กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 40 ตอนยังเด็ก เขาไม่รู้ว่าความรักคืออะไร

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 40 ตอนยังเด็ก เขาไม่รู้ว่าความรักคืออะไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

            การส่งตัวฉือโฮ่วไปยังบ้านตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์เป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงจนถึงขั้นโง่มหันต์ ตอนแรกเขาแค่ต้องการใช้ช่องทางที่มีอยู่ที่นั่นพิสูจน์ตัวตนของหวังลู่และหลิวหลี ทว่าไม่คิดว่าขั้นตอนต่างๆ จะราบรื่นและรวดเร็ว ไม่นานหลังจากที่ฉือโฮ่วแทรกซึมเข้าไปในตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์ เขาก็ได้พบความจริง และเป็นความจริงที่คาดไม่ถึงเสียด้วย

            ตอนที่อาเซี่ยได้รู้ว่าหวังลู่มาจากสำนักกระบี่วิญญาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน ใจของเขาที่ครั้งหนึ่งท่วมท้นไปด้วยความละโมบกลับหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด

            ห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนไม่เพียงแข็งแกร่งกว่าสำนักระดับสูงอื่นๆ เท่านั้น ยกเว้นสำนักกระบี่วิญญาณที่เป็นกรณีพิเศษ อีกสี่สำนักนั้นแม้ว่าคนรุ่นหลังๆ จะพยายามลบล้างอดีตที่ผ่านมาของสำนักอย่างไร สุดท้ายพวกเขาก็ยืนอยู่บนภูเขาซากศพและทะเลเลือดอยู่ดี             กว่าหกพันปีก่อน หลังจบกลียุคอำนาจที่เกือบเบ็ดเสร็จของสำนักคุณหลุนถูกทำลายลง และเมื่อสองพันปีก่อน ในมหาสงครามระหว่างเซียนและปีศาจ ความสำเร็จของสำนักเซิ่งจิงได้ขับเคลื่อนสถานะของพวกเขาให้ขึ้นไปถึงจุดสุดยอด ในตอนนั้นสำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักจอมทัพกษัตริย์ก็สร้างชื่อของตนขึ้นมาเช่นกัน การเติบโตของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ถือว่าน่าสนใจ และจำกัดอยู่เพียงในแคว้นธาราครามถึงสี่พันปีโดยไม่ขยับขยายออกมาภายนอก ความจริงแล้วมีการถกเถียงกันในพันธมิตรหมื่นเซียนว่าเหตุใดสำนักนี้จึงถูกเชิดชูเกียรติให้เทียบเท่าสำนักที่เกรียงไกรอีกสี่สำนัก ทว่าหากมองในแง่หนึ่ง สำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่สมควรถูกมองข้าม เพราะตั้งแต่ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อสี่พันปีก่อน สำนักนี้ก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับศึกนอกแคว้นสักครั้ง

            อย่างน้อยก็ไม่มีสำนักใดกล้าพูดอย่างมั่นใจว่าพวกเขาเคยมีชัยเหนือสำนักกระบี่วิญญาณในศึกใหญ่ระหว่างสำนัก ไม่มีแม้แต่สำนักเดียว

ดังนั้นอาเซี่ยจึงย่อมไม่อยากมีเรื่องกับสำนักกระบี่วิญญาณ แม้อิทธิพลของสำนักกระบี่วิญญาณนอกแคว้นธาราครามจะน้อยนิดจนไม่ต่างอะไรกับสำนักระดับกลาง แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็แบกชื่อเสียงอันเกรียงไกรของห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียนเอาไว้

            หากต้องการจะสั่งสอนบทเรียนให้หวังลู่ แค่อัดเขาให้ฟกช้ำดำเขียวสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรมากมาย สำหรับสำนักระดับสูงสุดเหล่านี้ หากศิษย์มากพรสวรรค์ต้องพบเจอความพ่ายแพ้นอกสำนัก พวกเขาก็ไม่ถือว่าเสียเกียรติอะไร ตรงกันข้ามมันกลับเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะไม่เพียงจะช่วยให้ศิษย์แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย แล้วหากศิษย์ต้องเสียหน้าเล่า แน่นอนว่าเรื่องนี้คงต้องยกเว้นสำนักจอมทัพกษัตริย์ที่ปกป้องศิษย์อยู่ตลอดเวลาไว้สำนักหนึ่ง

            แต่หากอาเซี่ยใช้วิธีสกปรกขู่ขวัญตระกูลศิษย์ของพวกเขา มันก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง สำนักกระบี่วิญญาณย่อมไม่ทนกับการกระทำดังกล่าวแน่ แม้ไม่มีตัวอย่างให้เห็นว่าพวกเขามีวิธีตอบโต้อย่างไร ทว่าหากอิงตามวิธีที่สำนักเซิ่งจิงใช้… สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมไม่มีชื่อเป็นหนึ่งในสำนักระดับสูงไปอย่างน้อยอีกสองร้อยปี

            แน่นอนว่าอาเซี่ยย่อมไม่อยากมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้ามที่น่ากลัวเช่นนั้น ทว่าในตอนนี้เขามีตัวเลือกอื่นหรือ ไพ่ใบที่มั่นใจที่สุดก็ล้มเหลวไปแล้ว ดังนั้นแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งนี้คือยาพิษ เขาก็ทำได้เพียงยกมันขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย เพียงแต่เขาไม่คิดว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้…

            เพื่อเป็นการรับประกัน อาเซี่ยจึงออกคำสั่งให้ฉือโฮ่วจับตามองตระกูลเยวี่ยอย่างใกล้ชิด หลังจากที่หวังลู่เผยไพ่ใบแรกออกมา

            ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ว่าหวังลู่เล่นเล่ห์ แต่เป็นเขาต่างหากที่เล่นเล่ห์กับหวังลู่ ฉือโฮ่วกับสัตว์ภูตที่เปลี่ยนร่างเป็นคนอย่างสมบูรณ์อยู่ที่ตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์นานแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้ลงมือทำอะไร แน่นอนว่าจากการคำนวณของอาเซี่ย สัตว์ภูตที่มีตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายแต่ความแข็งแกร่งจริงๆ เกือบแตะขั้นกำเนิดใหม่ บวกกับค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายที่ฉือโฮ่วควบคุมอยู่ย่อมสามารถจัดการสถานการณ์ได้ภายในชั่วพริบตา เขาเพียงไม่คิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำ สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

            “สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ พลังของนางยิ่งใหญ่จริงๆ ข้าคิดว่าโอกาสที่ข้ากับหลิวหลีได้รับ แม้ไม่จำเป็นต้องมากมายเท่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ จะทำให้นางไม่พัฒนาทิ้งห่างเราไปไกล แต่สงสัยเราคงต้องฝึกให้หนักกว่านี้อีกหน่อยแล้ว”

            หวังลู่บ่นพึมพำอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าทุกคำกลับผลักให้อารมณ์ของอาเซี่ยจมดิ่งลงไปอีก

            ทว่าในตอนนั้นเองหวังลู่ก็ได้ยินเสียงพลังวิญญาณขั้นปฐมของเสี่ยวชีดังขึ้น “เจ้าเสร็จธุระหรือยัง! ทำไมมัวแต่พูดจาไร้สาระกับเจ้าสวะนั่นอยู่ได้ ไม่รู้หรือว่ามัวแต่ฝอยจะทำให้เสียเรื่อง อันตรายตรงนี้ยังไม่หมด รีบๆ กลับมาเร็วเข้า!”

            ร่องรอยการเยาะหยันและเหยียดหยามยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของหวังลู่ ทว่าคำตอบที่เขามีให้เสี่ยวชีกลับดูสิ้นหวัง

            “กลับไป? กลับไปยังไง มีผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนอย่างน้อยสิบสองคนล้อมข้าอยู่ หนำซ้ำตอนนี้ข้าลอยคว้างอยู่กลางอากาศ เท้าไม่ได้แตะพื้นเลยใช้เพลงกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์เหมือนอย่างตอนที่อยู่บนพื้นดินไม่ได้ ถามจริงเถอะ ท่านคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะใช้กำลังทะลวงผ่านวงล้อมนี้ไปได้”

            เสี่ยวชีอึ้งไป “เจ้า..จะว่าไป เมื่อกี้ที่เจ้าทะลวงไปถึงแถวของศัตรูในชั่วพริบตา แล้วตอนนี้ดันติดแหง็กอยู่ตรงนั้น หมายความว่าที่เจ้ากวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนราวกับว่าจะเข่นฆ่าอาเซี่ยมันเป็นแค่การแสดงหรือ ถ้าเจ้าลงมือจริงๆ ไม่ได้ แล้วจะเอายังไงต่อ จะให้ข้าไปช่วยไหม”

            “แล้วท่านปลีกตัวมาช่วยข้าได้หรือ ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ต่อให้ข้ายืนเฉยไม่ลงมือก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานหรอก ท่านดูแลหลิวหลีไปเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะลงไปหาเอง”

            พูดจบ หวังลู่ก็ตัดการเชื่อมต่อบทสนทนาของเสี่ยวชีและกลับไปใส่ใจอาเซี่ยอีกครั้ง

            ในเมื่อไพ่ทุกใบใช้การไม่ได้ อาเซี่ยจึงถูกต้อนให้จนมุม จิตใจของเขากำลังยุ่งเหยิง ความสิ้นหวังไม่สิ้นสุดสะท้อนออกมาบนใบหน้าที่โหดเหี้ยมของราชาพยัคฆ์ ทว่าในตอนนั้นเองเขากลับได้ยินหวังลู่กล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก

            “หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าจะให้โอกาส”

            “ว่าไงนะ!?”

            “คุกเข่าขอโทษและส่งยาถอนพิษมาแล้วข้าจะเว้นชีวิตเจ้า แต่อย่าเข้าใจผิดเชียว ข้าไม่ได้ต้องการยาถอนพิษอะไรนั่น ข้าแค่อยากให้ศิษย์น้องหญิงหายเจ็บไวขึ้นอีกหน่อย ต่อให้เจ้าไม่ให้ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย”

            สีหน้าของอาเซี่ยเต็มไปด้วยความสับสน อึดใจถัดมาเขาก็หยิบขวดแก้วใบเล็กสีน้ำเงินออกมาจากย่ามสีเหลืองตุ่นด้วยมือที่สั่นเทา หวังลู่เอื้อมมือไปรับจากนั้นก็โยนสิ่งนี้ลงไปให้เสี่ยวชีที่อยู่ในหุบเขาจันทร์เต็มดวง

            “ดี ข้าได้ยาถอนพิษแล้ว ตอนนี้ถ้าเจ้าคุกเข่าขอโทษ เรื่องที่แล้วไปแล้วข้าก็จะแล้วมันไป”

            อาเซี่ยพูดเสียงแหบ “เจ้ากล้าสาบานไหมเล่า สาบานกับปีศาจในใจว่าเจ้าจะแล้วไปแล้วอย่างที่พูดจริงๆ”

            หวังลู่หัวเราะ “คำสาบานกับปีศาจในใจ? ก็เอาเถอะ ถ้าเจ้าคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่าขนาดนั้น ในความคิดของข้าการตายของสิ่งมีชีวิตไร้ค่าอย่างเจ้าไม่สำคัญเลยสักนิด ดังนั้นรีบคุกเข่าลงมาเร็วๆ เข้า ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นหน่อย แล้วข้าจะปล่อยชีวิตที่น่าเวทนาของเจ้าไป”

            จากนั้นหวังลู่ก็เรียกปีศาจในใจออกมาและให้คำสาบานตามมาตรฐานไป หนำซ้ำ ขอบเขตของคำสาบานยังกว้างกว่าที่อาเซี่ยคิดเอาไว้ด้วย

            “ข้าสาบานว่าถ้าเขาคุกเข่าขอความเมตตาต่อหน้าข้า ข้ากับสหายจะไม่ทำร้ายเขาแม้เพียงน้อย หากข้าผิดคำสาบาน ข้าจะยอมให้ปีศาจในใจหลอกหลอนจนตาย”

            เมื่อได้ยินหวังลู่เอ่ยคำสาบานสบายๆ เช่นนี้ ญาณหยั่งรู้ของอาเซี่ยก็เตือนว่ามันต้องมีช่องโหว่บางอย่างแน่ ทว่าด้านหนึ่งเขานั้นบาดเจ็บสาหัส จิตแห่งเต๋าเสียหาย ดังนั้นความสามารถในการคิดจึงตกฮวบอย่างมาก อีกด้านหนึ่งนี่เป็นโอกาสที่เขาจะรอด เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว… ดังนั้นหลังจากต่อสู้ในใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ย่อตัวลง ตอนนี้อาเซี่ยลอยค้างอยู่กลางอากาศ ดังนั้นเข่าย่อมไม่สัมผัสพื้น ทว่าท่วงท่าเป็นการคุกเข่าไม่ผิดเพี้ยนแน่

            “ฮ่ะๆๆ เจ้าก็มีหัวคิดนี่” หวังลู่ไม่คิดปรายตามองอีกฝ่ายนานนัก หลังจากยิ้มเหยียด เขาก็หันหลังและพร้อมจะจากไป

            ขณะคุกเข่าอยู่กลางอากาศ อาเซี่ยก็ได้เห็นการเคลื่อนไหวของหวังลู่อย่างใกล้ชิด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

            ข้าควรปล่อยหมอนี่ไปแบบนี้จริงๆ หรือ เขารุดมายังแนวของศัตรูตามลำพังและถูกผู้มีความสามารถจำนวนมากล้อมอยู่ ไม่คาดคิดว่า…เขาจะกลับลงไปง่ายๆ นี่ข้าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

            ทว่าก่อนที่สมองทึมทื่อของอาเซี่ยจะทันได้คิดอะไรให้ลึกซึ้ง เขาก็ได้ยินหวังลู่หัวเราะและพูดขึ้น “เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เอ๋ย พวกเจ้าไม่คิดจะลงมือหน่อยหรือ มัวรออะไรกันอยู่ เจ้าขยะจอมปลอมนี่ดูหมิ่นเกียรติผู้อาวุโสสูงสุดเล่ยเจิ้นของพวกเจ้า และเกือบทำให้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต้องเผชิญหายนะ ตามกฎของสำนักพวกเจ้าแล้ว ฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล”

            ทันทีที่รู้แจ้ง ใจของอาเซี่ยก็เหมือนจะระเบิดออกมา ตอนนี้เขาเข้าใจแผนการของหวังลู่แล้ว

            เจ้าหมอนี่ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายจริงๆ!

            “แม้ข้าจะเป็นปรปักษ์กับผู้อาวุโสสูงสุดเล่ยเจิ้นของพวกเจ้า แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุรุษที่น่าเคารพ เขาเก่งกาจ กล้าหาญ และไม่หนีความรับผิดชอบ หากข้าไม่ได้จิตวิญญาณภูเขาช่วย และต้องอาศัยเพียงขั้นตบะแค่อย่างเดียว ต่อให้อีกสิบปีข้าก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้ หากเราได้พบกันในสถานการณ์อื่นข้าก็อยากเป็นสหายกับเขา”

            พูดจบหวังลู่ก็มองกลับไปยังเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์

            ผู้อาวุโสกงหยางมีสีหน้าสับสน เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหวังลู่ทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว

            “หนำซ้ำข้ารู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดเล่ยเจิ้นย่อมไม่ใช้วิธีสกปรกแน่ หึ บังคับให้เด็กแมวที่น่าสงสารทำตัวเป็นนักฆ่าด้วยการแทงเด็กสาวเข้าที่หลัง หนำซ้ำยังใช้มีดสั้นอาบยาพิษในการลงมือด้วย แม้แต่สำนักมารก็ไม่ทำตัวต่ำช้าเช่นนั้น! ยังไม่เท่านั้น พวกเจ้ายังข่มขู่ครอบครัวของชาวบ้าน พวกเจ้าไม่กลัวจะถูกทัณฑ์สายฟ้าลงโทษเลยรึ”

ตอนนั้นเอง เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็แสดงสีหน้าละอายออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาละอายแก่ใจจริงๆ ไม่ว่าผู้คนจะวิจารณ์การกระทำของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ว่าอย่างไร แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนบาปและไม่ใช่สำนักมาร การกระทำของอาเซี่ยตรงข้ามกับอัตลักษณ์ของสำนักเป็นที่สุด

            “หากนั่นเป็นราชาพยัคฆ์ตัวจริง ต่อให้เขาทำสิ่งที่อยุติธรรมลงไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาจะยืนกรานจนถึงที่สุด ต่อให้สุดท้ายเขาจะต้องพบกับความตายก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาย่อมไม่คุกเข่าต่อหน้าคนอื่นเพื่อขอชีวิตแน่”

            หวังลู่ทำเป็นปั้นยิ้มสิ้นหวัง “ดังนั้นของปลอมก็คือของปลอม ตอนแรกเขาอาจทำตัวเหมือนของจริงได้ แต่ทันทีที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย เขาจะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา อาเซี่ยเอ๋ยอาเซี่ย เจ้ามาได้ไกลแค่นี้ละ”

            “อาเซี่ย!?” ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ผู้อาวุโสหลายคนต่างก็ตะลึงงัน

            หวังลู่ถาม “พวกเจ้าจะเสแสร้งไปให้ได้อะไร ไหนๆ เรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว พวกเจ้ามองไม่ออกหรือว่าตัวตนจริงๆ ของเขาคือใคร ช่างเถอะ ข้าพูดในสิ่งที่ต้องพูดไปแล้ว เรื่องในสำนักพวกเจ้าก็ไปเช็ดล้างกันเอาเองก็แล้วกัน”

            พูดจบหวังลู่ก็ไม่รีรออีก เขารีบเหาะลงมาด้านล่าง ร่างนั้นเล็กลงอย่างรวดเร็วในสายตาของอาเซี่ย

            อาเซี่ยรู้สึกราวกับว่าสมองกำลังส่งเสียงดังวุ่นวาย สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่ยอมรับความจริง เขาคำรามเสียงดัง “กงหยาง เหลียงอวี้ เจ้ามัวรออะไรอยู่ จะปล่อยให้หมอนั่นหนีไปแบบนั้นหรือ รีบไปตามจับมาเร็วเข้า!”

            หากพวกเขาจับตัวหวังลู่ได้ ทุกอย่างก็จะยังปลอดภัย ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของสาขา ต่อให้เขาต้องถูกลงโทษอย่างหนักจนใกล้ตาย แต่ตราบใดที่ยังได้ควบคุมสาขาอยู่ ถึงตอนนั้น…

            “พอที! เจ้าสารเลว!”

            การถูกแทงเข้าที่หลังคือคำตอบรับคำสั่งของอาเซี่ย กระบี่เขี้ยวสัตว์ขนาดยาวแทงทะลุหน้าอกของเขา

            ดวงตาแดงก่ำของผู้อาวุโสเหลียงอวี้เต็มไปด้วยความโกรธ

            “ตลอดชีวิต ผู้อาวุโสสูงสุดมีจิตใจสูงส่ง ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เขาตาย ศิษย์หยาบช้าอย่างเจ้ากลับทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องมีมลทิน เจ้าขโมยร่างของผู้อาวุโสสูงสุดแล้วทำในสิ่งที่น่าละอาย ต่อให้เจ้าต้องตายถึงร้อยครั้งก็ไม่อาจจะลบล้างบาปครั้งนี้ไปได้!”

            “ข้า” อาเซี่ยต้องการจะบอกว่าเขาคือผู้อาวุโสสูงสุด แต่อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกายนั้นรุนแรงเกินจนไม่อาจพูดออกมาได้แม้พยางค์เดียว ภาพที่เห็นตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความดำมืดอย่างรวดเร็ว

            ทำไม

            ข้าทำผิดตรงไหน เห็นชัดว่าข้าดีกว่าราชาพยัคฆ์ตัวจริงเสียอีก แต่เหตุใดเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้… ทำไมพวกเจ้า กลุ่มคนที่มีความสามารถเพียงสามัญ จึงไม่ยอมเชื่อฟังข้า หากพวกเจ้ายอมให้ข้าออกคำสั่งตั้งแต่แรก จุดจบย่อมไม่เป็นเช่นนี้แน่!

            “งี่เง่า!”

            ในความมืดมิดนั้นอาเซี่ยพลันได้ยินเสียงคำราม เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดผวา

            ในความมืดมิดนั้นร่างที่พร่ามัวค่อยๆ ส่งประกายออกมา คนผู้นั้นมีศีรษะเป็นพยัคฆ์ เขาคือราชาพยัคฆ์เล่ยเจิhนตัวจริง!

            “ทำไมท่านถึง… ท่านไม่ได้ตายไปแล้วหรือ ทำไมมาอยู่ที่นี่ หรือข้าเองก็ตายแล้วเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้! ข้าจะตายได้ยังไง!?”

            “หึ เจ้ายังไม่ตายหรอก ต่อให้ตายหรือไม่ตายจะไม่ต่างกันก็เถอะ… ร่างนี้และวิญญาณกำเนิดใหม่เป็นของข้า แล้วทำไมข้าจึงจะปรากฏตัวออกมาไม่ได้” ราชาพยัคฆ์ส่งเสียงฮึเยียบเย็น “เป็นยังไง  เล่นเป็นข้าสนุกมากไหม”

            อาเซี่ยตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พลันกัดฟันแน่น “ใช่สิ ข้าล้มเหลว ท่านมาเพื่อเยาะเย้ยข้าสินะ”

            ราชาพยัคฆ์หัวเราะเย้ย “คิดว่าตัวเองมีค่าพอให้ข้าเยาะเย้ยใส่หรือ ถ้าเป็นหวังลู่ที่ล้มเหลว ข้าถึงคิดจะมาหัวเราะใส่เขา! แต่เจ้าน่ะ…”             จากนั้นราชาพยัคฆ์ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

            “บอกตามตรง เป็นข้าเองที่ทำร้ายเจ้า หลายปีที่ผ่านมา เป็นเพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสงสาร ข้าจึงปล่อยให้เรื่องต่างๆ เป็นไปแบบนี้ ทั้งที่ข้าก็เห็นว่าอารมณ์ของเจ้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และวิธีการของเจ้าก็เลวทรามอย่างเหลือทน เป็นความจริงที่ข้าทำตัวเป็นที่พักให้เจ้ายามเกิดพายุ แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้เจ้าโอหังมากขึ้น เส้นทางที่บิดเบี้ยวนำพาเจ้ามาไกล เจ้าเดินทางผิดมาไกลเกินไปจนสุดท้ายก็ไม่อาจย้อนกลับได้ หึ การที่ต้องตายด้วยฝีมือเจ้า ข้าโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง”

            อาเซี่ยอึ้งไป “ทะ ท่านว่ายังไงนะ ท่านเป็นที่พักพิงให้ข้ายามเกิดพายุ?”

            ราชาพยัคฆ์กล่าวเสียงเย็น “หากไม่ใช่เพราะข้าปกป้องเจ้า คิดว่าผู้อาวุโสฝ่ายวินัยจะยอมปล่อยเจ้าไปทั้งที่ทำตัวเช่นนี้มาตลอดหลายปีหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองได้รับการยอมรับในระดับสูงเพราะฝีมือฝึกสัตว์หรือ หากไม่ใช่ข้า บิดาของเจ้าคนนี้คอยปกป้องเจ้า เจ้าคงถูกโยนเข้าไปในกรงสัตว์ทมิฬและขังไว้สักพันปีไปนานแล้ว!”

            “ข้า…”

            “หึ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดู ต่อให้ขังเจ้าไว้ในกรงสัตว์ทมิฬหลายๆ ปีก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เจ้าสำนักเคยเอ่ยเตือนข้าว่าการตามใจเจ้ามากเกินไปรังแต่จะทำร้ายเจ้าและตัวข้าเอง ตอนนั้นข้าแค่คิดว่าเขาพูดจาหาเรื่อง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไขมันคงจะอุดตันใจข้าจริงๆ!”

            อาเซี่ยรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ

            “ทะ ทำไมข้าไม่เคยรู้เลย”

            ราชาพยัคฆ์ปรายตามองอีกฝ่ายก่อนพูดออกมา “จำเป็นต้องให้เจ้ารู้ด้วยหรือ”

            “ทำไมท่านต้องทำเรื่องเหล่านี้เพื่อข้าด้วย ท่าน…ท่านถูกเตะออกมาจากแคว้นทักษิณสวรรค์เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม”

            ราชาพยัคฆ์กล่าว “ข้าทำเรื่องเหล่านี้เพื่อเจ้าไปทำไม เจ้ายังจำเป็นต้องถามคำถามนี้อีกหรือ โชคร้ายที่หลายทศวรรษมานี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าไม่เคยเต็มใจ!”

            “ข้า…”

            “ข้าจำได้ว่าก่อนที่เราจะทำเรื่องนั้นครั้งแรก ข้าบอกไปว่าหากเจ้าไม่ชอบข้าก็จะไม่บังคับ แต่สุดท้ายก็เป็นเจ้าที่คลานเข้ามาหาข้าก่อน หึ หลายปีมานี้เจ้าคงทุกข์ทนไม่น้อยสินะ!”

            เมื่อได้ยินถ้อยคำประชดประชันของราชาพยัคฆ์ หัวใจของอาเซี่ยก็มีความรู้สึกที่ปนเปกันไป ความรู้สึกแปลกๆ กระจายไปทั่วประสาทสัมผัสทั้งห้า เขาเริ่มรู้สึกผิดขึ้นเล็กน้อยทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป

            “ท่านโทษตัวเองเถอะที่ตามืดบอดขนาดนี้!”

            ราชาพยัคฆ์หัวเราะเสียงดัง “พูดได้ดี ข้าตาบอดและหลงผิดไปจริงๆ สมควรแล้วที่ข้าต้องมาตายด้วยน้ำมือเจ้า… แต่ข้าก็ร่วงโรยมากแล้วก่อนที่จะตาย อาเซี่ย หลังจากที่เจ้าชิงร่างกายและวิญญาณกำเนิดใหม่ของข้าไป ต่อให้ในใจข้าจะรู้สึกชิงชังเพียงใด แต่คำพูดสุดท้ายของคนใกล้ตายนั้นจริงเสมอ ข้ารู้สึกว่าในเมื่อเจ้ามอบความสุขให้ข้ามาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ข้าก็อยากจะให้คำแนะนำครั้งสุดท้ายกับเจ้าเสียหน่อย โชคร้ายที่เจ้าไม่รอที่จะฟัง เจ้าเร่งรีบเอาคืนข้า ดังนั้นบิดาของเจ้าคนนี้จึงกัดลิ้นฆ่าตัวตายและกลืนคำแนะนำนั่นลงท้องไป”

            “…คำแนะนำอะไร”

            “บิดาของเจ้าคนนี้ต้องการเตือนเจ้า จะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับเจ้าเด็กหวังลู่นั่น ฮ่าๆๆ! แต่ต่อให้ข้าบอกเจ้า เจ้าก็คงฟังหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี ดังนั้นที่เจ้าต้องมาตายแบบนี้ก็สมควรแล้ว!”

            อาเซี่ยกัดฟันแน่นขณะพูด “ข้าจะไม่ตาย!”

            “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”

            ราชาพยัคฆ์หยุดยิ้ม แสงจากร่างของเขาสว่างขึ้นอย่างฉับพลันจนทำให้สภาพรอบตัวของพวกเขาปรากฏขึ้นในสายตา

            พวกเขาไม่ได้อยู่ในวิหารหยก หรือในจิตวิญญาณขั้นปฐมอย่างที่อาเซี่ยคิดไว้ ทั้งยังไม่ได้อยู่บนยอดเขายอดเมฆาหรือในหุบเขาจันทร์เต็มดวง… แต่อยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยหมอกหนา ประตูขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ความใหญ่โตของมันปล่อยไอพลังที่ทำเอาจิตใจของผู้คนเต้นไม่เป็นส่ำ

            “ที่นี่คือ…”

            ราชาพยัคฆ์กล่าวเสียงเย็น “ขอต้อนรับสู่ประตูนรก”

            “ประตู… !?”

            “ถูกแล้ว เข้าไปกันเถอะ”

            “ข้า ข้ายังไม่อยากตาย ทำไมท่านไม่ตายไปคนเดียวเล่า!” อาเซี่ยต่อต้านอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่าทันทีที่เขาเหวี่ยงหมัดออกไป เขาก็พบว่าร่างแข็งแกร่งที่ยึดมาจากราชาพยัคฆ์ได้หายไปและกลายเป็นร่างผอมแห้งที่เขาเกลียดชังและสาบส่ง

            ด้วยร่างนี้เขาย่อมไม่อาจต้านทานราชาพยัคฆ์ได้ ราชาพยัคฆ์ดึงตัวของอาเซี่ยขึ้นพลางหัวเราะลั่นและหิ้วอีกฝ่ายเข้าไปในประตู

            “จากนี้ไปเรามีเวลารักกันไม่จบไม่สิ้น และบิดาของเจ้าคนนี้ขอสาบานว่าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้ ฮ่าๆๆ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด