กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 14 ฮวาฮวาคือสุนัข

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 14 ฮวาฮวาคือสุนัข at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่หวัง นี่ก็ห้าปีแล้วที่เราแยกจากกันที่เขากระบี่วิญญาณ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้ารู้ว่าพี่หวังไม่ชอบการทักทายเรื่อยเปื่อย ข้าขออภัยและจะรีบเข้าเรื่องเดี๋ยวนี้ละ อีกสองเดือนนับจากนี้ ข้าจะติดตามท่านอาจารย์ รวมถึงศิษย์พี่และศิษย์น้องไปเยี่ยมเยียนสำนักกระบี่วิญญาณ การไปเยือนครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดี และไม่ได้เป็นความปรารถนาส่วนตัวของข้า แต่ก็เป็นครรลองปกติที่ข้าจะต้องติดตามไปด้วย โปรดอภัยให้ข้าล่วงหน้าด้วยพี่หวัง”

“ในการเดินทางครั้งนี้ มีศิษย์หัวกะทิไปทั้งหมดห้าคน ในหมู่พวกเรา ระยะเวลาในการบำเพ็ญเซียนของข้านั้นสั้นที่สุด แต่เมื่อปีก่อน เพราะข้าดวงดีก็เลยบรรลุขั้นสร้างฐานได้สำเร็จ ข้าจึงถูกเลือกมาเป็นคนสุดท้าย ความแข็งแกร่งของข้านั้นยังอ่อนด้อย คาดว่าน่าจะด้อยกว่าพี่หวังลู่ ทว่าศิษย์พี่จ้านจื่อเย่ของข้านั้นอัจฉริยะ อีกสองเดือนที่เราจะได้เจอกัน เขาจะเป็นคู่แข่งของพี่หวังลู่…”

จดหมายของไห่อวิ๋นฟานไม่ยาว แต่ก็รู้สึกเคืองตาไม่น้อย เจ้านั่นบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้วจริงๆ

เท่าที่หวังลู่รู้จักกับไห่อวิ๋นฟานมา คำกล่าวที่ว่าเขานั้นอ่อนด้อยกว่าหวังลู่ไม่ได้เป็นคำพูดถ่อมตัว แต่อีกฝ่ายเชื่อเช่นนั้นจริงๆ ความจริงแล้วแทบทุกคนที่ได้รู้จักหวังลู่บนเส้นทางแห่งเซียนต่างก็รู้สึกต่ำต้อยกว่าเขาทั้งนั้น

เคราะห์ร้ายที่การถ่อมตนของเสี่ยวไห่ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าอีกฝ่ายบรรลุตบะขั้นสร้างฐานเรียบร้อยแล้ว ขณะที่หวังลู่อยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับกลางเท่านั้น แม้การท้าประลองข้ามขั้นจะใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ความมั่นอกมั่นใจนี้เป็นที่รับรู้กันเฉพาะในหมู่ศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ และอาจจะฟังดูแปลกสำหรับศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวท หากไม่มีอะไรผิดพลาด บทสนทนาของพวกเขาต้องเป็นไปตามนี้แน่ๆ

“ข้ามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์กระบี่แห่งเขาคุนอยู่ในมือ”

“ฮ่าๆๆ แต่ข้าบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้ว”

“วิชาตั้งรับกระบี่ไร้ลักษณ์ของข้านั้นวิเศษสุด เป็นอันดับหนึ่งของโลก”

“ฮ่าๆๆ แต่ข้าบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้ว”

“ความสำเร็จของข้านั้นน่าทึ่งมาก ข้าสังหารผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้”

“ฮ่าๆๆ แต่ข้าบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้ว”

“ข้าก่อตั้งสำนักภูมิปัญญา ตอนนี้มีผู้ติดตามเป็นล้านคนแล้ว”

“ฮ่าๆๆ แต่ข้าบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้ว”

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลอาจจะจบลงที่ เจ้า มารดาเจ้า น้องสาวเจ้า ทั้งตระกูลของเจ้าไปตายซะ และจากนั้นย่อมต้องมีการท้าประลองเพื่อเอาชีวิตกันแน่ๆ

ดังนั้นแม้สิ่งที่เรียกว่ากิจกรรมระหว่างเหล่าศิษย์จะเป็นเพียงเรื่องน่ารำคาญในสายตาของหวังลู่ แต่หากเป็นไปตามจดหมายว่าเสี่ยวไห่มาด้วย เช่นนั้นหวังลู่ควรต้องมีบทบาทในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย เสี่ยวไห่นี่มาไม่ถูกเวลาจริงๆ

แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้อจำกัดของผู้ร่วมประลองคือต้องบำเพ็ญเซียนมาไม่เกินสิบปี และในขณะที่คนที่เก่งที่สุดของสำนักเซียนหมื่นเวทบำเพ็ญเซียนมาได้แปดปี ส่วนบำเพ็ญเซียนมาเพียงห้าปี ช่องว่างสามปีอาจจะมีผลหรืออาจจะไม่มี ทว่าที่สุดแล้วเขาก็ไม่มีทางได้เป็นไพ่ไม้ตายที่จะได้ประลองกับจ้านจื่อเย่แน่นอน

“งั้นนอกจากข้าแล้ว ใครกันที่ผู้อาวุโสคิดจะส่งไปเป็นตัวแทนต่อสู้กับจ้านจื่อเย่ ศิษย์ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนัก จูซือเหยางั้นหรือ”

“จูซือเหยาบำเพ็ญเซียนมาสิบห้าปีแล้ว นางไม่ตรงตามข้อกำหนด”

หวังลู่ผงะ “สิบห้าปี? แปลว่าศิษย์พี่หญิงก็เป็นป้าแล้วสิ”

ผู้เป็นอาจารย์เหยียดยิ้ม “นางเริ่มบำเพ็ญเซียนตอนอายุสี่ขวบ ดังนั้นตอนนี้นางก็แค่สิบเก้า โตกว่าเจ้าเพียงสองปี หนำซ้ำการบำเพ็ญเซียนในช่วงปีแรกๆ ของนางนั้นมุ่งเน้นให้รากฐานมั่นคง ดังนั้นตอนที่นางเริ่มฝึกขั้นฝึกปราณจริงๆ นางก็อ่อนกว่าเจ้าไม่กี่ปี เอาเข้าจริงแล้ว นางฝึกบำเพ็ญเซียนจริงๆ ไม่ถึงสิบปี แต่สำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่อยากจะฉวยโอกาสในเรื่องนี้ หลังจากหารือกันแล้ว หอกระบี่นภาตัดสินใจที่จะส่งหลิวหลีไปแทน ตราบใดที่สมองของนางไม่เอ๋อไปเสียก่อน เจ้าจ้านจื่อเย่นั่นก็ไม่ครณามือหรอก”

“อ้อ สุดท้ายแล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าอยู่ดี”

“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร สำนักเซียนหมื่นเวทส่งผู้ประลองมาห้าคนไม่ใช่หรือ เจ้าในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดย่อมต้องประลองกับหลายคนในกลุ่มนั้น หากดวงดีพอ เจ้าอาจจะได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวไห่ยอดดวงใจ แต่หากว่าดวงซวย เจ้าอาจต้องรับมือกับสองในสามคนที่เหลือ”

“เฮ้ สำนักกระบี่วิญญาณของเรามีผู้มีพรสวรรค์มากมายราวดวงดาวบนฟ้า แล้วทำไมถึงเลือกผู้ที่ดีที่สุดออกมาห้าคนไม่ได้เล่า”

“ก็นั่นแหละ หาไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาจำกัดเวลาบำเพ็ญเซียนเพียงแค่สิบปี ทว่าในสิบปีที่ผ่านมา นอกจากในกลุ่มพวกเจ้าที่เรารับมาจากการชุมนุมคัดเลือกเซียน นอกนั้นเราก็รับศิษย์มาอีกแค่สี่ห้าคนเท่านั้น ในจำนวนนี้มีเพียงหลิวหลีที่โดดเด่นเป็นพิเศษ และในกลุ่มพวกเจ้า นอกจากเจ้าแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่เข้าตา… พวกเขายังห่างไกลจากการบรรลุถึงขั้นสร้างฐาน แล้วเราจะส่งพวกเขาออกไปสู้ได้อย่างไร สำนักกระบี่วิญญาณของเราเป็นสำนักเก่าแก่ที่ไม่ได้มุ่งเน้นความเร็ว ศิษย์ของเราบำเพ็ญเซียนอย่างช้าๆ และมั่นคง พวกเรามุ่งเน้นความก้าวหน้ารอบด้าน ซึ่งจะช้ากว่าหากเทียบกับห้าวิเศษสำนักอื่น เช่นนั้นการจำกัดปีในการบำเพ็ญเซียนจึงเป็นเรื่องเสียเปรียบสำหรับเรา”

“งั้นพวกท่านเห็นชอบกับเรื่องงี่เง่านี่ทำไม”

“เพราะนี่คือธรรมเนียมปฏิบัติของพันธมิตรหมื่นเซียน หนำซ้ำยังเป็นวิธีที่ค่อนข้างเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเจ้าจะจำกัดเอาที่ส่วนสูงหรืออย่างไร พูดสั้นๆ ก็คือในเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้าหาก่อน เป็นธรรมดาที่เราจะต้องตอบรับ แต่ก็อีกนั่นแหละ แม้ว่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณจะมีที่ได้เรื่องได้ราวไม่มากนัก แต่ในหมู่ศิษย์ทั้งห้าของสำนักเซียนหมื่นเวท ผู้ที่เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงก็มีเพียงจ้านจื่อเย่เท่านั้น ดังนั้นทั้งสองสำนักจึงไม่ถือว่าต่างกันเท่าไร”

ขณะที่สนทนากัน คนทั้งคู่ก็กลับมาถึงยังยอดเขาไร้ลักษณ์ เมื่อผู้เป็นอาจารย์ปล่อยหวังลู่และสุนัขของเขาไว้ที่ประตูทางเข้า นางก็กล่าวว่า “เจ้าก็พักเสียก่อนสิ พรุ่งนี้ค่อยไปหาท่านอาเจ็ดให้เขาซ่อมแขนให้ หลังจากนั้นก็พยายามบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงให้ได้เร็วที่สุด เรามีการแสดงครั้งใหญ่รอเจ้าอยู่”

“การแสดงอะไร”

ผู้เป็นอาจารย์เหยียดยิ้ม “แน่นอนว่าคือการประลองที่ศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวทรอคอยมานาน ในเมื่อพวกเขามีมารยาทมาเยือนเราก่อน เราก็ไม่อาจปฏิเสธพวกเขาได้ พวกเขาอยากประลอง ย่อมได้ แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นแขก พวกเขาก็ต้องทำตามกฎของเจ้าบ้าน และกฎของสำนักกระบี่วิญญาณก็คือกฎของข้า”

หวังลู่ยิ้ม “เจ้าสำนักให้อำนาจท่านจัดการเรื่องนี้หรือ”

“แน่นอน เพราะข้าจัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนได้สำเร็จเป็นอย่างดี ตอนนั้นพวกเขาชอบความคิดข้าเกี่ยวกับหมู่บ้านดอกท้อมากเลย”

หวังลู่พยักหน้า “คงจะเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสของหอกระบี่นภาจะเหน็ดเหนื่อยกับสำนักเซียนหมื่นเวทนี่ไม่น้อย ที่พวกเขายอมให้ท่านวางแผนกิจกรรมนี้ไม่แน่อาจเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าท่านอาจจะสร้างความสำราญให้กับแขกด้วยอาหารของอาย่าก็เป็นได้”

สีหน้าของผู้เป็นอาจารย์ยุ่งเหยิงขึ้นมาในทันใด “นี่เจ้าดูถูกข้าเรอะ”

“แน่นอนว่าไม่ มีคำกล่าวหนึ่งของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ใช่หรือ ที่ว่าเมื่อแขกมาเยือน ต้องหยิบยื่นสุราให้ เมื่อสุนัขป่ามาเยือน ก็ส่งหวังอู่ไปจัดการ หากพวกเขาให้ท่านกับอาย่ารับรองแขก หนึ่งแขกมาถึง หนึ่งแขกตาย หนึ่งคณะมาถึง หนึ่งคณะตาย”

ขณะที่หวังลู่กำลังพูดจาเย้าแหย่ผู้เป็นอาจารย์ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของนางพลันแปลกไปจากปกติ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเย็นๆ ดังมาจากเบื้องหลัง

“โอ้ ขอบคุณที่ยังนึงถึงกันนะ”

แม้จะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว แต่เสียงนั้นก็ยังคุ้นหูเขา

หวังลู่กระแอมกลบเกลื่อนความอับอายจากนั้นก็หันหลังกับไปเผชิญหน้าหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีเขียวเข้ม

“อาย่า เมื่อกี้เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

บรรยากาศเย็นยะเยือกปกคลุมด้านหน้าของยอดเขาไร้ลักษณ์อยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวในชุดขาวหัวเราะคิกคักจากนั้นก็อธิบายสถานการณ์ด้วยความชื่นมื่น

สิ่งที่หวังลู่เดานั้นถูกต้อง อาย่าได้รับมอบหมายจากสำนักกระบี่วิญญาณให้เป็นหัวหน้าแม่ครัวทำอาหารรับรองแขก ดังนั้นนางจึงมาที่ยอดเขาไร้ลักษณ์เพื่อปรึกษาเรื่องรายการอาหารกับอาวุโสห้า

จากนั้นหวังลู่ก็เผายันต์นภารวมตัว บังคับให้อาวุโสห้าเหาะไปช่วยเหลือเขา และเมื่อคนทั้งสองกลับมายังยอดเขา พวกเขาก็ได้สนทนาถ้อยคำดังกล่าว นี่ทำให้แม่ครัวสาวชาวตะวันตกที่มักจะเมินเฉยกับทุกสิ่งโกรธ ดวงตาสีเขียวเข้มของนางอาจทำให้ผู้คนสำลักน้ำตายได้ แต่มันก็สามารถแช่แข็งผู้คนด้วยความเย็นชาของมันได้เช่นกัน

“อาย่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าแค่ตั้งใจพูดยั่วยุอาจารย์ เจ้าก็แค่ถูกโยงเข้ามาเอี่ยว ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ นะ”

หญิงสาวในชุดขาวที่ตกเป็นเป้าได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าหลังจากหลายปีที่เฝ้าพร่ำสอนทุกสิ่งทุกอย่างแต่กลับลืมสั่งสอนให้อีกฝ่ายเคารพนับถือตน ในฐานะอาจารย์นั้นนางถือว่าล้มเหลวหรือไม่

อาย่าทำเพียงมองหน้าหวังลู่จากนั้นก็ถอนหายใจ นางเหนื่อยเกินไปที่จะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ทว่าในใจก็อดที่จะผิดหวังไม่ได้

หนึ่งปีผ่านไปแล้ว และหวังลู่ก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก เห็นได้ชัดว่าการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ยากลำบากไม่น้อยสำหรับเขา แขนซ้ายของเขาหายไป และมีรอยแผลเป็นอื่นๆ อยู่ทั่วร่างกาย แต่มันกลับไม่ทำให้เขาอัปลักษณ์ขึ้น ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา อาย่าเองก็ไม่ได้เกียจคร้าน หลังจากคิดหาหนทางใหม่ๆ ทักษะการทำอาหารของนางก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แม้จะยังมีช่องว่างอยู่ไม่น้อยหากเทียบกับมาตรฐานการทำอาหารทั่วๆ ไป แต่ตอนนี้อาหารของนางนั้นดีกว่าแหงนมองดารา ซึ่งเป็นอาหารจานแรกเป็นไหนๆ

โชคร้ายที่คำพูดไม่กี่คำของหวังลู่ทำให้อาย่ารู้สึกราวกับว่าความพยายามตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานั้นเหือดแห้งไปจนสิ้น

เมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของอาย่า หวังลู่ก็กระตุกเท้าออกไปเตะก้นเจ้าสุนัขซื่อบื้อ

“ไปทำตัวน่ารักต่อหน้านางเดี๋ยวนี้”

แม้เจ้าสุนัขพันทางจอมทึ่มจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าทำตัวน่ารัก แต่จากสัญชาตญาณสัตว์ของมัน มันก็รู้ดีว่าควรจะทำตัวอย่างไร

ดังนั้นมันจึงส่ายหาง วิ่งตรงไปยังอาย่า และใช้จมูกดุนขาของอีกฝ่าย

หญิงสาวเม้มปากและยังคงยืนนิ่ง พยายามอย่างหนักที่จะรักษาบทบาทหญิงสาวที่เย็นชาเอาไว้ ทว่านางกลับไม่สามารถปกปิดแววตาที่สับสน และร่างกายที่สั่นสะท้านเบาๆ ได้

หวังลู่ยิ้มอยู่ในใจ ‘ผู้หญิง’

ผู้หญิงมักไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารัก แต่มาตรฐานของคำว่าน่ารักคืออะไร ไม่แน่ว่ามาตรฐานในเรื่องนี้อาจจะมีมากมาย ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่งแน่ๆ ที่เป็นสากล นั่นคือ ซื่อบื้อมากพอ หากวัดจากมุมนี้ เจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้ย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าใคร่อันดับต้นๆ ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

หากมองในด้านรูปลักษณ์ เจ้าสุนัขจอมทึ่มไม่ถือว่าขี้ริ้ว แม้ขนของมันจะกระด่างกระดำและมีร่องรอยบาดเจ็บจากแม่ทัพซากศพพิษทมิฬทำให้ร่างกายเปื้อนเลือดไม่น้อย แต่ประกายจากดวงตากลมโตของมันก็สามารถทดแทนทุกอย่างได้ อาย่าและเจ้าสุนัขจอมทึ่มมองตากัน แล้วกำแพงในใจของฝ่ายแรกก็เริ่มสั่นคลอน

หากนางยังอยู่ในทวีปตะวันตกเหมือนเมื่อหลายปีก่อน นางคงไม่อาจหวั่นไหวเช่นนี้ ทว่าหลังจากที่อยู่อย่างสงบสุขเป็นเวลาหลายปีบนเขากระบี่วิญญาณ หญิงสาวก็ไม่ได้เย็นชาจนคนแปลกหน้าเข้าไม่ถึงอีกต่อไป นางค่อยๆ โน้มตัวลงไปสัมผัสศีรษะของเจ้าสุนัข กระแสลบหอบใหญ่พัดผ่านไป จากนั้นนางก็เช็ดเลือดออกจากตัวเจ้าสุนัขอย่างเบามือ

“นี่สัตว์เลี้ยงของเจ้าหรือ” อาย่าพยายามทำเสียงให้นิ่งเข้าไว้

หวังลู่ยิ้ม “ใช่ ข้าเก็บมันได้จากดินแดนปรลัย”

“มันมีชื่อไหม”

“โก่วจ๋าโจ่ง[1]”

อาย่าเงยหน้าขึ้น สีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “เจ้าว่าอะไรนะ”

“เอ่อ ข้าหมายถึง… ฉวนโจ่วฮวา”

“ชื่อพิกลชะมัด”

“เจ้าเรียกมันว่าฮวาฮวาก็ได้”

“หืม” อาย่าพยักหน้าและอดลูบเจ้าสุนัขไม่ได้

“หือ?”

ดวงตาของอาย่าเบิกกว้างด้วยความตกใจ จากนั้นก็ย้ายสายตามามองหวังลู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็อดที่จะย่นคิ้วไม่ได้ ภายในใจรู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก

ทว่าอย่างไรเสีย ความขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านั้นของนางก็ถูกความน่ารักของเจ้าสุนัขจอมทึ่มลบล้างออกไปจนสิ้น

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง หญิงสาวในชุดขาวก็ตัดสินใจก้าวเข้ามา “เอาละ หวังลู่เจ้าก็พักผ่อนเสีย อาย่ากับข้าจะเตรียมเรื่องานเลี้ยงต้อนรับกันต่อ เราสองคนงานยุ่งไม่น้อยเลย”

ขณะพูด นางก็ดึงมือหญิงสาวอีกคนออกนอกกระท่อมไป ระหว่างที่เดินออกมาหวังอู่ก็ถามขึ้น “เจ้าแน่ใจนะว่าเราไม่ต้องเตรียมหาหญิงนางโลมไว้สำหรับงานเลี้ยงต้อนรับ ข้าว่าพวกคงแก่เรียนพวกนั้นต้องตั้งตารอสิ่งนี้มานมนานแล้วแน่ๆ”

อาย่าไม่กล่าวคำใดนอกจากพูดเสียงเข้มว่า “ไม่”

หลังจากที่สองคนนั้นจากไป หวังลู่ก็เรียกเจ้าสุนัขจอมทึ่มซึ่งตอนนี้มีชื่อว่าฮวาฮวา ซึ่งกำลังภูมิอกภูมิใจกับชื่อตัวเองเข้ามาในกระท่อม ตามที่หวังอู่บอก เขาเพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้แสนอันตราย ดังนั้นก็ควรจะพักเสียหน่อย

อีกด้านหนึ่ง ที่โรงอาหารของยอดเขาเร้นลับ หลังจากที่นิ่งเงียบมาพักใหญ่ อาย่าก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ “อาวุโสห้า ท่านไม่…แปลกใจเลยหรือ”

หญิงสาวในชุดขาวถามกลับอย่างงงงวย “แปลกใจอะไร”

“สัตว์เลี้ยงของหวังลู่น่ะ”

“ก็แค่สุนัขโง่ๆ ตัวหนึ่ง…” หวังอู่เปิดตำราอาหารผ่านๆ พลางคิดว่านางควรตระเตรียมเรื่องน่าประหลาดใจดีๆ ให้กับผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเซียนหมื่นเวทเสียหน่อย

อาย่าจำต้องเน้นเสียง “มันไม่ใช่สุนัข”

“แน่ล่ะ ในเมื่อถูกเก็บมาจากภูเขาฝั่งตะวันตก มันย่อมเป็นสุนัขพันธุ์ที่โง่เป็นพิเศษแน่ๆ…”

เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของอาย่า หวังอู่ก็วางตำราอาหารลงและถามอย่างจริงจัง “ทำไม มีอะไรงั้นหรือ”

อาย่าตอบ “มันคือสุนัขป่า”

ในสายตาของหวังอู่ สุนัขกับสุนัขป่าไม่เห็นจะแตกต่างกันตรงไหน ทว่าเห็นได้ชัดว่าประเด็นของอีกฝ่ายนั้นมากกว่านั้น

“แล้วอย่างไร”

“มันคือปีศาจสุนัขป่าในตำนาน ของทวีปตะวันตก เฟนรีร์”

“…ว่าไงนะ!”

…………………………………….

[1] โก่วจ๋าโจ่ง หรือ 狗杂种 มีความหมายเป็นแสลงว่า son of a bitch มีการผสมจากคำว่า 狗 ที่แปลว่าสุนัข กับ 杂种 ที่แปลว่ามั่วพันธุ์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด