กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 18 ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานตัวเล็กๆ มาเยือนหมู่บ้านตระกูลหวัง…

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 18 ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานตัวเล็กๆ มาเยือนหมู่บ้านตระกูลหวัง... at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 18 ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานตัวเล็กๆ มาเยือนหมู่บ้านตระกูลหวัง…

 

บนภูเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่งในจังหวัดตงเต้า ประเทศต้าหมิงแห่งแคว้นธาราคราม มีการรวมตัวกันอย่างลับๆ ของสมาชิกระดับสูงของสำนักเจ็ดดารา

สำนักสวะชั้นต่ำซึ่งคุณสมบัติยังไม่ถึงแม้เกณฑ์ขั้นต่ำที่จะเข้าร่วมพันธมิตรหมื่นเซียน กำลังเข้าตาจนในการใช้วิธีการผิดธรรมดาดำเนินการและพัฒนาสำนัก

หนึ่งเพราะธุรกิจหลักของพวกเขาคือการต้มตุ๋นและทำพิธีนอกรีต ดังนั้นในอาณาเขตของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกเขาจึงจำต้องแฝงตัวอยู่ในที่มืด แม้แท่นบูชาก็ยังต้องซ่อนเร้นด้วยการตั้งอยู่บนยอดเขาแห้งแล้ง มิเช่นนั้นท่ามกลางสำนักชั้นสวะเหมือนๆ กัน สำนักเจ็ดดาราย่อมถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ไม่ตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

สอง เพราะพวกเขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก หลายสิ่งที่ควรมีในสำนักทั่วๆ ไป พวกเขากลับไม่มี เช่น เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ขาดช่องทางการติดต่อที่จำเป็น ปกติแล้วในพันธมิตรหมื่นเซียน จะมีวิธีติดต่อกันระหว่างพวกเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็นผ่านกระจกวารี ยันต์สื่อสาร กระบี่บินสื่อสาร หรืออื่นๆ… สำหรับสำนักชั้นนำ ยันต์รวมตัวสัมบูรณ์สามารถทะลวงการยับยั้งของค่ายกลนับไม่ถ้วนเพื่อไปยังจุดหมายได้ ซึ่งราคาของแต่ละชิ้นนั้นสามารถซื้อสำนักเจ็ดดาราได้ทั้งสำนักเลยทีเดียว

ด้านสำนักเจ็ดดารา พวกเขาใช้ได้เพียงวิธีของมนุษย์ปุถุชน นั่นคือนัดหมายเวลาและสถานที่เพื่อประชุมเบื้องบนเท่านั้น

แม้สำนักเจ็ดดาราจะไม่ใช่สำนักใหญ่โต แต่เครือข่ายธุรกิจกลับซับซ้อน ผู้อาวุโสแต่ละคนจะมีพื้นที่ปฏิบัติการของตนเองและมักวุ่นวายอยู่กับงานของตนอยู่เสมอ ยากมากที่จะมีเวลามารวมตัวกันได้ ดังนั้นก่อนเวลาประชุม พวกเขาจะแสดงความสมัครสมานทักทายปราศรัยกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทว่าวันนี้บรรยากาศที่แท่นบูชาซึ่งเป็นที่มั่นหลักกลับมีอะไรแปลกไป

ชายวัยกลางคนในชุดสีดำเร่งรุดมายังเนินเขา คนผู้นี้มีนามว่าเซี่ยฉือ อายุน้อยสุดในบรรดาผู้อาวุโสแห่งสำนักเจ็ดดารา เขาเป็นผู้ฝึกเซียนพรสวรรค์สูงส่งที่เจ้าสำนักเจ็ดดาราดึงตัวมาจากสำนักหนึ่งในพันธมิตรหมื่นเซียนเมื่อหลายปีก่อน ปกติแล้วเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับเขามาก แต่มาคราวนี้เขากำลังเผชิญกับปัญหาในกิจการของตัวเอง จนทำให้หลงลืมกำหนดประชุมครั้งนี้ไป ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมายังที่นัดหมาย แต่ก็นับว่าช้าไปเล็กน้อย

เมื่อเซี่ยฉือมาถึงยังที่นัดหมายพร้อมรอยยิ้มฉาบบนใบหน้า เตรียมยอมรับความผิด เขากลับรู้สึกว่าหายใจติดขัดราวกับร่างกำลังแบกสิ่งที่มีน้ำหนักมหาศาลไว้

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็ได้พบว่าเจ้าสำนักกำลังโกรธจัด

ดังนั้นเขาจึงหยุดพูดจาพาที รีบเข้าไปยืนในตำแหน่งของตนอย่างว่องไว จากนั้นก็กระซิบถามผู้อาวุโสที่ยืนข้างๆ “เกิดอะไรขึ้น”

ผู้อาวุโสส่งเสียงกลับมาเบาๆ “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีใครคนหนึ่งหายไป”

เซี่ยฉือชะงัก “ตาเฒ่าเหอหายไปไหน”

“หึ พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน… เห็นว่าติดต่อไม่ได้มาพักใหญ่แล้ว คราวก่อนเขาก็ไม่ได้เข้าประชุมด้วยใช่ไหม ขาดประชุมโดยไม่มีเหตุผลถึงสองครั้งเช่นนี้ แม้เจ้าสำนักจะไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้…แต่เจ้าก็รู้ความหมายดีใช่ไหมเล่า”

เซี่ยฉือแทบไม่เชื่อหู “ตาเฒ่าเหอ เขา…ไม่ใช่พวกมีกึ๋นพอที่จะทรยศสำนักได้ หรือเขาเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว แม้ขั้นตบะเขาจะไม่แย่ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าสำนักได้…”

“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านั่น ดังนั้นเจ้าสำนึกจึงหงุดหงิดมาก แต่ก็ยังเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมปริปากออกมา”

เซี่ยฉือถาม “มีใครที่อยู่กับตาเฒ่าเหออีกบ้าง”

“นอกจากอู้เฟยฮวาคู่ฝึกเซียนของเขา คนอื่นๆ ก็เป็นเพียงพวกระดับสามแล้วก็ลูกศิษย์ชั้นล่างๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติพอจะติดต่อเรา”

เซี่ยฉือถามอีกรอบ “แต่เรามีคุณสมบัติพอจะติดต่อพวกเขานี่!?”

“รายชื่อของศิษย์ทั้งหมดในอำเภออู่โหวอยู่ในมือของตาเฒ่าเหอและเฟยฮวา แม้แต่เจ้าสำนักเองก็ไม่ได้คัดลอกเอาไว้ แล้วเราจะติดต่อพวกเขาได้อย่างไร!?”

เซี่ยฉือทำหน้างุนงง “ทำไมกัน… เหตุใดระบบการจัดการของสำนักเจ็ดดาราถึงได้ไร้เหตุผลเช่นนี้!?”

“เฮ้ อย่าเอาไปเทียบกับมาตรฐานของสำนักบ้านหมื่นดอกไม้ของเจ้าไปหน่อยเลย เฮ้อ ไม่แน่ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ เราอาจต้องระวังให้มากขึ้นก็ได้”

คนทั้งคู่แอบคุยกันอย่างเพลิดเพลิน แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงดุดันของเจ้าสำนักก็ดังขึ้น

“หึ พอที เงียบได้แล้ว”

เหล่าผู้อาวุโสจึงเงียบปากในบัดดล

น้ำเสียงที่เจือความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น “ข้าเพิ่งจะมาทบทวนเรื่องนี้ โชคดีที่ข้ารู้จักพ่อค้าตลาดมืดคนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญรู้มาว่าเมื่อไม่นานมานี้มีบางคนซื้อวัตถุดิบบางอย่างแล้วนำไปยังหุบเขาหูสุนัข หึ ไปยังหุบเขาหูสุนัขเช่นนั้น พวกนั้นย่อมต้องวางแผนทรยศแน่ๆ!”

น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมาดังราวฟ้าผ่า สร้างความหวาดผวาให้เหล่าผู้อาวุโสยิ่งนัก

แม้ขั้นตบะของเจ้าสำนักยังอยู่เพียงขั้นพิสุทธิ์ แต่ระหว่างเขากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ยังมีช่องว่างที่ไม่อาจเอาชนะได้อยู่ ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจึงไม่กล้าทำตัวโอหังอวดดี

“เซี่ยฉือ ข้าอยากให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ส่วนวิธีที่ว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร ข้าคงไม่ต้องมานั่งบอกให้ฟัง เข้าใจไหม”

ในใจของเซี่ยฉือเย็นเยียบขึ้นมาทันที “เข้าใจขอรับ!”

——

สามวันต่อมา เซี่ยฉือก็ไปถึงหุบเขาหูสุนัขในอำเภออู่โหวตามลำพัง

แม้จะผ่านมาสามวันแล้ว แต่เซี่ยฉือก็ยังมิอาจลืมน้ำเสียงเจือเจตนาฆ่าที่ดังมาจากอากาศ ก่อนที่เขาจะจากมาได้

ครั้งนี้เจ้าสำนักโกรธจัด… ทว่าความโกรธของเขาใช่ว่าไร้สาเหตุ แม้หลายปีมานี้สำนักเจ็ดดาราจะถูกหลายสำนักกำราบ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาภายใน ตาเฒ่าเหอปกติแล้วหมกมุ่นอยู่แต่กับตัณหาและกามา ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกล้าคิดทรยศ ดังนั้นการทรยศครั้งนี้จึงสร้างความเจ็บแค้นให้เจ้าสำนักอย่างยิ่งยวด เพราะตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าคนรอบกายไม่มีใครไว้ใจได้สักคน!

แต่จะว่าไป ระบบการจัดการของสำนักเจ็ดดาราถือว่าอ่อนแอนัก เพื่อที่จะปกปิดการกระทำของพวกเขาจากสำนักใหญ่ๆ สำนักเจ็ดดาราจึงใช้วิธีสั่งการเป็นเส้นตรงจากเบื้องบนไปเบื้องล่าง ผลก็คือ หากมีจุดใดขาดไป ทั้งเส้นก็จะกลายเป็นอัมพาต หนำซ้ำเมื่อปราศจากการควบคุมอย่างใกล้ชิด ตาเฒ่าเหอจึงสามารถหลบหลีกไปได้! เผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบจัดการของสำนักเจ็ดดาราอย่างชัดเจน แต่เป็นเพราะเจ้าสำนักให้ความสนใจการดำเนินการของสำนักในหมู่บ้านตระกูลหวัง ดังนั้นเมื่อเขาตรวจสอบเรื่องนี้ จึงพบว่าบุคคลที่ดูแลได้หนีหายไปเสียแล้ว!

มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันแน่… ไม่แปลกที่เจ้าสำนักจะให้เขาผู้ซึ่งมาจากพันธมิตรหมื่นเซียนจัดการเรื่องนี้ หากไม่ให้มืออาชีพเช่นเขาเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ ไม่ช้าสำนักเจ็ดดาราคงต้องถึงจุดจบต่อหน้าต่อตาเจ้าสำนักเป็นแน่! ทว่าหากมองอีกมุมหนึ่ง มีเพียงเหตุการณ์เช่นนี้ที่คุณค่าในตัวเขาจะกระจ่างชัดขึ้นมา แล้วนี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาเปลี่ยนสำนักจากสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนมาอยู่ในสำนักเล็กๆ หรอกหรือ เหตุผลก็เพราะโอกาสที่จะไต่ไปถึงตำแหน่งเจ้าสำนักนั้นมากกว่า หากมีโอกาสรวมสำนักเจ็ดดาราสวะๆ นี่เข้าไปในพันธมิตรหมื่นเซียนได้ล่ะก็ อนาคตของเขาย่อมไร้ขอบเขตเป็นแน่ ในสำนักบ้านหมื่นบุปผา เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดา แต่หากวันใดเขาได้เป็นผู้อาวุโสในพันธมิตรหมื่นเซียน เมื่อนั้นสถานะของเขาย่อมไม่เหมือนเดิมแน่นอน…

ทว่าเขาต้องพักเรื่องการบริหารจัดการของสำนักเอาไว้ก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือลงโทษคนที่ทรยศสำนัก

“ตาเฒ่าเหอเอ๋ย ตาเฒ่าเหอ เจ้าของเข้าหรืออย่างไรจึงกล้าทรยศเช่นนี้ หนำซ้ำยังกล้าเลือกที่นี่อีกด้วย หากเป็นตามบ้านนอกยากไร้ ไม่แน่ว่าเจ้าสำนักก็อาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการเจ้า เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะได้ครอบครองสถานที่ที่อุดมด้วยพลังปราณฟ้าดินซึ่งเปรียบดั่งสรวงสวรรค์ตามธรรมชาติเช่นนี้หรอก”

เซี่ยฉือเหยียดยิ้มพลางถือบุปผาหลากหนาม วัตถุวิเศษระดับห้าชิ้นเดียวของเขาไว้ในมือ บุปผาหลากหนามเป็นวัตถุวิเศษที่ได้จากโรงหล่อของสำนักบ้านหมื่นบุปผา หากใช้คู่กับวิชาหมื่นบุปผาจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ใกล้เคียงอาวุธวิเศษระดับสูงได้เลยทีเดียว เหตุผลใหญ่ที่เจ้าสำนักมั่นใจส่งเขามารับมือกับเหออวิ๋น อู้เฟยฮวา และศัตรูอื่นตามลำพังก็คือวัตถุวิเศษระดับห้าชิ้นนี้นี่เอง

ข้อสอง แม้เขาจะอ่อนวัยกว่าเหออวิ๋นไม่น้อย แต่กลับแข็งแกร่งกว่ามาก คนทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำด้วยกันทั้งคู่ ทว่าสำนักบ้านหมื่นบุปผากับสำนักป่าหยกนั้นแตกต่างกัน สำนักบ้านหมื่นบุปผาเป็นสำนักระดับแปด ส่วนสำนักป่าหยกเป็นเพียงสำนักระดับเก้า ดังนั้นแม้จะมีตบะขั้นเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขานั้นสูงกว่าถึงสิบส่วน

แม้สิบส่วนจะดูไม่มากมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หากแข็งแกร่งกว่าสิบส่วนในการประลอง ก็แปลว่าเขามีโอกาสเอาชนะได้ภายในสิบกระบวนท่า หนำซ้ำเมื่อมีวัตถุวิเศษบุปผาหลากหนามในมือ แม้เขาต้องรับมือกับเหออวิ๋นและอู้เฟยฮวาพร้อมกัน เขาก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ภายในห้ากระบวนท่า

“ตาเฒ่าเหอ อภัยให้ข้าด้วย แต่ข้าต้องทำจริงๆ”

ทันทีที่พูดจบ เซี่ยฉือก็ตัวแข็งค้าง หลังจากก้าวค้างอยู่ครึ่งก้าว เขากลับไม่กล้าที่จะสืบเท้าต่อ

ห้าวาเบื้องหน้า เหออวิ๋นที่ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตา

“อาวุโสเซี่ยฉือ เจ้าจะขอโทษขอโพยข้าทำไม”

เซี่ยฉือยังคงขยับไม่ได้ เขาประหลาดใจว่าเหตุใดตาแก่นี่จึงรู้ว่าเขาจะมาและมาหาเขาถึงที่ เขายังไม่ทันได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ!

แต่แล้วความคิดหนึ่งก็เข้ามาในสมอง ตาแก่นี่เป็นคนจัดการเรื่องในหุบเขาหูสุนัขที่อุดมไปด้วยพลังปราณฟ้าดินมากว่าสองปี จึงไม่แปลกที่เขาจะวางค่ายกลประหลาดๆ เอาไว้ อีกอย่างตาแก่ผู้นี้มาจากสำนักป่าหยก จึงน่าจะคุ้นเคยกับการสร้างค่ายกลไม่น้อย… ทว่าสกัดเขาตั้งแต่ตรงนี้จะมีประโยชน์อันใด นอกจากบุปผาหลากหนามแล้ว เขายังมีไพ่สามใบอยู่ในแขนเสื้อ แต่ละใบสามารถกำจัดตาแก่ตบะขั้นสร้างฐานระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย!

“ตาเฒ่าเหอ ท่านมาคนเดียวหรือ แล้วเฟยฮวาเล่า” แม้เซี่ยฉือจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมประมาทต่อหน้าศัตรู เมื่อเห็นตาแก่ผู้นี้ปรากฏตรงหน้าตามลำพัง แสดงว่าอู้เฟยฮวาต้องซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เตรียมพร้อมที่จะโจมตีเมื่อได้รับสัญญาณเป็นแน่

เขารู้สึกขบขันไม่น้อย ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคิดจะลอบจู่โจมเขางั้นหรือ ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะเก้าเร้นลับที่ไม่อาจทำลายได้อยู่…

“น่ารำคาญเป็นบ้า มัวรออะไรอยู่”

เซี่ยฉือตื่นตระหนกที่ได้ยินเสียงหงุดหงิดของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง ทว่าสิ่งต่อมาที่รับรู้คือ เขาถูกตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรงจนหมดสติไปในทันที

ความคิดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป ‘เกราะเก้าเร้นลับ ของลวงโลกแท้ๆ…’

——

พอเซี่ยฉือลืมตาขึ้น รอยยิ้มชั่วช้าของเหออวิ๋นก็ปรากฏขึ้นในสายตาอีกครา

เมื่อเห็นว่าเซี่ยฉือได้สติแล้ว เหออวิ๋นก็หันหน้าไปอีกทาง “ท่านผู้จัดการ ชายผู้นี้ตื่นแล้ว”

“โอ้ เร็วแท้ ดูท่าจะเป็นผู้เล่นหลักสินะ”

“หืม?”

“ไม่มีอะไร เจ้าไม่เข้าใจคำพูดคนเป็นผู้นำหรอก”

ขณะที่เหออวิ๋นกับชายแปลกหน้ากำลังพูดคุยกันอยู่ เซี่ยฉือก็กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

ที่นี่น่าจะเป็นโกดังร้างที่ทิ้งไว้นานแล้วแต่เพิ่งทำความสะอาดขึ้นใหม่ เขาถูกโยนลงมากลางกองซากปรักหักพัง แม้จะไม่ได้บาดเจ็บ แต่พลังอิทธิฤทธิ์ในตัวกลับกระจัดกระจาย แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเพราะขั้นตบะของเขายังคงเดิม แต่ทั้งร่างกลับถูกมัดไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย… ร่างของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานอย่างเขาแข็งแกร่งกว่าขั้นฝึกปราณหรือจอมยุทธ์ในโลกวรยุทธ์มากนัก ทว่าเมื่อถูกมัดไว้เช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีช่องว่างที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย

ภายในโกดัง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหออวิ๋นคือเด็กหนุ่มที่ตาเฒ่าเหอพูดคุยด้วย ดูจากวิธีพูด เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มมีสถานะสูงกว่าเหออวิ๋น

นอกจากพวกเขา ยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ทำหน้าอดรนทนไม่ได้อยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม ดูจากภาษาท่าทางแล้ว เหมือนว่าสถานะของนางจะสูงกว่าเด็กหนุ่มเล็กน้อย

เซี่ยฉือประหลาดใจ แต่เขาก็ไขปริศนาได้ในทันที มีคนนอกสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยนั่นเอง มิเช่นนั้น เหออวิ๋นคงไม่กล้าพอที่จะทรยศสำนักเป็นแน่

ทว่าสำนักใหญ่ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจหมู่บ้านตระกูลหวังบนหุบเขาหูสุนัขแห่งนี้สักหน่อย หรือจะมีสำนักใดในแคว้นธาราครามที่เขามาแทรกแซงกิจการของสำนักเจ็ดดารากันนะ

ขณะที่เซี่ยฉือกำลังเค้นสมอง เสาะหาร่องรอยเพิ่มเติม ร่างเด็กหนุ่มก็เข้ามาปรากฏชัดในสายตาของเขา

“สวัสดี ข้า ผู้จัดการของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้น เจ้าสำนักภูมิปัญญา ขอต้อนรับเจ้าสู่ครอบครัวที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่แต่ต่อไปต้องโด่งต้องดังแห่งนี้ เรามาร่วมแรงร่วมใจบริหารจัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นด้วยกันเถอะ!”

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด