กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 21 หลิวหลีขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 21 หลิวหลีขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          กายเนื้อจะต้านทานรถถังได้อย่างไร

          เรือเหาะสีเงินค่อยๆ หมุนตัวกลับมาลงจอดด้านหน้าหวังลู่พร้อมเศษเนื้อและเศษเลือดที่ติดอยู่ ผิวหน้าสีเงินของมันสะท้อนใบหน้าตกตะลึงของเหล่าคนที่อยู่ตรงนั้น

          ขณะตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน หวังลู่กลับงัดไพ่ตายใบสุดท้ายออกมาและพลิกสถานการณ์ได้ภายในชั่วพริบตา สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ใครบางคนประหลาดใจนัก หลิวหลีเคยได้รับเกียรติเห็นหวังลู่หงายไพ่ไม้ตายมาแล้วในการแข่งชิงตำแหน่งตัวแทนหลักเมื่อหลายปีก่อน ทว่าครั้งนี้มันกลับทำให้หลายคนประหลาดใจ

          “เจ้านั่นมันควรเป็น…พาหนะทางการไม่ใช่หรือ”

          เพราะยังอยู่ในสถานะสู้รบ หลิวหลีจึงค่อนข้างจริงจัง ดังนั้นนางจึงถามคำถามที่จริงจังออกมา

          เจ้านั่นมันควรเป็นพาหนะทางการไม่ใช่หรือ

          หวังลู่พูดเย้ย “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกข้าราชการที่กินเงินหลวงจนพุงป่องเรอะ ข้าไม่ควรปฏิเสธสิทธิ์พิเศษนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้ากระอักกระอ่วนใจ แต่สิ่งที่ผู้นำควรได้รับนั้น ไม่ว่ามันจะถูกใช้เพื่อแสดงความร่ำรวยหรือเพื่อมีความสุขกับชีวิต ความแตกต่างก็อยู่ที่การนำไปใช้ซึ่งมันก็แล้วแต่คนจะคิด เอาละ เจ้าขึ้นไปเร็วเข้า ด้วยข้อห้ามของการสาบานกับปีศาจในใจ ข้าย่อมไม่อาจควบคุมเรือเหาะนี่เองได้”

          หวังลู่ฉวยจังหวะที่เสี่ยวชีใช้ไม้เท้าไล่สุนัขกวัดแกว่งใส่ ‘กองทัพ’ ที่กำลังฮือเข้ามา บอกให้ทุกคนขึ้นมาบนเรือเหาะ

          ตอนนี้ภายในเรือไม่ได้เป็นพื้นที่กว้างขวางหรูหราแล้ว พวกเขาพบว่าตัวเองเหมือนกำลังอยู่ในห้องเครื่องยนต์ซึ่งเนื้อที่ค่อนข้างจำกัดและแออัด ท่อส่งแถวแล้วแถวเล่าที่ทำจากเงินเมฆาชั้นดีจัดวางอย่างเป็นระเบียบตามกำแพงรอบด้าน ด้านในนั้นมีพลังปราณในรูปแบบของของเหลวเปล่งประกายแวววาวเคลื่อนที่อยู่ ซึ่งเป็นพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการขับเคลื่อนเรือเหาะ

ขณะเดินผ่าน หวังลู่ก็แนะนำและจัดแจงหน้าที่ให้ทุกคน

          “นี่คือเรือเหาะประจัญบาน เวลามีไม่มาก ข้าจะไม่บอกละเอียดละนะ คุณหนูเจ็ด ข้าต้องการให้ท่านไปที่ห้องพลังงานหลักที่อยู่ชั้นสอง และใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของตบะขั้นสร้างแกนขับเคลื่อนเรือ หากพลังอิทธิฤทธิ์ไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้ศิลาวิญญาณที่สำรองเอาไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องขยักไว้ เซียนเอ๋อร์ เจ้ากับข้าจะไปอยู่ที่ห้องบัญชาการ เจ้าจะควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้ด้วยเพลงกระบี่กระจ่างในและสามัญสำนึก อืม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยขับสิ่งนี้มาก่อน แต่ถ้าคิดว่าเรือเหาะนี้เป็นกระบี่บินเล่มมหึมา เจ้าก็จะควบคุมมันได้ ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังคำสั่งข้า เราจะชนะศึกในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน”

          “อ้อ!”

          หากมีสิ่งใดที่หลิวหลีชำนาญ การเชื่อฟังคำสั่งก็น่าจะอยู่อันดับแรกสุด

          ไม่นานทุกคนก็ประจำตำแหน่งของตัวเอง เสี่ยวชีอยู่ตรงกลางห้องพลังงาน มือแต่ละข้างของนางจับอยู่ที่กลุ่มท่อเงินเมฆา เมื่อเปิดใช้วิหารหยกตบะขั้นสร้างแกน พลังอิทธิฤทธิ์ของนางก็ไหลผ่านมือไปเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนเรือเหาะ ขณะเดียวกัน หลิวหลีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวังลู่ก็วางมือลงบนจานสีเงิน วินาทีที่นางสัมผัสมัน ก็ราวกับมีคลื่นพลังรุนแรงที่ไหลผ่านมือเข้ามาในร่างของนาง หลิวหลีตกใจเมื่อได้รู้ว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของนางและเรือเหาะลำนี้ได้เชื่อมต่อกันแล้ว เรือทั้งลำกลายเป็นส่วนต่อขยายของร่างกาย ซึ่งนางสามารถควบคุมได้ตามอำเภอใจ

          หากเป็นคนทั่วไป พวกเขาคงต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวให้เข้ากับการควบคุมอะไรเช่นนี้ ทว่าหลิวหลีเพียงแค่ทำตามคำที่หวังลู่บอกไว้ นั่นคือคิดเสียว่าเรือเหาะลำนี้เป็นกระบี่บิน ดังนั้นในชั่วพริบตาจิตกระบี่กระจ่างใจในวิหารหยกของนางก็สามารถดำเนินการได้ตามความคิด และนางก็ปรับตัวเข้ากับเรือเหาะได้อย่างสมบูรณ์ พลังวิญญาณขั้นปฐมและแกนของเรือเหาะสอดประสานกันอย่างลงตัว เรือเหาะสีเงินนี้พลันสว่างวาบและเปล่งประกายวาววามขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

          “ดี ตอนนี้เราพร้อมใช้แรงแล้ว!”

หวังลู่ที่ยืนด้านหลังหลิวหลีตบบ่าให้กำลังใจอีกฝ่าย

เรือเหาะสีเงินอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบและพร้อมจะเคลื่อนตัว

          อาเซี่ยที่ลอยอยู่กลางอากาศฉวยโอกาสสั้นๆ นี้เตรียมการตั้งรับ เขาเอื้อมมือไปขวางสุนัขป่าปีศาจสีแดงก่ำที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะสู้เสียเหลือเกิน จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนกระบวนกองทัพสัตว์ร้ายที่อยู่ในหุบเขาผ่านค่ายกล

          ภาพที่เรือเหาะสีเงินพุ่งเข้าชนเต่าดำจนร่างแหลกเหลวช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก อาเซี่ยรู้ว่าเมื่ออีกฝ่ายหงายไพ่ที่ทรงพลังเช่นนี้ เขาก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงประจันหน้าด้วย… แต่ควรที่ประวิงเวลา ยานพาหนะรูปร่างคล้ายรถถังซึ่งเป็นอาวุธวิเศษไม่น่าจะบินอยู่ได้นาน ถ้าเขาสามารถดึงเวลาไว้ได้นานพอ ชัยชนะก็จะยังอยู่ในมือเขาอยู่ดี

          “แดงสาม เขียวห้า ดำสี่…” ในที่สุดอาเซี่ยก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบของค่ายกลสำเร็จ จากนั้นเขาก็เห็นภาพผ่านค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตว่าฝูงสัตว์ร้ายต่างพากันตื่นตัว สัตว์ร้ายหลากหลายประเภทพุ่งทะยานออกมาจากป่า แม่น้ำและท้องฟ้าราวกลับห่าคลื่น ไม่ต่างจากผู้สิ้นหวังที่ปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายจนสุดตัว

          ทว่าที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ตอนนี้ระดับของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยังต่ำอยู่ พวกมันส่วนใหญ่ยังไม่ได้ควบรวมแกนภายในด้วยซ้ำ ซึ่งแปลว่าพวกมันเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ในขั้นสร้างฐาน หน้าที่ของพวกมันคือคุ้มกันสัตว์ภูตทรงพลังตัวจริงที่จะซุ่มโจมตีระหว่างช่วงชุลมุน ไม่ว่าเรือเหาะสีเงินจะสมบูรณ์แบบเพียงใด แต่มันจะบดขยี้ค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตและค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายให้เป็นชิ้นๆ ได้จริงหรือ

          ขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเอง การเผชิญหน้ากันครั้งแรกก็เริ่มขึ้น

          ลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นในหุบเขา ด้วยพลังที่ได้รับจากเสี่ยวชี ความเร็วของเรือเหาะจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า! และด้วยการขับเคลื่อนจากจิตกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลี ประสิทธิภาพของมันจึงดีขึ้นอย่างมหาศาล ภายในชั่วพริบตา เรือเหาะก็เคลื่อนที่มาได้หลายลี้ทีเดียว

          หากอาเซี่ยปรับเปลี่ยนรูปแบบของค่ายกลไม่ทัน เรือเหาะลำนี้ย่อมแล่นทะลุผ่านภูเขาหิน สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตอย่างแน่นอน

ทว่าแม้อาเซี่ยจะปรับเปลี่ยนภูมิประเทศแล้ว แต่เขากลับไม่มีเวลาพอที่จะออกคำสั่งกับฝูงสัตว์ ตลอดเส้นทางหลายลี้จึงมีสัตว์มากมายที่ถูกบดขยี้ ซึ่งเมื่อรวมกับลมภูเขาแล้ว มันจึงดูเหมือนเกิดฝนห่าเลือดในหุบเขาไม่มีผิด

          “ระยำเถอะ เจ้าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่!?”

          ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักชั้นสูงเช่นอาเซี่ยย่อมเคยเห็นเรือเหาะมานักต่อนัก แต่เรือเหาะที่ดูไร้เหตุผลราวกับเป็นคนบ้าอาละวาดนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!

          ขณะกัดฟันคำนวณความเสียหาย อาเซี่ยก็ตัดสินใจเพิ่มระดับการถ่ายเทของพลังปราณฟ้าดินที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตและค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายได้พร้อมๆ กัน ผลก็คือมีสัตว์ร้ายปรากฏขึ้นมากกว่าเดิม

          “เขาใช้กลยุทธ์จำนวนบดขยี้ทุกอย่าง” เสี่ยวชีที่อยู่ในห้องพลังงานอดถอนหายใจไม่ได้ “เรือเหาะของเจ้าสะดวกสบายก็จริง แต่หากคิดจะต่อสู้กับหมอนั่นจริงๆ ละก็.. พลังงานขับเคลื่อนเรือที่เจ้ามีไม่อาจเทียบกับพลังปราณฟ้าดินตามเส้นฮวงจุ้ยของฝ่ายตรงข้ามได้”

          หวังลู่ใช้สายส่งผ่านสัญญาณทองแดงในห้องควบคุมตอบกลับเสี่ยวชี “ข้าไม่ยอมเสียเวลาไปกับหมอนั่นแน่ เวลาของข้ามีค่ามากกว่านั้นมาก เมื่อกี้แค่รอบทดลองวิ่ง เราจะเริ่มทลายค่ายกลอย่างเป็นทางการเดี๋ยวนี้ละ”

          “ทลายค่ายกล?”

          หวังลู่กล่าว “แม้ความรู้เรื่องการตั้งค่ายกลของข้าจะมีไม่มาก แต่ในฐานะนักเรียนดีเด่นของสำนักกระบี่วิญญาณ ข้าย่อมรู้ทฤษฎีทลายค่ายกล ค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสองของเขาสามารถทลายได้ แต่ในเมื่อการทลายค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตนั้นเป็นงานช้าง เราจึงควรเล็งทลายค่ายกลหมื่นสัตว์ร้าย ค่ายกลนี้สามารถเปลี่ยนพลังปราณฟ้าดินให้กลายเป็นสัตว์ภูตโดยที่เราแยกไม่ออกว่าตัวไหนตัวจริงตัวไหนตัวปลอม ทว่าเพราะคนที่ตั้งและควบคุมค่ายกลนี้มีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ค่ายกลจึงมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด เมื่อครู่ที่ข้าใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ประมือกับคู่ต่อสู้ ข้ารู้สึกได้ว่าท่ามกลางสัตว์ร้ายมากมายนั้นมีตัวที่พิเศษอยู่ หากเราฆ่ามันได้ ก็จะเกิดความเสียหายที่กู้คืนไม่ได้กับค่ายกล เจ้าเต่าดำที่เพิ่งตายไปก็เป็นหนึ่งในนั้น”

เสี่ยวชีกล่าว “สรุปก็คือเราแค่ต้องฆ่าสัตว์ภูตพิเศษแค่บางตัว? มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”

          หวังลู่ขำ “แน่นอนสิ!”

          หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พูดต่อ “ข้าเจอตัวหนึ่งแล้ว ทิศหนึ่งนาฬิกา มุ่งหน้าไปเร็ว!”

          “ได้เลย!”

          หญิงสาวทำตามในทันใด แม้นางจะไม่เข้าใจชุดความรู้เรื่องทิศตามเข็มนาฬิกา แต่ความเข้าใจระหว่างกันของคนทั้งคู่ทำให้นางรับรู้จุดประสงค์ของหวังลู่ได้ถูกต้อง นางปรับเปลี่ยนทิศทางของเรือเหาะ และเล็งเป้าไปที่เสือดาวสายฟ้าที่อยู่กลางอากาศ

          เสือดาวสายฟ้านั้นรวดเร็วมาก เมื่อมันเห็นเรือเหาะพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง มันจึงปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาทันทีเพื่อพยายามจะหนี ทว่าเรือเหาะนั้นรวดเร็วกว่าที่มันคิดไว้มาก ภาพของเรือเหาะที่มันเห็นเป็นเพียงภาพติดตาชั่วขณะเท่านั้น ตอนที่มันพยายามจะเรียกใช้แกนภายใน มันก็พบว่าไม่สามารถเชื่อมต่อกับแกนภายในที่อยู่ตรงอกได้อีกแล้ว

          อึดใจถัดมา เสือดาวสายฟ้าก็เห็นว่าทุกส่วนที่อยู่ต่ำกว่าคอลงไปถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนกลายเป็นห่าเลือดและชิ้นเนื้อ

          ทันใดนั้นเอง เสือดาวสายฟ้านับสิบตัวที่อยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายมากมายก็ค่อยๆ สลายไปราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา

          “ระยำเอ๊ย!”

          อาเซี่ยกำหมัดแน่นจากนั้นก็รีบปรับเปลี่ยนค่ายกลอย่างลนลาน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ทำในสิ่งที่ต้องการ!

          สัตว์ภูตที่เป็นแกนหลักพยายามซ่อนตัวในฝูงสัตว์ หลบเลี่ยงการเผชิญหน้าชั่วคราว

          ทว่า…

          “สามนาฬิกา ไปเร็ว!”

          ตู้ม!

นกนักล่าตัวโปร่งใสถูกลำแสงสีเงินกวาดต้อนและชนจนกลายเป็นชิ้นๆ

          “หกนาฬิกา ตรงไป!”

          ร่างกายส่วนบนของวานรสีเทาที่ครึ่งล่างบี้เข้ากับกำแพงหินถูกอัดกระแทกโดยตรง ทิ้งไว้เพียงร่างแบนๆ บนพื้นท่ามกลางน้ำพุเลือดที่พุ่งออกมา

          “แปดนาฬิกา ตรงไปข้างหน้า!”

          ลำแสงสีเงินพุ่งตรงไปที่แม่น้ำ เจาะทะลวงไปบนร่างของปูที่ซ่อนอยู่ใต้นั้น ทันใดนั้นรังไข่ ไข่ และอวัยวะย่อยอาหารของมันก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

          “เวรเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?” ในที่สุดอาเซี่ยก็หมดความอดทน เขาขยำแผ่นค่ายกลในมือแน่น ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าฝ่ายตรงข้ามหาตัวสัตว์พิเศษเจอได้อย่างไร

          ก่อนหน้านี้เขายังหัวเราะหวังลู่กับพวกที่ใช้แต่ความรุนแรง ไม่สนใจวิธีทลายค่ายกล แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายรื้อถอนค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพเพียงใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานค่ายกลจะต้องพังอย่างแน่นอน!

          “…ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับข้าอยู่บนเรือเหาะของเจ้านั่น”

          ตอนนั้นเอง สุนัขป่าปีศาจสีแดงก่ำก็พูดเตือนความจำอาเซี่ย เขาจึงนึกถึงเจ้าสุนัขลายจุดขึ้นมาได้

          “มิน่าเล่า ข้าประมาทไปเอง…” อาเซี่ยกลับมาสุขุมดังเดิม เขารีบปรับเปลี่ยนค่ายกลอีกครั้ง อึดใจถัดมา เสียงหอนต่อเนื่องก็ดังมาจากสัตว์ร้ายขนยาวหน้าตาประหลาดซึ่งอยู่บนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ กลิ่นเหม็นรุนแรงที่ทำให้คนขาดอากาศหายใจได้ถูกปล่อยออกมาจากรูขุมขนบนร่างกายของพวกมัน กลิ่นที่ว่านี้กระจายไปทุกที่ในหุบเขาและรวมตัวกันเป็นหมอกทึบ

          “ระยำเอ๊ย นี่มันหอกอะไรเนี่ย!? เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่เลย ฮัดเช้ย!”

          เจ้าสุนัขหน้าโง่ที่อยู่บนเรือเหาะเปล่งวาจาระคายหูออกมาและเผ่นแผล็วออกมาจากห้องสังเกตการณ์

          หวังลู่ส่ายศีรษะและยิ้มทั้งที่พยายามจะกลั้นไว้ “อย่าฉี่ใส่แม่น้ำสิฟะ… ช่างเถอะ พวกนั้นคิดว่าข้าพึ่งฉวนโจ่วฮวาในการมองหาสัตว์พิเศษ ประมาทข้าเกินไปแล้ว”

พูดจบเขาก็เหยียดมือออกและวางมันลงบนจานควบคุมของเรือเหาะ ทันทีที่พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเชื่อมต่อกับเรือเหาะ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นภาพสามมิติ กระแสพลังปราณฟ้าดินที่วิ่งพล่านอยู่ในหุบเขาก็ค่อยๆ ปรากฏรูปแบบขึ้นมาต่อหน้าหวังลู่

          ด้วยการโจมตีหลายครั้งก่อนหน้านี้และความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับค่ายกล หวังลู่จึงสามารถแกะโครงสร้างพื้นฐานของค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายได้ และด้วยคุณสมบัติที่ดีงามของรากวิญญาณนภาที่สามารถหยั่งรู้พลังวิญญาณขั้นปฐมได้อย่างเฉียบคม มันก็เพียงพอให้เขาเล็งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและทลายค่ายกลต่อได้

          “ทิศเจ็ดนาฬิกา หมูป่าขี่เถาวัลย์” หวังลู่สื่อสารกับหลิวหลีผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐมเพื่อบอกทิศทางของเป้าหมาย หลิวหลีเข้าใจในทันทีและขับเรือเหาะตรงไปยังจุดนั้น

          ทว่าตอนนั้นเองเรือเหาะกลับถูกขวางเอาไว้

          สุนัขป่าปีศาจสีแดงก่ำเหาะมาตรงเบื้องหน้าของเรือเหาะซึ่งไม่มีอะไรป้องกัน

          อึดใจถัดมา ก็เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง สุนัขป่าปีศาจสีแดงลอยหงายหลังไปหลายวา ท่าทางของมันน่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแววตากลับฝงงด้วยความชั่วร้ายและยิ้มเยาะ

          มันขวางเรือเหาะได้สำเร็จ หนำซ้ำตรงมุมเรือที่ปะทะกันยังเกิดรอยแยกและกลายเป็นสีดำ

          ผิวนอกของเรือเคลื่อนเมฆาถูกเคลือบไว้ด้วยสีเงินเมฆาอย่างดี ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทาน เมื่อรวมกับการเคลื่อนที่รวดเร็ว แม้แต่เจ้าเต่าดำที่โด่งดังเรื่องพลังป้องกันก็ไม่อาจต้านทานได้ แม้สุนัขป่าปีศาจจะมีตบะขั้นสร้างแกน ทั้งยังผ่านการเจ็บปวดจนเปลี่ยนร่างได้สำเร็จ และความแข็งแกร่งของร่างกายก็เกินกว่าสัตว์ภูตในระดับเดียวกันไปมาก แต่หลังจากที่ปะทะกับเรือเหาะ มันก็รู้สึกราวกับว่าอวัยวะทั้งห้าอยู่ผิดที่ผิดทาง และวิหารหยกก็มีอาการปั่นป่วน หากถูกชนเข้าอีกครั้ง กล้ามเนื้อของมันคงจะฉีกขาดกระดูกผิดรูปเป็นแน่…ทว่ามันรู้ดีว่าเรือเหาะไม่อาจชนมันได้เป็นครั้งที่สองอีก

          ช่วงเวลาที่ปะทะกันก่อนหน้านั้น มันย้อมเลือดของตัวเองลงไปบนผิวนอกของเรือเหาะ เลือดของมันเป็นพิษและมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง แม้สีเงินที่เคลือบไว้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ความสามารถในการต้านทานการกัดกร่อนอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ในตอนนี้ด้านในของจุดที่ปะทะกันเกินการกัดกร่อนจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการพุ่งชนอย่างแรงเลย แค่เหาะด้วยความเร็วสูงก็อาจทำให้มันร่วงลงไปได้

          อย่างไรเสีย เรือเหาะนั่นก็เป็นเพียงสิ่งของไร้ชีวิต ไม่อาจสู้กับสัตว์ภูตที่ว่องไวอย่างมันได้ ทว่าในตอนนั้นเอง…

          ขณะที่สุนัขป่าปีศาจกำลังพึงพอใจในความสำเร็จ เรือเหาะกลับล่าถอยออกไป ไม่เข้ามาปะทะด้วย แต่ระหว่างที่ถอยออกไปนั้น ป้อมปืนก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากส่วนหน้าของเรือ…

          อึดใจถัดมา ป้อมปืนดังกล่าวก็ปล่อยลูกไฟห่าใหญ่ออกมาตรงหน้าสายตาที่งุนงงของสุนัขป่าปีศาจ

          มันร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าใบหน้าไหม้ไปทั้งแถบ ท่าทีหยิ่งผยองสลายไปในทันที

          ในตอนนั้นเอง เสียงของหวังลู่ก็ดังก้องอยู่ในเรือเหาะ

          “เข้าเป้าอย่างจังเลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด