กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 4 วิธีการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกเซียนและโลกมนุษย์อย่างถูกต้อง

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 4 วิธีการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกเซียนและโลกมนุษย์อย่างถูกต้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนสำนักกระบี่วิญญาณก็กลับมาคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนในอดีตอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้สำนักที่ร่วงโรยแห่งนี้จะไม่ได้มีสมาชิกมากมายนักก็ตาม

ทว่าระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อน สถานที่แห่งนี้ต้องขาดผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณที่มีชีวิตชีวาหลายสิบคนไป ดังนั้นภูเขาแห่งนี้จึงว่างเปล่าไปไม่น้อย นอกจากศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานและขั้นพิสุทธิ์แล้ว คนอื่นๆ ก็แทบไม่ได้อยู่ประจำสำนักตลอดทั้งปี อย่าว่าแต่พวกผู้อาวุโสไม่กี่คนที่ชอบไปนั่นมานี่ตามใจชอบเลย แม้แต่ศิษย์ตบะขั้นสร้างแกนเองก็มักไม่อยู่นิ่ง พวกเขามักไปยังที่ต่างๆ อยู่เป็นประจำ ระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนั้น สำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ต่างจากบ้านร้างที่คนทั้งบ้านถูกฆาตกรรม ดังนั้นเมื่อเหล่าศิษย์ใหม่กลับมายังภูเขาอย่างร่าเริง ทั้งภูเขาจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

หลังจากกลับมาจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ สำนักก็มีมนุษยธรรมพอที่จะให้พวกเขาหยุดพัก ในแง่หนึ่งคือให้เวลาเหล่าศิษย์ในการปรับเปลี่ยนสภาพอารมณ์จากที่ไปเรียนรู้ในโลกมนุษย์ถึงหนึ่งปี เพื่อให้พร้อมกลับมาสู่การฝึกบำเพ็ญเซียน ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการให้เวลาเหล่าผู้อาวุโสในการตรวจรายงานและจากความถนัดที่ปรากฏในรายงาน เหล่าผู้อาวุโสจะได้คิดหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ต่อไป

การตรวจรายงานเหล่านี้ถือเป็นงานที่ยุ่งยากไม่น้อย แม้คนตรวจส่วนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ แถมอีกคนยังเป็นถึงขั้นเปลี่ยนวิญญาณ มันสมองของพวกเขานั้นสามารถทำงานได้รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด ทั้งยังสามารถคิดเรื่องต่างๆ ได้เก้าเรื่องพร้อมกัน ซึ่งนับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ทว่าแต่ละคนก็ต้องอ่านรายงานหลายสิบเล่มอย่างละเอียดรอบคอบ ใช้ภาษาเป็นรากฐาน สรุปเอาประสบการณ์ที่ศิษย์แต่ละคนได้เรียนรู้ตลอดหนึ่งปีออกมา ทั้งยังต้องอ่านเรื่องนี้ในมุมมองของ ‘บุคคลที่สาม’ จากนั้นพวกเขาก็ต้องวิเคราะห์จุดดีจุดเสีย รวมถึงผลสำเร็จและความล้มเหลวอย่างระมัดระวัง ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้พลังใจเป็นอย่างมาก

สองสามวันมานี้ ผู้อาวุโสหลักที่ต้องอ่านและกลั่นกรองรายงานเหล่านี้อย่างหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างหมดเรี่ยวแรงไม่น้อย

แน่ล่ะว่ารายงานไม่กี่สิบเล่มนี่ไม่ทำให้ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ทั้งสองเหน็ดเหนื่อยถึงตายได้ ทว่าก็ทำเอาคนทั้งคู่วุ่นวายเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหนัก สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คนทั้งคู่มีสีหน้าโหลเหลนั้นเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง

“…ศิษย์พี่ ขออภัยที่ข้าไร้ความสามารถ แต่ข้าไม่อาจตรวจรายงานพวกนี้ต่อได้อีก เหตุใดเราจึงไม่ส่งให้เจ้าสำนักจัดการไปเลยเล่า หากข้ายังต้องอ่านต่อ มีหวังได้เป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ”

“เฮ้ เหตุใดเจ้าถึงพูดเรื่องไร้ความสามารถกัน ข้าเองก็หดหู่ใจไม่น้อยตอนที่อ่านรายงานพวกนี้ ข้ารู้สึกสงสารเจ้าเด็กจูฉินที่อุตสาหะเขียนรายงานฉบับนี้ขึ้นมา หนำซ้ำรายงานของเขายังจัดได้ว่าเป็นบทความชั้นเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างกับการที่ต้องยกชุดแต่งงานของตัวเองให้คนอื่นไป”

“เอาเถอะ สิ่งที่เราต้องการก็คือพวกเขาได้พัฒนาการฝึกบำเพ็ญเซียนอย่างรวดเร็ว รายงานชั้นเยี่ยมมันก็แค่รายงานชั้นเยี่ยม เราไม่ได้คาดหวังให้เด็กพวกนี้เขียนอะไรที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว การที่จูฉินสามารถสะท้อนมุมมองที่ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนั้น เขาน่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทว่าสุดท้ายแล้ว…” ฟางเฮ่อชะงัก จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างลังเล “สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่อาจเทียบหวังลู่ได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฟางเฮ่อก็ไม่คิดอยากพูดต่ออีก เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ ท่านได้อ่านรายงานของหลิวหลีหรือยัง ข้าว่าข้ายังไม่เห็นมันเลย…”

หลิวเสี่ยนส่ายศีรษะ “ยังอยู่กับอาจารย์ของนาง แม้ศิษย์น้องโจวจะส่งนางให้มาอยู่ในการดูแลของข้าก่อนที่เขาจะออกท่องเที่ยวและก่อนที่นางจะลงเขาไป อย่างไรเสียนางก็เป็นศิษย์ของยอดเขากระจ่าง และวิชาสร้างแก่นบำเพ็ญเซียนของนางก็คือวิชากระบี่กระจ่างใจของศิษย์น้องโจว แน่นอนว่ารายงานของนางควรส่งให้ศิษย์น้องโจวดูก่อน”

สำหรับเรื่องนี้นั้นเป็นประเด็นที่น่าเศร้าไม่น้อย เมื่อหนึ่งปีก่อน เนื่องจากศิษย์น้องของเขาออกเดินทางท่องเที่ยว หลิวเสี่ยนจึงได้เข้ามาเป็นอาจารย์ให้หลิวหลีน้อยได้ประมาณหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นเขารู้สึกว่าตนชื่นชอบความไร้เดียงสา ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาอันโดดเด่นของหลิวหลีไม่น้อย ดังนั้นจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตน หนำซ้ำยังคิดวางแผนลวงให้ศิษย์น้องเดิมพันหลิวหลีน้อยในการเล่นไพ่นกกระจอกกับตนเพื่อที่ว่าหลิวหลีน้อยจะได้เป็นผู้สืบทอดของตนอย่างถูกต้อง เคราะห์ร้ายที่ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักไม่ใช่ของขวัญวันเทศกาลที่สามารถสับเปลี่ยนกันได้ตามใจ หลิวเสี่ยนจึงได้แต่ทอดถอนใจที่ตนไม่มีโชคที่จะได้ไม้งามหยกดีเช่นนี้มาครอง แน่ล่ะว่าในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัล เป็นเรื่องยากที่เขาจะฝึกฝนศิษย์ผู้สืบทอดของตน เพราะในอนาคตหากเขาต้องการส่งต่อตำแหน่งของตนในฐานะเจ้าของยอดเขาเร้นลับ ก่อนอื่นเขาต้องเกษียณตัวเองจากการเป็นผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลเสียก่อน

ขณะที่หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นแสงกระบี่สายหนึ่งที่เบื้องหน้า เป็นศิษย์น้องสี่บนกระบี่บินที่พุ่งตรงมาหาพวกเขา สีหน้าของศิษย์น้องสี่สามส่วนดูอับจนหนทางอีกเจ็ดส่วนดูหดหู่ใจ เมื่อเห็นดังนั้นหลิวเสี่ยนก็รำพึงออกมา “หลิวหลีน้อยทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ”

โจวหมิงพ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียว

ฟางเฮ่อกล่าว “ศิษย์น้องได้รับรายงานของหลิวหลีหรือยัง ก่อนที่เราจะส่งรายงานของทุกคนให้เจ้าสำนักพรุ่งนี้ ศิษย์พี่รองและข้าจะต้องอ่านมันเสียก่อน”

ทันทีที่พูดจบ ฟางเฮ่อก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเพราะสีหน้าของศิษย์น้องสี่ดูหม่นหมองลง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายถามเสียงแผ่ว “ศิษย์พี่ ท่านอยากอ่านมันจริงๆ หรือ”

ในส่วนนี้นั้น แน่นอนว่าฟางเฮ่อไม่คิดอยากอ่านสักนิด ทว่าโจวหมิงกลับถอนหายใจอย่างสิ้นหวังพลางยื่นรายงานมาให้ ฟางเฮ่อเปิดรายงานและปราดสายตาดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็นิ่งเงียบไปในทันที

ไม่มีคำใดจะอธิบายสิ่งนี้ได้ดีกว่าคำว่าสมกับเป็นหลิวหลีจริงๆ

“วันแรกของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินเนื้อย่าง อร่อยมาก”

“วันที่สิบสามของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินปลาย่าง อร่อยมาก”

“วันที่เจ็ดสิบสองของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินปอเปี๊ยะปู อร่อยมาก”

“วันที่เจ็ดสิบสาม วันนี้ข้าเจอกระโปรงตัวสวย แต่ข้าไม่มีเงินซื้อ แถมเจ้าของร้านก็ไม่ยอมยกให้ข้า ข้าจะทำอย่างไรดี”

“วันที่เจ็บสิบสี่ วันนี้ข้ากินข้าวโพดปิ้ง อร่อยมาก”

“วันที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด วันนี้ข้าไม่ได้กินอะไรเลย หิวจัง”

“วันที่สามร้อยหก วันนี้ข้าพบคนแปลกหน้าสิบสองคน พวกเขาบอกว่าอยากได้ข้าไปร่วมบำเพ็ญเซียนเตาหลอมสามประสาน ข้าอยากถามพวกเขากลับว่ามีอะไรอร่อยๆ ให้ข้ากินบ้าง ทว่าข้าจำคำท่านอาจารย์ได้ว่าอย่ายอมให้ตัวเองเป็นเตาหลอมให้ใคร จึงปฏิเสธพวกเขาไป แต่พวกเขาคิดจะจับตัวข้าไป ข้าก็เลยตีพวกเขาด้วยกระบี่ตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ พวกเขาดุร้ายแต่ข้าดุร้ายกว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะข้าได้ หลังจากที่ถูกตีจนน่วม บางคนก็กระอักเลือดออกมา มันดูน่าอร่อยไม่น้อย แต่ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าเราไม่ควรกินของที่ไม่รู้จักสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นข้าเลยต้องตัดใจ”

“วันที่สามร้อยสิบสอง วันนี้ข้ากินหมั่นโถว อร่อยมาก”

……

ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าที่ฟางเฮ่อจะปิดรายงานลงและใช้เวลานานกว่าเขาจะเอื้อนเอ่ยออกมา “ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”

โจวหมิงลืมตัวตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว “นางสิบเจ็ดย่างสิบแปดทั้งยังอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ เช่นนี้!? ก่อนที่นางจะลงจากเขาไป ข้าย้ำกับนางไม่ต่ำกว่าสิบรอบให้ตั้งอกตั้งใจเขียนรายงาน แถมยังบอกให้อ่านตัวอย่างรายงานก่อนด้วยซ้ำ แต่แล้วท่านดู นางกลับเขียนบันทึกประจำวันเรื่องอาหารมาให้เสียอย่างนั้น!? ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”

ในตอนนั้นเอง เพื่อที่จะปลอบประโลมโจวหมิงและระบายความคับข้องใจของตน หลิวเสี่ยนจึงถอนหายใจพร้อมยื่นรายงานฉบับหนึ่งให้โจวหมิง “ศิษย์น้อง เจ้าลองอ่านรายงานเล่มนี้ก่อนเผื่อจะบรรเทาความขุ่นข้องในใจลงได้”

โจวหมิงรับรายงานมาและเริ่มพินิจพิเคราะห์เนื้อหาในเล่ม ทว่าผ่านไปพักใหญ่เขาก็ยังมิอาจเปิดปากพูดอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าอับจนคำพูดอย่างแท้จริง

“รายงานนี้… ข้าไม่อาจตัดสินได้จริงๆ สมควรส่งต่อให้เจ้าสำนักแล้ว” พูดจบเขาก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “โชคดีที่ศิษย์น้องห้าเป็นคนดูแลเด็กคนนี้ หากไม่ใช่นางแล้ว ข้าว่าคงไม่มีใครสอนศิษย์เช่นนี้ได้”

——

สามวันต่อมาบนยอดเขาประกายดาว เจ้าสำนักปรมาจารย์เฟิงอิ๋นได้แต่ยิ้มขื่นค้างอยู่ขณะที่ในมือถือรายงานเล่มหนึ่งเอาไว้

“โอ้ ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณเหล่านี้ อีกคนเยี่ยมยอด ส่วนอีกคนทำให้หลายคนเป็นกังวล หลิวหลีนี่… แน่นอนว่าย่อมทำให้ศิษย์น้องสี่ขุ่นข้องใจ แม้เงื่อนไขหลักในการฝึกเพลงดาบกระจ่างใจคือการทำจิตใจให้ผ่องใส แต่หากเป็นเช่นนี้ ภายภาคหน้านางจะรับตำแหน่งสำคัญได้อย่างไร”

น้ำเสียงไม่ไยดีดังมาจากด้านข้าง

“หืม เหตุใดหญิงสาวจึงต้องรับตำแหน่งสำคัญด้วย นางก็แค่ต้องหาเจ้าบ้านและฝากตัวเป็นอนุภรรยา จากนั้นก็จะได้สำราญกับชื่อเสียง เงินทองและความรุ่งโรจน์ไม่จบสิ้น”

เฟิงอิ๋นสะบัดศีรษะไปด้านข้าง “แล้วทำไมเจ้าไม่หาให้ตัวเองสักคนเล่า”

หญิงสาวตอบอย่างไม่สำนึกแม้แต่น้อย “ศิษย์พี่ ท่านก็รับข้าซี่”

“ก่อนอื่นเจ้าจ่ายหนี้ที่ค้างข้าเอาไว้ก่อนเถอะ” เฟิงอิ๋นปัดคำพูดของนางทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อสองสามวันก่อน มีคนจากสำนักเซิ่งจิงมาหาเราด้วย”

“คนที่ขี่ลามาน่ะรึ ดูมีความสามารถไม่น้อย เขาต้องการอะไรล่ะ”

“จะอะไรเสียอีก แน่นอนว่าเพราะปัญหาที่ศิษย์รักของเจ้าสร้างขึ้นน่ะสิ”

หญิงสาวยักไหล่ “แล้วอย่างไร สำนักของเจ้านั่นตอนนี้ก็ได้เป็นสมาชิกพันธมิตรหมื่นเซียนแล้ว ชายผู้นั้นอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว”

“เหลวไหล รู้ไหมว่าศิษย์ของเจ้ายัดสำนักตัวเองเข้าไปอยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียนได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของสำนักกระบี่วิญญาณ เขาย่อมไม่อาจหาเงินสองล้านศิลาวิญญาณมาได้แน่! ตอนนี้ผู้คนต่างไม่คิดหาความเพราะคิดว่ามีสำนักกระบี่วิญญาณอยู่เบื้องหลัง ทั้งยังทำเป็นไม่รู้ว่ามีการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ทว่าเจ้าต้องอย่าลืมว่าเมื่อปี

กว่าๆ ที่ผ่านมา เพราะวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้เอง เจ้าทำให้สำนักเซิ่งจิงต้องเสียหน้าอย่างหนัก แล้วตอนนี้สำนักกระบี่วิญญาณกลับใช้เล่ห์กลอย่างเดียวกัน เจ้าว่าสำนักเซิ่งจิงจะคิดอย่างไรเล่า”

หญิงสาวขี้เกียจเกินจะใช้สมองคาดเดา “สั้นๆ เลยนะ เขาพบความผิดหรือไม่เล่า”

เฟิงอิ๋นกล่าวตอบ “ไม่พบ อย่างไรเสียหากสำนักกระบี่วิญญาณคิดจะปกปิดเรื่องนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ในแคว้นภาคกลาง การกระทำของสำนักเซิ่งจิงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสำนักภูมิปัญญาของศิษย์เจ้ามาก แม้จะไม่ใช้วิธีที่ฝืนลิขิตสวรรค์อย่างวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่ก็รู้กันดีว่าพวกเขาใช้ให้ผู้คนนับล้านๆ คนออกไปรวบรวมทรัพย์สมบัติกลับมา สร้างความร่ำรวยให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อย และอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีการทุจริตอะไรมากนักในสำนักของหวังลู่ เป็นความลับที่รับรู้กันทั่วไปว่าโลกบำเพ็ญเซียนย่อมกดขี่โลกปุถุชน เรื่องนี้ไม่มีใครติเตียนได้ หากเขายืนยันที่จะมีปัญหาในเรื่องนี้ นอกจากจะทำให้สำนักเซิ่งจิงดูย่ำแย่แล้ว สมาชิกคนอื่นๆในพันธมิตรหมื่นเซียนทั่วแคว้นธาราครามก็อาจถูกดึงมาพัวพันได้ ซึ่งรังแต่จะสร้างปัญหาให้เขาเข้าไปใหญ่”

“เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงต้องยกเรื่องนี้มาพูดด้วยเล่า”

เฟิงอิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในโลกนี้ ความจริงก็มักเป็นเช่นนี้ นั่นคือเมื่อมีการกดขี่ก็ย่อมมีการต่อต้าน โลกบำเพ็ญเซียนขูดรีดโลกมนุษย์มาตลอด และโลกมนุษย์ก็มักก่อการจลาจลอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหมื่นปีมานี้ การปกครองเช่นนี้ก็ยังไม่ถูกสั่นคลอน… อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเซียนเช่นเราก็ถนัดเรื่องเข่นฆ่าอยู่แล้ว ทว่าการต่อต้านนั้นไม่ได้มาจากโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียว เจ้าดูรายงานนี่สิ”

หญิงสาวรับรายงานนั่นมาเปิดอ่านคร่าวๆ ผ่านไปพักหนึ่งนางก็หัวเราะออกมา “ให้นักเขียนผีเขียนแทนชัดๆ”

“…เด็กจูฉินเป็นถึงรัชทายาทของประเทศ ไม่แปลกอะไรที่เขาจะมีเหล่าบัณฑิตช่วยเขียน สิ่งสำคัญคือเนื้อหาในรายงานต่างหาก”

หญิงสาววางรายงานเล่มนั้นลง “หมายความว่าอย่างไร มันก็แค่การร้องคร่ำครวญยามถูกขืนใจก็เท่านั้น เบื่อจะแย่แล้ว”

เฟิงอิ๋นกล่าว “ตัวรายงานน่ะไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจหรอก แต่หากเจ้ารวมสิ่งนี้เข้าไปด้วย”

พูดจบเขาก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง เมื่ออ่านจบหญิงสาวถึงกับอึ้งไป “ข้อมูลจากการประชุมสมัชชาพันธมิตรหมื่นเซียน นี่…นี่มันตัวแทนของโลกมนุษย์จากประเทศฉินแห่งแคว้นภาคกลางนี่ หนำซ้ำพวกเขาร้องขอให้โลกบำเพ็ญเซียนเพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมดูแลและชี้แนะต่อโลกมนุษย์ น่าสนใจ ช่างบังเอิญจริงๆ”

เฟิงอิ๋นเหยียดยิ้ม “บังเอิญงั้นหรือ ข้อเสนอเช่นนี้มีขึ้นทุกครั้งที่มีการประชุมสมัชชา ทุกครั้งมีการเขียนร้องเรียนจากผู้นำสมัชชา แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีผลอะไรเพราะไม่มีวิธีในการดำเนินการ สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงท่องคำขวัญอะไรกันไป ในเมื่อมีสำนักเซิ่งจิงเป็นตัวตั้งตัวตี ก็ไม่มีใครหน้าไหนในการประชุมสมัชชาร่วมกล้าร้องขอให้มีการตรวจสอบการที่โลกบำเพ็ญเซียนเข้าแทรกแซงโลกมนุษย์ ต่อให้พวกเขายกประเด็นนี้ขึ้นมาก็ไม่เป็นผลเพราะพวกที่จะโดนจัดการก็มีแต่สำนักระดับล่างเล็กๆ ที่ก่อความผิดเท่านั้น ทว่าจำนวนคนที่เสนอเรื่องนี้นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แม้แต่สำนักกระบี่วิญญาณของเราก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้เลย แม้สำนักเซิ่งจิงจะมีอำนาจมหาศาล แต่แรงกดดันที่พวกเขาต้องรับย่อมมีมากกว่าเรานับร้อยเท่า”

หญิงสาวกะพริบตา “เช่นนั้นนักบวชเต๋าที่ขี่ลาก็ต้องการมาแสดงความเห็นอกเห็นใจเราล่ะสิ”

“ไม่ใช่แค่เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ข่งจ้างมาที่นี่ในฐานะบุคคลบุคคลหนึ่ง ภายใต้ฉากหน้านั้น เขาบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องการจะหารือ”

“หารือ? เรื่องอะไร”

“ชายผู้นั้นระวังถ้อยคำมาก เขาไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าเขามีอาการทางจิต แต่สองสามวันหลังจากที่เขากลับไป ข้าก็ได้อ่านรายงานนี้ สุดท้ายแล้วข้าจึงเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ โอ้ สมแล้วที่เป็นผู้ที่สวรรค์เลือกจริงๆ”

เฟิงอิ๋นถอนหายใจจากนั้นก็เปิดรายงานเล่มที่เขาอ่านจนทะลุปรุโปร่งมากที่สุด

………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด