กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 9 สิ่งที่อร่อยที่สุดในโลก

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 9 สิ่งที่อร่อยที่สุดในโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากมีชีวิตรอดอยู่ในแดนปรลัยมามากกว่าสามร้อยวัน หวังลู่ก็ค่อยๆ ใช้ชีวิตได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เขายังวางแผนว่าหากกระแสน้ำทมิฬในรอบนี้จบลงแล้ว จะสำรวจลึกเข้าไปทางตะวันตกที่ที่กระแสน้ำทมิฬรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เขาต้องการทดสอบขีดจำกัดของตนเองและขยายมันออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่ส่งผลต่อหวังลู่มากที่สุดคือสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของสถานที่แห่งนี้ มันทำให้เขาไม่มีอาหารกินและไม่มีเสื้อผ้าใส่ ในภูเขาฝั่งตะวันตกที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต นอกจากก้อนหินและโขดหินแล้ว บางครั้งเขาก็พบต้นไม้ดอกไม้แปลกตาบ้าง ทว่าหากพินิจจากการที่พวกมันชุ่มฉ่ำน้ำจากกระแสน้ำทมิฬมาเนิ่นนาน หวังลู่ก็ไม่คิดว่าการใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทดสอบความต้านทานพิษของตนจะเป็นเรื่องคุ้มค่า ดังนั้นเกือบปีมานี้ เขาจึงอยู่ใภาวะอดอาหาร นานๆ ครั้งจึงยอมกินเสบียงที่เตรียมมาในย่ามสีเหลืองหม่น ซึ่งเขาถือว่าเป็นงานฉลองที่หาได้ยากสักที… นั่นเพราะอาจารย์ของเขาลวงเขามายังแดนปรลัยนี้โดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยเขาย่อมเตรียมอาหารมื้อหรูหราสักสิบชุดรวมถึงสุราเซียนติดตัวมาด้วย

หลังจากเผชิญกับภาวะเช่นนี้มามากกว่าสามร้อยวัน หวังลู่ก็คิดว่าเขาน่าจะกินแหงนมองดาราของอาย่าได้จนไม่เหลือคราบ ความหิวและกระหายของเขาเกินขีดจำกัดไปแล้ว และในเวลาที่เขารู้สึกหิวโหยเป็นที่สุดนี่เอง เจ้าสุนัขลายด่างตัวจ้อยก็โผล่มาตรงหน้าพอดี

สวรรค์ประทานชัดๆ แม้ตามธรรมเนียมแล้ว ดำมาก่อน เหลืองมาที่สอง ด่างมาที่สามและขาวมาที่สี แม้สุนัขลายด่างจะอยู่เพียงอับดับสาม แต่เวลาเช่นนี้ใครจะมามัวใส่ใจเรื่องธรรมเนียมกันเล่า

หลังจากที่หวังลู่หยิบภาชนะต่างๆ ขึ้นมาแล้ว เขาก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำเอาเจ้าสุนัขพันทางตัวน้อยตกใจ ดวงตากลมของมันจ้องมองหม้อและชามในมือของหวังลู่อยู่พักใหญ่ ทั้งยังเห็นประกายวิบวับในดวงตาของหวังลู่อีกด้วย ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณสัตว์ทำให้มันถอยหลังไปสองสามก้าวในทันที

ทว่าพื้นที่ภายในถ้ำไม่ได้กว้างนัก หากมันยังถอยหลังต่อ มันย่อมไปถึงปากถ้ำอย่างแน่นอน และบังเอิญว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่กระแสน้ำทมิฬรุนแรงมากที่สุด แม้กระแสน้ำทมิฬจะไหลอย่างเงียบเชียบเกือบตลอดทั้งวัน ทว่าผู้ที่สามารถรอดชีวิตในสถานที่แห่งนี้ได้ย่อมรู้ดีว่าความรุนแรงของมันจะเพิ่มขึ้นสูงสุดก่อนรุ่งสาง

สุนัขตัวน้อยหลบหนีวิญญาณร้ายในกระแสน้ำทมิฬเข้ามา และตอนนี้มันอยู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะกลับออกไปหากระแสน้ำทมิฬที่หวังชีวิตมันดีหรือไม่

ประกายแปลกๆ ในดวงตาของหวังลู่ที่ถือชามอยู่ทำให้ลูกสุนัขตัวจ้อยกลัวจนขนลุกขนชัน เมื่อเห็นดังนั้นหวังลู่ก็สบถอยู่ในใจ เจ้าหมาโง่ ไม่อยากโดดเข้ามาในชามของข้าหรือไร หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบซาลาเปาไส้เนื้อออกจากย่ามสีเหลืองหม่นและโยนไปทางอีกฝ่าย

ซาลาเปาไส้เนื้อลูกนั้นนอนนิ่งอยู่ในย่ามสีเหลืองหม่นมานานกว่าหนึ่งปี เขาแอบหยิบมันมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลหรูเมื่อนานมาแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่เนี้ยนับว่ายอดเยี่ยม แต่ตอนที่เขามาที่แดนปรลัย เขาเอาอาหารดีๆ ติดตัวมาไม่กี่อย่าง เกือบปีมานี้ เขาไม่คิดหยิบมันขึ้นมากิน ทว่าตอนนี้เขากลับหยิบมันออกมาให้สุนัขเสียอย่างนั้น

ถึงกระนั้นเจ้าสุนัขตัวน้อยกลับไม่ไหวติง เมื่อเห็นหวังลู่หยิบซาลาเปาไส้เนื้อออกมา กลิ่นหอมของมันราวกับเป็นอาคมสะกดให้อีกฝ่ายกลายเป็นหิน ผลก็คือซาลาเปาไส้เนื้อพุ่งใส่หน้าของเจ้าสุนัขเต็มๆ และตกลงไปที่พื้นใกล้ๆ ตีนของมัน

เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยเพ่งพิศซาลาเปาไส้เนื้อ จากนั้นก็ย้ายสายตากลับไปมองหวังลู่ที่ยังคงถือชามกระเบื้องอยู่

เจ้าลูกสุนัขยกมุมปากขึ้นราวกับกำลังฉีกยิ้ม จากนั้นก็เต๊ะท่ากลืนซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไปคำใหญ่ ไม่สนสักนิดว่าอีกฝ่ายจะวางยาในซาลาเปาลูกนี้หรือไม่ ราวกับจะโอ้อวดพลังน้ำย่อยของตัวเอง เจ้าสุนัขตัวจ้อยนี้ก็อดอยากไม่น้อย ดังนั้นหลังจากกินซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไป มันก็หอนออกมาอย่างยินดี และทันทีที่มันเปิดตาขึ้น มันก็เห็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกลูกนอนนิ่งอยู่ไม่ไกล

เจ้าลูกสุนัขไม่ใคร่ครวญให้มากความ มันพุ่งตัวเข้ามาเคี้ยวกลืนซาลาเปาจนหมดภายในไม่กี่คำ ความรู้สึกหิวโหยที่ไม่สิ้นสุดเริ่มกระเตืองขึ้นเล็กน้อย… มันเงยหน้าขึ้นและเห็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกลูกวางอยู่ด้านหน้า

สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็หยิบซาลาเปาไส้เนื้อจากย่ามสีเหลืองหม่นออกมาให้ลูกสุนัขกินถึงห้าลูก ทว่ามันไม่ใช่การลงทุนที่เสียเปล่า เพราะเจ้าสุนัขขยับเข้าใกล้หม้อที่ตั้งอยู่บนหยกเรืองแสงมากขึ้นเรื่อยๆ หวังลู่โยนซาลาเปาไส้เนื้อลูกสุดท้ายลงในหม้อ เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยไม่ทันได้คิดอะไร จึงกระโดดลงหม้อตามซาลาเปาไป

ทันทีที่อีกฝ่ายลงไปในหม้อเรียบร้อย หวังลู่ก็ปิดฝาหม้ออย่างไร้ความปรานี

“โฮ่งๆ!”

เจ้าสุนัขตัวน้อยพยายามดิ้นเพื่อจะออกมา แน่นอนว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี้ไม่อยากกลายเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมอยู่ในหม้อนี่ ทว่าหม้อเล็กๆ ที่ทำขึ้นในสำนักกระบี่วิญญาณก็ช่างพิเศษเหลือล้ำ ไม่ง่ายเลยที่จะออกมาจากในนั้นได้

หวังลู่ใช้แขนข้างที่เหลือกดฝาหม้อให้แน่นขึ้น ขณะยื่นเท้าข้างหนึ่งไปยังขวดเครื่องปรุง ทั้งยังเป่าพลังปราณออกมากระตุ้นให้หยกเรืองแสงเผาไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น

“โฮ่งๆ!”

เสียงเห่าของเจ้าสุนัขเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันฝาหม้อก็สั่นสะท้านราวกับว่าจวนเจียนจะระเบิด ทันใดนั้นหวังลู่ก็รู้สึกเจ็บราวถูกเข็มตำเข้าที่มือข้างที่กดปิดฝาหม้อลงไป

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสุนัจตัวจ้อยจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้แต่เครื่องมือวิเศษระดับห้าอย่างหม้อใบน้อยนี้ยังถูกเหวี่ยงไปมา… ทว่าหวังลู่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะจับเจ้าสุนัขตุ๋นเป็นเนื้ออันโอชะ เขาจึงไม่ต้องการให้มันมีโอกาสหลบหนีได้เพียงนิด ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเพื่อยุติการดิ้นรนของอีกฝ่าย

แน่นอนว่าเจ้าสุนัขตัวน้อยนี่ไม่ใช่สุนัขธรรมดา มันดิ้นรนไปมาอยู่ในหม้อด้วยพลังมหาศาล การชนแต่ละครั้งหนักหน่วงจนเกิดรอยปริเล็กๆ ราวกับมีเข็มทะลวงเข้าไปทำลายโครงสร้างของหม้อ ทางด้านหวังลู่เองก็ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้พลังการชนของอีกฝ่ายทำให้หม้อแตกหัก

แม้เขาจะเป็นศิษย์ชั้นแนวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่ก็ไม่ได้เป็นพหูสูตในทุกด้าน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องการหลอมวัตถุสักเท่าไร ทำให้ไม่อาจซ่อมแซมอุปกรณ์วิเศษระดับห้านี้ได้ ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เสียหายแม้แต่น้อย

นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับหวังลู่ ตอนการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์เมื่อครั้งก่อน เขาได้เรียนรู้ในสนามรบนับครั้งไม่ถ้วน และในการเอาตัวรอดในแดนปรลัยเกือบหนึ่งปีมานี้ หวังลู่ได้เผชิญกับกองภูเขาซากศพและทะเลเลือดที่หมายจะสังหารเขามาแล้ว ทว่าแต่ละครั้งเขาใช้กระบี่ในการจัดการพวกมัน ไม่เคยใช้พลังอิทธิฤทธิ์โดยตรงเลยสักหน จุดเด่นของเขาคือเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์และกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ ส่วนพลังอิทธิฤทธิ์นั้นคือจุดด้อย ทว่าครั้งนี้วรยุทธ์อันแข็งแกร่งของเขานั้นไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้กระบี่ย่างเนื้อ ดังนั้นหวังลู่จึงจำต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์เพื่อจัดการสุนัขตัวนี้

ไม่ใช่เรื่องยากของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ที่จะปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมา ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ทำให้หวังลู่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ พลังอิทธิฤทธิ์ในรูปแบบของเหลวสีทองที่กลั่นจากพลังปราณฟ้าดินผ่านกระดูกกระบี่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ก็ต่อเมื่อใช้ร่วมกับกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์เท่านั้น ทว่าเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมานอกร่าง มันจะระเหยไปอย่างรวดเร็วราวกองทัพที่ชนะศึก หากใช้เป็นพลังปราณเพื่อกระตุ้นไฟนั้นยังพอไหว แต่ยากยิ่งที่จะปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของพลังได้ ตอนนี้เขาปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์โดยตรงไปที่หม้อใบเล็กนั่น ซึ่งหากพูดอย่างเข้มงวดแล้วมันไม่ใช่เป็นการปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาจริงๆ ทว่าก็ยังยากที่จะรับมือกับการต่อต้านของเจ้าสุนัขนั่น ทุกครั้งที่พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาแผ่ไปทั่วผนังด้านในของหม้อ มันก็จะกระจายตัวไปยังผนังอีกด้าน และส่งคืนพลังที่เหลือมายังผนังด้านใน

นั่นเป็นเพราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขายังไม่หนาแน่นมากพอ… ทว่าด้วยขั้นวิชาไร้ลักษณ์ที่เป็นอยู่ของเขา ทำให้เขายังมีพลังไม่พอที่จะควบแน่นมัน วิชาที่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนี้ยอดเยี่ยมในด้านการป้องกัน แต่เมื่อใดที่พลังอิทธิฤทธิ์ถูกส่งออกมายังภายนอก มันก็จะเป็นอิสระและไม่อาจควบคุมได้ เว้นแต่ในภายภาคหน้าหากพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแข็งแกร่งขึ้นเขาก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมในการควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์ภายนอกร่างกายได้ ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าปีไหนเดือนไหนที่เขาจะทำเช่นนั้นได้

ดังนั้นเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง การดิ้นรนของเจ้าสุนัขก็ดูจะรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนที่มันเข้ามาในถ้ำใหม่ๆ มันอยู่ในสภาพที่ลำบากและเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ทว่าหลังจากที่ได้กินซาลาเปาไส้เนื้อไปห้าลูก พลังวังชาของมันก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันใช้พลังที่ได้มานี้วิ่งชนหม้อซ้ายทีขวาทีไปทั่ว ทว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ หวังลู่ก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือเขาจะควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์จากที่ใต้ฐานก่อนที่จะปลดปล่อยออกมา แรงเฉื่อยจะทำให้พลังปราณรวมตัวกันอยู่นอกร่างกายได้ในระยะเวลาหนึ่ง และหากเขากะเวลาในการออกแรงได้ถูกต้อง เขาก็จะยังรับมือได้อยู่

แน่นอนว่าการควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์ที่ภายใน การปลดปล่อยมันออกมา และการกะเวลาอย่างแม่นยำนั้นต้องการชุดความรู้ที่ซับซ้อน โชคดีที่สติปัญญาของหวังลู่นั้นสูงอย่างน่าทึ่ง และเขาก็ค้นพบรูปแบบการตั้งรับที่ได้ผลอย่างรวดเร็วจนทำให้เจ้าสุนัขไม่อาจออกมาได้แม้มันจะพยายามขนาดไหนก็ตาม

ผ่านไปครู่หนึ่ง หยกเรืองแสงก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง หวังลู่เหยียดขาออกพลิกด้านของหยกเพื่อให้มันเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง

จู่ๆ เจ้าสุนัขที่อยู่ในหม้อก็ยิ่งรับมือยากขึ้นไปอีก การขยับและไฟที่ร้อนแรงทำให้มันยิ่งดิ้นแรงมากขึ้น ทว่าหวังลู่กลับได้กลยุทธ์ใหม่ เขาเคลื่อนย้ายพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างแบบเดียวกับที่จะใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ก่อนจะปลดปล่อยมาสู่ภายนอก แม้ขอบเขตในการป้องกันจะไม่มาก แต่แรงป้องกันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นระหว่างที่เผชิญหน้ากันอยู่นี้เอง ไม่เป็นโชคดีของหวังลู่ ก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของเจ้าสุนัข การดิ้นรนจะออกมาของมันถูกขัดขวางได้สำเร็จทุกครั้ง

“ฮ่าๆ เอาเลย ดิ้นเลยซี่ ยิ่งเจ้าดิ้นเท่าไรท่านลุงของเจ้าคนนี้ก็ยิ่งสำราญใจมากเท่านั้น ข้าชอบให้สิ่งเล็กๆ ที่อยู่ใต้ร่างข้าส่งเสียงครวญครางอยู่แล้ว”

เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานเขาต้องได้เนื้อตุ๋นอันโอชะแน่ หวังลู่ก็อดดีอกดีใจในชัยชนะไม่ได้

ทว่าอึดใจถัดมา…

“เจ้าสารเลว ปล่อยข้านะ!”

“อะไรวะนั่น!?”

เสียงที่ดังขึ้นในหูทำให้หวังลู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ จังหวะนั้นเอง ความหนาแน่นของพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาใช้ปิดฝาหม้อไว้ก็ลดลงไปเล็กน้อย เจ้าลูกสุนัขนั้นคล่องแคล่วว่องไวและฉวยโอกาสนี้กระโดดออกมาจากหม้อ น้ำซุปที่กระฉอกออกมาส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย

หม้อเล็กๆ นี้วิเศษยิ่งนัก มันสามารถทำความสะอาดอาหารภายในหม้ออีกทั้งยังปรุงรสได้ด้วยตัวเอง เลือดที่อยู่บนขนของเจ้าสุนัขถูกเช็ดออกจนเกลี้ยงเกลา แต่น้ำซีอิ๊ว เมล็ดผักชีและเครื่องปรุงอื่นๆ กลับทำมันเลอะเทอะไม่เบา

ภายในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหวังลู่ฉายภาพเจ้าลูกสุนัขกำลังสะบัดขนอย่างขะมักเขม้น ทำให้น้ำซุปบนตัวกระจายไปทั่วถ้ำ จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นส่งเสียงหอนอย่างโกรธเคือง

“เจ้าสารเลวโรคจิตนี้คิดจะกินข้าจริงๆ รึ”

หวังลู่แทบไม่เชื่อหู “สุนัขอย่างเจ้าพูดได้ด้วยหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าสุนัขตัวน้อยก็จ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา แต่เพียงชั่วครู่มันก็ลืมความโกรธและคุยโวออกมา “แค่พูดได้มันวิเศษตรงไหนกัน ข้านี่ร้องเพลงได้ด้วยซ้ำ”

“ว้าว ข้าไม่เคยได้ยินสุนัขร้องเพลงมาก่อน ทำไมไม่ลองร้องให้ฟังหน่อยล่ะ”

เจ้าสุนัขตัวจ้อยภูมิอกภูมิใจยิ่งกว่าเดิม “โฮ่ง ฮู้ โฮ่ง ฮ่า ฮู้ว โบร๋ว”

“ไม่เลวๆ เจ้าร้องเพลงได้จริงๆ ด้วย เป็นสุนัขที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง”

“ฮึ่ม ฮึ่ม” เจ้าสุนัขตัวน้อยเชิดหน้ายืดอก ภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก จนลืมไปเสียสิ้นว่าก่อนหน้านี้ตนนั้นถูกโยนลงหม้อเพื่อต้มเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอม

“สุนัขที่วิเศษอย่างเจ้า รสชาติย่อมเป็นหนึ่งไม่ซ้ำใครแน่” ขณะพูดหวังลู่ก็หยิบหม้อใบเล็กขึ้นมาและเดินเข้าหาเจ้าสุนัขตัวน้อย พร้อมที่จะจับหัวของมันขึ้นมา

เจ้าลูกสุนัขกลัวมากจนขนลุกขนชัน “เจ้ายังอยากกินข้าอยู่เรอะ”

“เหลวไหล ข้าเสียซาลาเปาไส้เนื้อไปตั้งห้าลูก จะไม่คิดคืนทุนได้อย่างไร เจ้าเองก็กินซาลาเปาข้าไปตั้งห้าลูก จะตอบแทนข้าอย่างไรไหนพูดซิ”

เจ้าลูกสุนัขตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย หวังลู่ก็นึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ “ดูท่าเจ้าจะเป็นนักกิน รู้ไหมว่าอะไรที่อร่อยที่สุดในโลก”

เจ้าสุนัขตัวน้อยตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนว่าต้องเป็นเนื้อ”

“เนื้ออะไรเล่า”

“เอ่อ…” เจ้าลูกสุนัขเอียงคอพยายามนึกถึงเนื้อชนิดต่างๆ ที่มันเคยกินเข้าไป ความจริงแล้วก็มีไม่มากนักหรอก หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน มันก็ตอบอย่างลังเล “เนื้อวัว?”

“งี่เง่า” หวังลู่เมินเฉยต่อคำตอบของอีกฝ่าย “ดูท่าว่าพวกเร่ร่อนอย่างเจ้าจะมีประสบการณ์จำกัด เจ้าไม่รู้จักรสชาติของเนื้อที่แท้จริง ข้าจะบอกให้นะ ผิวสัมผัสของเนื้อจริงๆ นั้นจะนุ่มมาก ทั้งสดทั้งแน่นทั้งชุ่มฉ่ำ หลักจากถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน สีและความมันของมันจะเข้มขึ้น กลิ่นก็หอมยั่วจมูก และรสชาติก็อร่อยล้ำ พอเนื้อนั้นเข้าปาก มันหนึบแต่ไม่เหนียว นุ่มแต่ไม่เลี่ยน”

เมื่อได้ฟังหวังลู่บรรยาย น้ำลายก็พลันไหลท่วมปากของเจ้าลูกสุนัข “เช่นนั้นเนื้อชนิดใดจึงอร่อยได้เพียงนั้นเล่า”

“เนื้อสุนัข”

“บรู๋ว?”

หวังลู่ชี้ไปที่เจ้าลูกสุนัข “เนื้อที่อยู่บนตัวเจ้าไงเล่า”

“บ บรู๋ว?”

รอยยิ้มของหวังลู่ชั่วร้ายผิดธรรมดา “เจ้าคิดว่าอย่างไร ลองเนื้อมาก็ตั้งมากมาย แต่เจ้ายังไม่เคยลองเนื้อสุนัขใช่ไหม”

“บ บรู๋ว…”

“เกิดมาไม่เคยได้ลิ้มลองเนื้อสุนัข ชีวิตเจ้านี่ช่างสูญเปล่าจริงๆ จะบอกให้ว่าทันทีที่เจ้าได้กินเนื้อหวานฉ่ำนี้น่ะนะ ต่อให้เพียงคำเดียวก็เถอะ เจ้าจะรู้สึกว่าเนื้อชนิดอื่นช่างไร้รสชาติ เมื่อเทียบกับอาหารที่ดีที่สุดที่เจ้าเคยกิน เนื้อสุนัขอร่อยกว่าเป็นล้านเท่า เจ้าอธิบายรสชาติของมันด้วยคำเพียงคำเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นหากเจ้าไม่เคยลิ้มลองด้วยตัวเอง เจ้าก็ไม่มีวันเข้าใจรสชาติของมันได้”

“แบ๊ก”

“โชคดีที่ข้ามีหม้อ มีชาม มีเครื่องปรุง แถมข้าว่าฝีมือปรุงอาหารของข้าก็ดีงามไม่น้อย เช่นนั้น… เจ้าอยากลิ้มลองเนื้อดีๆ ด้วยกันไหมเล่า”

“…” เจ้าลูกสุนัขตัวแข็งทื่ออยู่นานสองนาน สีหน้าของมันดูราวกับว่ากำลังสองจิตสองใจเหมือนมีศึกใหญ่กำลังต่อสู้อยู่ในใจ

ผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากที่ต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว เจ้าสุนัขตัวจ้อยก็ค่อยๆ ยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นและยัดเข้าไปในปาก…

คิก หวังลู่ไม่อาจกลั้นขำได้อีกต่อไป

เจ้าลูกสุนัขนี่ช่างตลกจริงๆ

………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด