหนา!?ใช่ว่าปีศาจขี้เกียจอย่างเจ้าจะสนใจเรื่องบทความพวกนี้สักหน่อย ดังนั้นข้าจึงต้องทำเอง เจ้าคิดว่าเขียนงานสักชิ้นมันง่ายนักหรืออย่างไร! อีกอย่างข้าใส่ชื่อของสำนักลงในบทความนี้ ไม่ได้คิดหาประโยชน์ใส่ตัวสักหน่อย!”

“เหลวไหลทั้งเพ ท่านเป็นเจ้าสำนัก! ไม่ใช่ว่าสำนักได้ท่านก็ได้ด้วยหรอกหรือ!? ท่านหอบบทความสวะๆ จากคณะกรรมการการศึกษากลับมาเป็นปึกๆ ทุกปี ทว่านอกจากท่านแล้ว มีใครใส่ใจอ่านมันบ้าง!”

“เหลวไหล ไม่มีใครใส่ใจอ่านกองสวะนั่นก็จริง แต่พอหลังจากข้านำมาตรวจทานเสียใหม่ คนในสำนักก็เอาไปอ่านกันอย่างแพร่หลาย ข้าทำงานหนักเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเจ้า แต่ดูท่าแล้วคงยังดีไม่พอสินะ!?”

“ชิ ขโมยผลงานหน้าด้านๆ ไม่รู้จักละอาย ศิษย์พี่ ท่านนี่สมควรเป็นเจ้าสำนักจริงๆ นั่นแหละ”

เฟิงอิ๋นพยายามแก้ต่างให้ตัวเองอยู่เป็นพักใหญ่ แต่อย่างไรเสีย คนที่เขาต้องต่อปากต่อคำด้วยคือศิษย์น้องห้าผู้หน้าทนแถมไม่มียางอาย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็ยิ้มออกมา “เอาล่ะ ข้าขี้เกียจเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องกับคนขี้เกียจอย่างเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะให้ผลประโยชน์กับหวังลู่ใช่หรือเปล่า ตอนแรกข้าไม่มั่นใจในเขานักหรอก… ดูขั้นตบะของเขาเป็นตัวอย่างสิ จนถึงตอนนี้เขาน่าจะพร้อมฝึกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์แล้วใช่ไหม”

หวังอู่ลังเล “เขาต้องการเวลาอีกหนึ่งปี ตอนนี้ระดับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์และเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาดีกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์และพลังวิญญาณขั้นปฐม การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนี้ส่งผลเหนือความคาดหมายกว่าที่ข้าคิดมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดก็มีเพียงพลังอิทธิฤทธิ์และขั้นตบะ ดังนั้นตอนนี้ยังฝึกไม่ได้”

“ข้าได้ยินเรื่องขั้นตบะมาจากศิษย์น้องรองเหมือนกัน ทันทีที่วิชาไร้ลักษณ์ทะลุแก่นวิญญาณนภาเข้าไปได้ เขาจะเก่งกาจขึ้นหลายเท่าตัว ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่สะสมเอาไว้ก่อนหน้าไปเกือบหมด ดังนั้นเจ้าคงต้องค่อยๆ ฝึกฝนเขาไปอีกหนึ่งปี สร้างรากฐานที่ดี เมื่อเขาบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับห้า ข้าจะเปิดประตูแดนปรลัยให้เขา”

หวังอู่สนอกสนใจขึ้นมาทันที “ประตูแดนปรลัย? ท่านยอมเปิดประตูแดนปรลัยจริงๆ หรือ”

“มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอม แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มั่นใจนัก ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเร่งรีบเปิดประตูที่นั่นเพื่อให้ศิษย์เข้าไปฝึกฝน ทว่าเจ้าว่าเหยาเอ๋อร์ไปอยู่ที่แห่งใดกันเล่าระหว่างการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์หนึ่งปีที่ผ่านมา”

ครั้งนี้แม้แต่หวังอู่ก็ตกใจไม่น้อย “นี่ ท่านคงไม่โหดร้ายปานนั้นหรอกน่า”

“ด้วยคุณสมบัติของเหยาเอ๋อร์ ตราบใดที่นางไม่ไปด้านตะวันตกของภูเขาฝั่งตะวันตก นางย่อมไม่เจออันตรายใดๆ สามเดือนก่อนนางบาดเจ็บหนักจึงต้องกลับมาที่นี่ แต่นางก็สามารถบรรลุแก่นของเพลงกระบี่ได้แล้ว… อย่างไรเสีย ข้าก็ได้ทำสิ่งที่โหดร้ายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ข้าก็แค่อยากรู้ว่าศิษย์น้องไม่คิดจะยอมแพ้จริงหรือ”

หวังอู่คำราม “เหลวไหล มีอะไรให้ไม่ยอมแพ้กัน”

——

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่กลับขึ้นเขามาได้หนึ่งสัปดาห์ หวังลู่ก็สบายอกสบายใจเสียจนรู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างเบากว่าที่เคยเป็น

สัปดาห์ที่ผ่านมา เหล่าผู้อาวุโสยุ่งอยู่กับการอ่านรายงานอยู่ที่หอนภาสวรรค์ ส่วนอาจารย์ของเขาอยู่ที่หอประกายดาวเจ้าสำนักทำในสิ่งที่มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ เขาไม่เห็นแม้เงาของนางมานานหลายวัน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายต่างก็ได้พักฟื้นบรรเทาความเคร่งเครียด ดังนั้นบรรยากาศในสำนักจึงเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย แม้แต่การฝึกบำเพ็ญเซียนก็ยังเป็นการฝึกรูปแบบเดิม นอกจากการหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าตัวเพื่อกระตุ้นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ต้องทำทุกวันแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่สำหรับเขา

สิ่งที่ควรค่าที่จะกล่าวถึงก็คือมีศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงบางคนมาเยี่ยมเยียนเขา อย่างเหวินเป่านี่ไม่จำเป็นต้องพูด ส่วนเยวี่ยซินเหยามาเยี่ยมเขาครั้งหนึ่ง นางไม่ได้กล่าวอะไรมากนักนอกจากขอบคุณที่หวังลู่ช่วยเปิดหูเปิดตาให้นางยามที่อยู่ในประเทศต้าหมิง

ตอนที่อยู่ในประเทศต้าหมิง นางได้ติดตามรองเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาอยู่หลายวัน ลงนามในเอกสารจำนวนมาก คัดลอกบทความอีกไม่น้อย นางได้มารู้ทีหลังว่าบางชิ้นเป็นเอกสารสำคัญที่สำนักภูมิปัญญาใช้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน ในฐานะศิษย์ของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ ลายมือชื่อของนางในฐานะพยานที่อยู่บนเอกสารสมัครเป็นสมาชิกของสำนักภูมิปัญญาถือว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ดังนั้นหากจะกล่าวว่านางมีส่วนช่วยสำนักภูมิปัญญาก็ไม่ถือว่าเกินไปนัก ทว่านางกลับรู้สึกขอบคุณหวังลู่ที่ให้นางได้มีส่วนในเหตุอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย

“ต่อให้ไม่ใช่ข้า ศิษย์พี่ก็คงหาคนอื่นทำแทนได้… ทว่าข้ารู้สึกขอบคุณที่ศิษย์พี่ยอมให้ข้าลงนามเอกสารพวกนั้น”

ในเมื่อนางปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเช่นนี้ หวังลู่จึงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณให้เขารับนางเป็นภรรยาลับหรือเปล่า ทว่าหลังจากกล่าวขอบคุณเรียบร้อยแล้ว เยวี่ยซินเหยาก็บอกลาและจากไป แล้วไม่เคยกลับมาเยี่ยมเขาอีกเลย

นอกจากนั้นยังมีแขกที่น่าสนใจอีกคน คนคนนั้นคือหวังจง เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาเดินทางขึ้นเหนือไปกับจูฉิน และแยกย้ายกันไปในครึ่งปีหลัง หลังจากได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย การออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนี้ทำให้นิสัยของเขาสงบลงอย่างมาก เมื่อได้พบหวังลู่อีกครั้ง ดูเหมือนว่ามีคำพูดนับไม่ถ้วนที่หวังจงอยากจะพูดออกมา แต่สุดท้ายแล้วคำพูดที่หลุดออกจากปากมีเพียงคำขอโทษขณะที่ยื่นเถาบุปผาโลหิตล้ำค่ามาให้

หวังลู่รับเถาบุปผาโลหิตมา ทว่าในใจกลับคิดสงสัย ระดับของเถาบุปผาโลหิตนี้ไม่ถือว่าสูง เป็นเพียงหญ้าวิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่ามูลค่าของมันจะต่ำ เถาบุปผาโลหิตเองไม่ได้มีพลังปราณฟ้าดินมากมาย แต่เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการทำโอสถวิญญาณหรือวัตถุวิญญาณ คุณค่าของมันเทียบเท่ากับหญ้าเซียน ทว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของเถาบุปผาโลหิตช่างผิดธรรมดา มันไม่ขึ้นบนเขาเมฆาครามด้วยซ้ำ ดังนั้นหวังลู่จึงคิดไม่ออกว่าหวังจงได้สิ่งนี้มาจากไหน

การมาเยี่ยมของหวังจงมีความหมายต่อหวังลู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากที่ได้รับเถาบุปผาโลหิต หวังลู่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมา หวังจงเป็นเพียงเด็กรับใช้ของเขาไม่ใช่ชู้รัก ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงไม่ได้ลึกซึ้งมาตั้งแต่แรก หวังลู่ไม่ได้เก็บเรื่องที่หวังจงเนรคุณเอามาใส่ใจ ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเข้ามาในห้วงความคิด มันก็ส่งผลต่อเขาเพียงน้อยนิด

นอกจากเยวี่ยซินเหยาและหวังจงแล้ว คนสุดท้ายที่มีค่าควรเอ่ยถึงก็คืออาย่า แม่ครัวชาวตะวันตกจากยอดเขาเร้นลับ

อาย่าอาศัยอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นได้หลายปีแล้ว นางจึงมีคนรู้จักและสหายจำนวนไม่น้อย การได้เจอหรือไม่ได้เจอพวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรสำหรับนาง ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากที่หวังลู่ลงเขาไป อาย่ากลับไปรู้สึกไม่คุ้นชินสักที อาหารที่ขายไม่ออกในโรงอาหารบนยอดเขาเร้นลับยิ่งขายไม่ออกเข้าไปใหญ่! สิ่งนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่าหวังลู่สำคัญกับการบริหารจัดการในโรงอาหารยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าเก่าแก่คนสำคัญกลับขึ้นเขามาแล้ว นางจึงตั้งใจนำอาหารรายการใหม่เต็มหม้อใหญ่มาเยี่ยมเขา ผลก็คือนางถูกหวังลู่ไล่กลับไปเกือบจะในทันที

นอกจากจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แล้ว เด็กหนุ่มก็ใช้เวลาที่เหลือทั้งสัปดาห์อย่างสุขสบาย พอสิ้นสัปดาห์ หวังอู่ก็กลับมาจากยอดเขาประกายดาว นำบทเรียนในการบำเพ็ญเซียนบทใหม่ในชีวิตมาให้หวังลู่

รูปแบบการเรียนของยอดเขาไร้ลักษณ์นั้นไม่เหมือนใคร เมื่อได้เห็นศิษย์ของตน ผู้เป็นอาจารย์ก็เพ่งพินิจอีกฝ่ายจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “บอกมาซิว่าเจ้าอยากเรียนอะไร”

หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กระบี่กระจ่างใจ”

หวังอู่อารมณ์ขึ้นในทันที “กระบี่กระจ่างใจเฮงซวยอะไรนั่นมีดีที่ตรงไหนกัน เหตุใดเจ้าจึงคิดอยากเรียน”

หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ได้ข่าวว่าศิษย์น้องหลิวหลีจากยอดเขากระจ่างใจเต๊ะท่าวางโตไปทั่วเพราะมีวิชากระบี่กระจ่างใจ ข้าก็เลยอยากเรียนบ้าง”

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาบนภูเขา เขาได้ยินบทสนทนาคล้ายๆ กับที่ได้ยินในโรงเตี๊ยมตระกูลหรู และได้รับรู้ความเป็นตำนานของศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลีผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังรับรู้เรื่องวิชากระบี่กระจ่างใจได้กระจ่างยิ่งกว่า หลักของวิชาที่เรียกว่ากระบี่กระจ่างใจคือการฝึกการบำเพ็ญเซียนที่ไม่เหมือนใครเพื่อทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมไปกระตุ้นการบำเพ็ญเซียนทั้งระบบ ผลที่ได้ก็คือพลังวิญญาณขั้นปฐม พลังอิทธิฤทธิ์ ร่างกาย รวมถึงอาวุธวิเศษในตัวจะอยู่ในสภาวะกระจ่างใส

สภาวะกระจ่างใสคืออะไร เรื่องนี้นั้นลึกลับเสียยิ่งกว่าลึกลับ เป็นแนวคิดที่ไม่อาจพรรณนาได้ แต่หากให้พูดอย่างไม่มีอคติ มันคือการที่พลังปราณของกระบี่เฉียบคมขึ้นและไม่อาจหยุดยั้งได้ ทันทีที่ปล่อยกระบี่ออกไป มันจะสามารถพุ่งตรงเจาะทะลวงจุดสำคัญของอีกฝ่ายจนด้านหน้าและด้านหลังกระจ่างใสขึ้นมา นี่คือความหมายของคำว่ากระจ่างในกระบี่กระจ่างใจ

ที่หุบเขาเมฆาโลหิต หลิวหลีสังหารปีศาจได้สิบสองตัว ในตอนนั้นนางยังไม่บรรลุถึงขั้นสร้างฐาน แต่สามารถใช้พลังได้อย่างน่าสะพรึงกลัว กระบี่กระบวนท่าแรกเจาะทะลวงปีศาจขั้นพิสุทธิ์ที่แข็งแกร่งได้ถึงสามร่าง! จากนั้นนางก็ปล่อยเพลงกระบี่แสนดุดันออกมาต่อเนื่องถึงสิบห้ากระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าเจาะผ่านร่างปีศาจนภาโลหิตตัวหนึ่งและทะลวงไปยังตัวถัดๆ ไป หลังจากที่จุดสำคัญบนร่างถูกเจาะทะลวงสิ้น บาดแผลก็จะลุกเป็นไฟ สุดท้ายแล้วหุบเขานภาโลหิตก็กลายเป็นนรกอเวจี ปีศาจเก่าแก่ชื่อดังทั้งสิบสองตัวไม่เหลือแม้แต่เศษซากโครงกระดูกด้วยซ้ำ

จากการคำนวณตามวิธีจัดระดับขั้นต่อสู้ของหวังลู่แล้ว ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิวหลีอยู่ที่ขั้นพิสุทธิ์ระดับแปด ดังนั้นการเอาชนะปีศาจทั้งสิบสองได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอายแต่อย่างใด นอกจากปีศาจทั้งสิบสองจะไม่มีดีอะไรแล้ว วิชาบำเพ็ญเซียนของพวกมันก็ไม่ได้เลิศเลอ ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกมันต่ำกว่าที่ควรเป็นหนึ่งถึงสองระดับ ทว่าการเอาชนะพวกมันได้ในคราเดียวโดยที่ไม่บาดเจ็บเลยถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

กุญแจสำคัญของชัยชนะครั้งนี้อยู่ที่เพลงกระบี่กระจ่างใจอันดุดันของหลิวหลี ความคมของกระบี่จัดได้ว่าไร้เทียมทานเพราะมันสามารถทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ทันทีที่นางชิงความได้เปรียบด้วยการโจมตีพวกมันอย่างไม่ทันตั้งตัว พวกมันก็ล้มคว่ำในทันที และจากการที่นางสังหารพวกมันได้ต่อเนื่องกัน นางจึงได้รับการบันทึกว่าสังหารปีศาจสิบสองตัวได้ในคราวเดียว สิ่งที่วิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือ หลิวหลีเพิ่งเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจได้เพียงขั้นแรกเท่านั้น

เมื่อเขาได้ยินเรื่องชัยชนะนี้ หวังลู่ก็คิดในใจว่าวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาสุดยอดในด้านการตั้งรับ หากเข้าคู่กับกระบี่กระจ่างใจที่ยอดเยี่ยมด้านโจมตี เช่นนั้นเขาย่อมเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถเต๊ะท่าวางมาดเย่อหยิ่งโอหังได้ถึงสองเท่า ซึ่งเข้ากับบุคลิกของเขาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อหวังอู่ถามเขาจึงเลือกวิชากระบี่กระจ่างใจ

ผลก็คือ ผู้เป็นอาจารย์เขม็งมองเขาเงียบๆ อยู่เป็นเวลานานจากนั้นก็เอ่ยวาจาที่ขับไล่ความกระหายในการเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจไปจนสิ้น

“หากเรียนวิชานั้น เจ้าจะโง่ลงอย่างแน่นอน”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด