กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 31 เขาประเมินความสัมพันธ์ของเราผิดไป!

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 31 เขาประเมินความสัมพันธ์ของเราผิดไป! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

            เมื่อดวงอาทิตย์ของวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดกำลังจะตกดิน กลุ่มของหวังลู่ที่อยู่ภายใต้อาคมพรางตัวของเสี่ยวชีก็สามารถฝ่าเวรยามหลายจุดบนเขาอวิ๋นไท่อย่างง่ายดาย จนเข้าใกล้จุดหมายหลักของคืนนี้ขึ้นเรื่อยๆ

            หวังลู่เดินอยู่ด้านหลังเสี่ยวชี ทุกก้าวที่เขาก้าวมีระยะเท่าๆ กัน ศูนย์ถ่วงร่างกายก็ยังคงดีอยู่ ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิประเทศที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเลยสักนิด หนำซ้ำพลังอิทธิฤทธิ์ของเขายังย้อนกลับ มันโคจรอยู่ภายในวิหารหยกโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนกับพลังปราณฟ้าดินภายนอก ราวกับว่าทำตัวปลีกวิเวก

            นี่เป็นความสามารถใหม่หลังจากที่เขาบรรลุตบะขั้นพิสุทธิ์ เมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ในวิหารหยกค่อยๆ ควบรวมกันจนเกิดเป็นแกน ปริมาณของพลังอิทธิฤทธิ์จึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ในขณะต่อสู้อาศัยเพียงการโคจรของแกนว่างเปล่าอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว นั่นหมายความว่าพลังของเขาสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ หากมองในอีกมุมหนึ่ง มันก็แปลว่าไม่ว่าหวังลู่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เพียงใด เขาก็มีพลังพอเพียงที่จะเอาชีวิตรอดได้

            ที่เดินอยู่ด้านหลังหวังลู่คือหลิวหลี ลักษณะของหญิงสาวกับหวังลู่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ลมหายใจของนางผสานเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากตอนที่นางยังอยู่ในขั้นสร้างฐานระดับสูงก็คือ ทุกใบหญ้าในร่างกายนาง [1] ดูจะแหลมคมกว่าปกติมาก… นี่คือจิตกระบี่ที่ล้นออกมาภายนอกร่างของนาง ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ นางยังควบคุมการควบแน่นของแกนว่างเปล่าในวิหารหยกได้ไม่ดีนัก ทว่ามองอีกแง่หนึ่ง หากหลิวหลีตั้งใจปลดปล่อยจิตกระบี่ออกมา แกนว่างเปล่าที่ยอดเยี่ยมของนางจะผลิตพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาได้มหาศาลเพียงใดกัน

            ผู้ที่เดินมาเป็นคนที่สี่คือเด็กสาวหูแมว สายตาของนางจับจ้องไปที่หลิวหลีที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้านางอาบไปด้วยความริษยา ปรารถนา แต่ก็มีร่องรอยของความหวาดกลัว มันเป็นสัญชาตญาณการกลัวสิ่งที่มีอันตรายของสัตว์ภูต แม้ตบะของนางจะสูงกว่าหลิวหลีอยู่หลายเท่า แต่หากต้องสู้กันจริงๆ… นางก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

            ขณะหลงอยู่ในห้วงจินตนาการ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเสี่ยวชีหยุดลงและอีกฝ่ายก็พูดขึ้น

            “ก็อย่างที่เจ้าคิดเอาไว้ ภายนอกหละหลวมภายในหนาแน่น กำลังคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์น่าจะไปกระจุกกันที่เป้าหมายสำคัญเท่านั้น ที่อื่นๆ ก็เลยร้างไร้ผู้คน”

            กลายเป็นว่าจุดยืนยามที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่เป็นจุดเดียวกับที่พวกเขาเดินผ่านเมื่อหลายวันก่อน ตอนนั้นหัวหน้ายามของจุดนี้เป็นศิษย์ตบะขั้นพิสุทธิ์ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับทำเพียงทิ้งสัตว์ภูตที่เฉลียวฉลาดไว้ห้าตัว ความแข็งแกร่งของการเฝ้ายามในจุดนี้ลดฮวบลงไปอย่างมาก

            หวังลู่กล่าว “ก็ธรรมดา ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หากพวกเขายังวางขุมกำลังที่มีค่าไว้ทั่วเขาอวิ๋นไท่ซึ่งไม่ใช่จุดสำคัญ มันก็แปลว่าพวกเขาเตรียมการได้ไม่ดีพอ ก่อนวันที่สิบห้า ไม่ว่าคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะป่าเถื่อนไร้การศึกษาเพียงไร พวกเขาย่อมต้องรู้ดีว่ามีสำนักใกล้เคียงและกองกำลังไม่ทราบชื่อจำนวนมากซุ่มซ่อนตัวอยู่”

            เสี่ยวชีถาม “แล้วพวกเราเล่า”

            “เรื่องนี้เราคงต้องถามอาเซี่ย” รอยยิ้มของหวังลู่เจือความเย้ยหยันนิดๆ “สองสามวันที่ผ่านมาเรากินอยู่หลับนอนที่ทะเลสาบมรกต แต่คุณหนูเจ็ด ท่านเดาได้ไหมว่าแต่ละวันของอาเซี่ยเป็นยังไง”

            เสี่ยวชีเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิด “ย่อมต้องไม่ดีนัก นอกจากเขาจะพ่ายแพ้อย่างหมดท่าในหุบเขา เขายังเสียคู่หูอย่างหลิงเยียนด้วย แต่ตอนที่เขาคิดจะกลับมาแก้แค้น เขากลับหาร่องรอยของพวกเราไม่เจอ เขาไม่มีโอกาสเรียกคืนในสิ่งที่สูญเสียไปด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าว่าเขาย่อมอยู่อย่างคับข้องใจแน่นอน”

            หวังลู่กล่าว “หากท่านเป็นอาเซี่ย ท่านจะทำยังไง”

            “ข้าหรือ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากสารภาพความผิดพลาดให้ผู้อาวุโสสูงสุดฟัง”

            หวังลู่หัวเราะ “แล้วรอให้ราชาพยัคฆ์ที่โกรธจัดลงโทษจนตายหรือ ความจริงแล้ววิธีที่ถูกต้องคือจัดการกับสถานการณ์นี้ให้ดีที่สุด”

            “จัดการกับสถานการณ์นี้ให้ดีที่สุด?”

            “ตัวอย่างเช่น หากเป็นข้า ข้าจะบอกว่าผู้บุกรุกเหล่านั้นถูกค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายในหุบเขาสังหารไปแล้ว แต่พลังที่คนพวกนั้นซุกซ่อนไว้ช่างน่าตกใจนัก กลายเป็นว่าได้รับความเสียหายหนักกันทั้งสองฝ่าย”

            เสี่ยวชีตกใจ “บอกว่าพวกเราตายไปแล้ว? คำพูดปากเปล่าไม่มีความหมาย ใครจะเชื่อลมปากเขากัน อย่างน้อยเขาก็ต้องมีของที่ชิงไปได้ไปทำให้อีกฝ่ายเชื่อ”

            หวังลู่กล่าว “คำพูดปากเปล่า? แต่ในทางกลับกัน หากเราต้องการให้เขากังขา เราก็ต้องมีของที่พิสูจน์ได้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ อาเซี่ยสามารถอ้างว่าไม่มีของที่ชิงมาได้ทั้งยังไม่มีร่างของพวกเราเพราะพวกเรามาจากสำนักลับที่ร่างของคนในสำนักมีระบบควบคุม ซึ่งเมื่อถูกฆ่าตายจะระเบิดและทำลายทั้งร่างรวมถึงอาวุธวิเศษทั้งหมด แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันคำพูดของเขา แต่ตราบใดที่เราไม่ปรากฏตัว คนอื่นๆ ก็ไม่มีทางหักล้างความจริงข้อนี้ได้เช่นกัน”

            “มันจะไม่ฟังดูเกินจริงไปหน่อยหรือ”

            “เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้อาเซี่ยจึงต้องอยู่อย่างระทมทุกข์ แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าความสัมพันธ์ของอาเซี่ยกับราชาพยัคฆ์นั้นเป็นยังไง แต่ในเมื่อเป็นราชาพยัคฆ์เองที่ออกปากขอให้อาเซี่ยเดินทางมาจากแคว้นทักษิณสวรรค์ ดังนั้นหากไม่จำเป็นราชาพยัคฆ์ย่อมไม่ทำรุนแรงเกินเหตุกับอีกฝ่ายแน่ เพราะหากมีการสืบสวนขึ้นมา ความผิดย่อมไปลงอยู่ที่ราชาพยัคฆ์แน่นอน อีกด้านหนึ่งตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการจับสัตว์เซียน ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มที่จะมัวใช้ความคิดไปกับรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆ พวกเขาส่งอาเซี่ยมาจัดการเราเพราะกังวลว่าเราจะไปขัดขวางแผนการของพวกเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามัญสำนึกของพวกเขาก็บอกว่าโอกาสที่เราจะเข้าไปขัดขวางมีน้อยลงไปทุกที และยิ่งตอนนี้เราไม่ปรากฏตัว มันก็ชี้ชัดว่าโอกาสของเราถูกตัดขาดไปแล้ว ดังนั้นแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการทำภารกิจของอาเซี่ยจะมหาศาล แต่ก็ถือว่าเขาทำภารกิจได้สำเร็จ”

            “แต่คำโกหกแบบนั้นยังไงก็ต้องถูกเปิดโปงอยู่ดี”

            “แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจไม่ถูกเปิดโปง อย่างน้อยก็ดีกว่าตายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของราชาพยัคฆ์จอมโมโหร้ายก็แล้วกัน”

            ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวชีก็อดส่ายศีรษะไม่ได้ “คนเห็นแก่ตัวที่ไม่ลังเลจะเปิดเผยข้อมูลสำคัญของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์อย่างเขา คนแบบนั้นไม่ใช่หรือที่เราเรียกว่าพวกน่ารังเกียจ”

            หวังลู่หัวเราะ “ในมุมมองของข้านั่นถือเป็นคำชมเชียวนะ!” จากนั้นเขาก็หุบยิ้ม “ดังนั้นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างสุดซึ้งแบบนั้นต่อให้มีความสามารถเลิศเลอเพียงใด ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี”

            เสี่ยวชีถาม “หืม งั้นเจ้าตั้งใจจะฉวยโอกาสก่อนมืดงั้นหรือ”

            “ไม่ ยังเร็วเกินไป ความมืดก่อนรุ่งอรุณต่างหากที่เป็นสิ่งที่รับมือได้ยากที่สุด นี่คือความจริงที่ทุกคนต่างก็รู้กัน ตอนนี้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ข้างนอกหละหลวมข้างในหนาแน่น เราจะรอจนกว่าทั้งข้างนอกและข้างในจะหละหลวม จากนั้นถึงค่อยลงมือ”

            “ทั้งข้างนอกและข้างในหละหลวม หมายถึง…”

            “เราจะรอจนกว่าปลอกคอสัตว์ภูตจะแล้วเสร็จ และค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายจะยึดตำแหน่งของแกนจักรพรรดิได้มั่งคง รอจนกระทั่งพวกเขาคิดว่ากระทำการสำเร็จแล้ว… จากนั้นเราก็จะดับฝันของคนพวกนั้นเสีย คุณหนูเจ็ด อาคมของท่านเป็นส่วนสำคัญที่สุด อย่างน้อยมันก็สามารถพาเราไปยังขอบของค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลายได้อย่างปลอดภัย”

            เสี่ยวชีแปะไม้เท้านักบวชของนางเข้าที่หน้าอกเป็นเครื่องหมายรับประกัน “วางใจได้ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

            “อืม งั้นก็พักผ่อนเอาแรงรอบสุดท้ายกันที่นี่เถอะ พอพระจันทร์ขึ้นก็จะเป็นเวลาของเราแล้ว”

——

            สีของท้องฟ้าเริ่มสลัวลงไปตามกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อย เมื่อม่านแห่งรัตติกาลค่อยๆ ปรากฏออกมา ดวงจันทร์กลมโตสว่างใสก็ลอยขึ้นที่ด้านหลังของแนวเขา

            ในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด พระจันทร์บนยอดเขาอวิ๋นไท่ถูกแต่งแต้มด้วยลำแสงสีทอง และที่ขอบของดวงจันทร์ก็ดูมีความมันวาวไม่ต่างกับขอบของไข่แดงที่เพิ่งถูกตอกใหม่ๆ

บนชะง่อนเขาที่ยื่นออกมาบนเขาอวิ๋นไท่ คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์นับร้อยต่างจดจ่ออย่างลืมหายใจ พวกเรารอคอยให้ไข่สีทองบนท้องฟ้าลูกนั้นแตกออกและเข้าสู่ขั้นต่อไปที่แกนจักรพรรดิจะปรากฏออกมา จากนั้นสัตว์เซียนที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะเดินออกมาติดกับโดยไม่รู้ตัว พวกเขาต้องเตรียมการมาหลายปีเพื่อวันนี้เพียงวันเดียว ทั้งยังต้องเดินทางมาหลายพันลี้จากแคว้นทักษิณสวรรค์ ต้องลงทุนลงแรงและสังเวยสิ่งต่างๆ ไปมากมาย ดังนั้นจึงห้ามล้มเหลวอย่างเด็ดขาด

สนามรบถูกจัดขึ้นที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงใต้ยอดเขายอดเมฆา เมื่อไม่นานนี้มีการใช้ค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตล้อมยอดเขาหลายๆ ยอดจนกลายเป็นกับดักแบบปิดล้อม หนำซ้ำค่ายกลครั้งนี้ยังต่างจากเมื่อครั้งที่หลิงเยียนและอาเซี่ยสร้างขึ้นจากพลังกึ่งจริงกึ่งว่างเปล่าในคราวก่อน พลังในการสร้างค่ายกลที่หุบเขาจันทร์เต็มดวงครั้งนี้เป็นของจริงทั้งหมด ดังนั้นต่อให้มีคาถาทำลายค่ายกล ค่ายกลก็จะไม่สลายไป

            ศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานและขั้นพิสุทธิ์นับร้อยยืนกระจัดกระจายไปทั่วหุบเขา พวกเขาหลอมพลังอิทธิฤทธิ์เข้ากับพลังปราณฟ้าดินตามเส้นฮวงจุ้ยเพื่อรักษาหุบเขาจันทร์เต็มดวงนี้ไว้ มันคือปฏิบัติการการสร้างค่ายกลขนาดมหึมาจนน่าตกใจอย่างแท้จริง ตอนกลางวันเขาอวิ๋นไท่นั้นเงียบเชียบ และตอนนี้มันก็ยังคงเงียบเชียบอยู่ ศิษย์ทั่วทั้งหุบเขาส่วนใหญ่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

            “บ้าจริง ข้าเสียวต้นคอวาบๆ อยู่ตลอดเลย แถมลมหายใจภายในตัวก็ไม่ค่อยคงที่เท่าไรด้วย”

            ตามผังของค่ายกล ศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานคนนี้ต้องยืนอยู่บนยอดของต้นสน ร่างสูงใหญ่ของเขายืนอยู่กลางกิ่งก้านหนา เขาไม่ได้ใช้อาคมใดๆ และดูไร้ความกดดัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขั้นตบะที่ฝึกฝนมาอย่างดี ทว่าศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานผู้เก่งกล้าคนนี้กลับมีเหงื่อไหลท่วมหน้าผาก นั่นสะท้อนให้เห็นความกระวนกระวายในใจของเขา

            ไม่ไกลจากนั้น ศิษย์พี่ของเขาที่ยืนอยู่กลางหนองน้ำก็พูดขึ้น “ที่นี่คือที่ที่ใช้วางค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งทำลาย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพลังลบหรือความรู้สึกทุกข์ใจ มันจะถูกทำให้มากขึ้นกว่าปกติถึงร้อยเท่า หากไม่มีผังค่ายกลมากดไว้ มันก็จะเป็นลานฝังศพที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้ายคอยป่วน เจ้าศึกษาเรื่องจิตเซียน อีกทั้งยังเป็นคนแข็งแกร่ง เป็นธรรมดาที่เจ้าจะรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ไม่ต้องกังวลไป เหล่าผู้อาวุโสคอยกดผังค่ายกลนี้ไว้อยู่ ดังนั้นพลังของพวกผีร้ายย่อมไม่อาจสร้างเรื่องได้แน่”

            “เรื่องนั้นข้ารู้ ไม่งั้นข้าคงเปลี่ยนกะกับคนอื่นแล้วไปทำหน้าที่อื่นด้านนอกค่ายกลแล้ว เพราะแม้ค่าตอบแทนจะต่ำแต่ก็สบายใจกว่ามาก แต่ศิษย์พี่ ปฏิบัติการในครั้งนี้จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

            ผู้เป็นศิษย์พี่ยิ้ม “จะไปมีปัญหาอะไรได้ เหล่าผู้อาวุโสเป็นผู้เตรียมการเรื่องนี้เอง สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก็ถูกคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครสั่นคลอนผลลัพธ์ของเราได้แน่”

            พูดจบ ศิษย์พี่ก็แหงนหน้ามองไปยังระลอกคลื่นบนวงกลมสีทองเหนือศีรษะของเขา ดูเหมือนเวลาจะงวดเข้ามาแล้ว

            ขณะเดียวกันที่ยอดเขายอดเมฆา ราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้นเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย ค่ำคืนที่แกนจักรพรรดิไหลพล่านเช่นนี้ ความเปลี่ยนแปลงของพลังปราณฟ้าดินได้ปลุกเร้าความดิบเถื่อนภายในจิตใจของเขาขึ้นมา ทว่าวิญญาณกำเนิดใหม่สองสีในวิหารหยกยังช่วยให้เขารักษาความสงบในใจได้อยู่

            เขาเป็นถึงหัวหน้าสาขา ดังนั้นจึงต้องอดกลั้นเพื่อกระทำเรื่องที่สำคัญตรงหน้า… ขณะกดแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นภายในใจ ราชาพยัคฆ์ก็ทบทวนแผนไปด้วย จากนั้นเขาก็กล่าวกับบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

            “อาเซี่ย เจ้าแน่ใจนะว่าคนพวกนั้นจะลงมือแน่ๆ”

            ขณะพูด ใบหน้าพยัคฆ์ที่น่าเกรงขามก็เคลื่อนไหวไปด้วย สายตาของเขาจับจ้องมายังคนที่อยู่ข้างกาย ซึ่งเป็นอาเซี่ยจริงๆ!

            ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนที่ไม่เอาไหนซึ่งสมควรได้รับโทษหนักจากความล้มเหลวครั้งล่าสุด กลับกำลังยืนเชิดหน้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ไร้ร่องรอยของผู้ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งพ่ายแพ้แม้แต่น้อย

“ข้าไม่ได้มั่นใจทั้งร้อยส่วน” อาเซี่ยกล่าวเสียงเรียบ “แต่ในเมื่อพวกเขาชนะในการปะทะกันครั้งล่าสุด ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลบลี้หนีหน้า โดยเฉพาะคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า… หมอนั่นดูกระหายใคร่มี เขาย่อมไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ไม่รู้จักคำว่าพอ ดังนั้นจึงย่อมเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ต่อให้จะเสี่ยงมากก็ตาม”

            หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง อาเซี่ยก็พูดต่อ “ไม่แน่เขาอาจคิดว่า นี่อาจเป็นโอกาสที่ดี เพราะคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างข้าย่อมปิดบังความพ่ายแพ้เอาไว้ และท่านก็จะหย่อนการป้องกันและนั่นจะเป็นโอกาสดีสำหรับเขา”

            ราชาพยัคฆ์อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ถูกแล้ว ดูจากนิสัยของเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าน่าจะทำจริงๆ”

            อาเซี่ยยิ้มขื่น “ในสายตาท่าน ข้าเหลืออดขนาดนั้นเลยหรือ”

            ราชาพยัคฆ์ส่งเสียงฮึ “แล้วไม่ใช่หรือ”

            อาเซี่ยกล่าวอย่างอับจน “ท่านพูดถูกแล้ว ข้าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว หากไม่ใช่ท่าน ข้าคงปิดบังความพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่นี่…”

            ราชาพยัคฆ์ขัดขึ้น “ช่างเถอะ! ข้าไม่สนเรื่องความเห็นแก่ตัวของเจ้าหรอก มนุษย์นั้นย่อมไม่อยากพบเจอกับทัณฑ์สวรรค์อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร!? เจ้าอยู่กับข้าแบบนี้ ผลประโยชน์อะไรที่อยากได้ เจ้าก็เอาไปได้เลย! หากข้าจัดหามาให้เจ้าไม่ได้ การจะถูกเจ้าละทิ้งมันก็เป็นเรื่องสมควรและไม่เกินความคาดหมายอยู่แล้ว!”

            อาเซี่ยถอนหายใจเบาๆ “โธ่ เล่ยเจิ้น ท่านไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องดูแลข้าหรอกน่า”

            “ฮ่าๆๆๆ! ข้าเล่ยเจิ้นก็ทำแบบนั้นมาตลอดนี่!” ราชาพยัคฆ์หัวเราะเสียงดังลั่นจากนั้นก็กอดอาเซี่ยอย่างแรง “ตอนนี้เราก็แค่ต้องรอให้คนพวกนั้นปรากฏตัว ในเมื่อพวกมันกล้าทำร้ายเจ้า ข้าก็จะให้พวกมันหลั่งเลือดชดใช้แน่!”

 [1] หมายถึงทุกส่วนในร่างกาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด