กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 9.2 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (2)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 9.2 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 9 นี่คือช่วงเวลาที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์! (2)

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาต่างตกตะลึง ดวงตาของทั้งคู่เบิกโพลงขณะจ้องไปที่หวังลู่ แม้พวกเขารู้ว่าหวังลู่ไม่คิดจะฆ่าแกงกัน แต่ก็รู้ตัวว่าคงไม่แคล้วถูกจองจำอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่า… เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการร่วมงานกับพวกเขา?

“อ้อ แม้ว่าคนจากสำนักเจ็ดดาราทั้งคู่นี้จะไม่ได้มีรากฐานการบำเพ็ญเซียนที่มั่นคง แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน เพราะฉะนั้นเราก็ใช้พวกเขาต่างแรงงานได้”

“เหอะ ตามใจเจ้าเถอะ” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ใส่ใจเรื่องการบริหารจัดการของหวังลู่สักนิด

หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาเหล่านี้ ความคิดมากมายก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของทั้งตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าเปิดปากพูด เพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นโทสะของฝ่ายตรงข้ามแล้วจะถูกกุดหัวเสีย

หวังลู่หัวเราะ “ฮ่าๆ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องกลัวไป แม้ว่าข้าจะเป็นศัตรูกับสำนักเจ็ดดารา แต่หากพวกเจ้ากลับตัวกลับใจ ละทิ้งความมืดเข้าสู่แสงสว่าง ข้าก็จะปล่อยให้อดีตเป็นเพียงอดีต ในอนาคตเจ้าจะเป็นกระดูกสันหลังให้สำนักของข้า หากเจ้าทำงานได้ดี ผลประโยชน์ทุกรูปแบบที่เจ้าจะได้รับย่อมต้องดีกว่าสำนักเจ็ดดาราหลายเท่านัก”

คนทั้งคู่จึงผงกศีรษะอย่างเกร็งๆ พร้อมหัวเราะอย่างฝืนๆ รีบคำนวณข้อดีข้อเสียของเรื่องในครั้งนี้อย่างรวดเร็ว แม้ว่า ณ ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่กระจ่างชัด… ทว่าอย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ยังเป็นนักโทษอยู่ หากหวังลู่เอ่ยออกมาว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก พวกเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้น

เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งคู่ หวังลู่ก็ยิ้มบาง พลางคิดในใจว่าสมาชิกที่เพิ่งบรรจุเข้ามาใหม่นี้ดูไม่จงรักภักดีเท่าไร… ทว่ามันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

การเป็นหัวหน้า โดยเฉพาะหัวหน้าคณะทำงาน สิ่งสำคัญที่สุดคือสร้างคณะทำงานที่ดี และวิธีที่จะสร้างคณะทำงานที่ดีนั้น…

เย็นวันนั้นเอง เมื่อพวกเขาเตรียมตัวออกจากจวนรับรองของผู้พิพากษาอำเภอ หวังลู่ก็เรียกตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวามาพบตามลำพัง และได้พูดจากับพวกเขาทีละคนเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ

เขาเอ่ยถึงผลประโยชน์สามข้อกับตาแก่ลามก ซึ่งส่งอิทธิพลต่อจิตใจของชายแก่ในทันทีและเปลี่ยนเขาให้เป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดี

“ข้อแรก แม้ขั้นตบะของข้าจะยังไม่สูงนัก แต่เจ้าจะเทียบปูมหลังของข้ากับเจ้าไม่ได้ แม้ข้าเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญเซียนได้แค่สองปี แต่ความรู้ที่ข้าได้จากหนึ่งในห้าสำนักวิเศษย่อมต้องเหนือกว่าความพยายามนับร้อยปีของเจ้าอยู่แล้ว”

ตาแก่ลามกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเศร้า “แน่นอนอยู่แล้ว… ข้าบำเพ็ญเซียนมานับร้อยปีก็จริง แต่วิธีสร้างแกนแห่งการบำเพ็ญเซียนของข้าเป็นเพียงการปะติดปะต่อวิชาต่างๆ จากสำนักเจ็ดดาราเท่านั้น ข้าไม่ค่อยได้เห็นวิชาระดับกลางสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ทว่าสำหรับศิษย์จากสำนักชั้นนำแล้วนั้น การได้เรียนรู้ผ่านวิชาระดับสูงย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้น…”

“อย่าได้อิจฉาวิชาบำเพ็ญเซียนของสำนักระดับสูงเลย เพราะต่อให้เจ้าได้เรียนมัน ดูตามสติปัญญาและรากวิญญาณพันธุ์ทางของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางฝึกสำเร็จหรอก… ต่อให้เป็นวิชาระดับต่ำก็เถอะ บางวิชาก็อาจจะเหมาะกับเจ้า แต่บางวิชาก็ไม่ ความจริงแล้วเจ้าเคยเป็นศิษย์ในสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นรากวิญญาณและวิชาบำเพ็ญเซียนของเจ้าก็คงจะเข้ากันได้ดี ซึ่งก็ไม่ถือว่าแย่ ทว่าหลังจากที่เจ้าถูกขับออกจากสำนัก เจ้ากลับไม่เจอวิชาบำเพ็ญเซียนที่เหมาะสมที่จะทำให้ตบะขั้นสร้างฐานของเจ้าพัฒนาต่อ ดังนั้นเจ้าจึงด้นสดเองด้วยการใช้วิชาของสำนักเจ็ดดารา ความสอดประสานกันจึงดิ่งลงเหว เส้นทางเบื้องหน้าของเจ้าจึงเต็มไปด้วยขวากหนาม จนเจ้าถึงกับต้องละทิ้งรากฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม ข้าพูดถูกไหม”

ตาแก่ลามกถึงกับนิ่งเงียบ

“ทว่าข้าพอจะรู้วิชาบำเพ็ญเซียนสำหรับรากวิญญาณพันธุ์ทางอยู่บ้าง ข้าไม่อาจรับปากได้ว่าหากเจ้าฝึกวิชานี้แล้วขั้นเซียนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยสักเท่าไหร่ แต่ที่สุดแล้ว มันก็ดีกว่าค้างเติ่งแบบลูกผีลูกคนอย่างเจ้าในตอนนี้ ตราบที่เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ข้าจะสอนวิชาที่ว่าให้เจ้าแน่นอน”

ตาแก่ลามกตื่นเต้นขึ้นในทันใด

“ประการที่สอง ในสำนักเจ็ดดารา เจ้าเป็นเพียงผู้อาวุโสหกดาวที่ไร้ตัวตน อำนาจในมือก็มีจำกัด ทว่าในตอนนี้ข้าต้องการคนที่จะมาบริหารจัดการสำนัก ดังนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นรองผู้จัดการศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา หรือก็คือรองเจ้าสำนักภูมิปัญญานั่นเอง”

“โอ้ ตำแหน่งนี้สูงส่งเกินไป ข้ารับไม่ได้หรอก”

“ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรเลยสักนิด สำหรับสำนักที่ตั้งใหม่นั้นย่อมต้องมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องจัดการมากมาย เจ้าและฮูหยินของเจ้ามีประสบการณ์ที่จำเป็นในการจัดการสิ่งเหล่านี้ หากข้าต้องพึ่งพาเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้ความนั่น ที่แม้แต่โรงเตี๊ยมของตัวเองยังดูแลไม่เป็น รวมถึงเจ้าหมูตอนตุ๊ต๊ะนั่นด้วย สำนักนี้คงไม่ต้องผุดต้องเกิดกันแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังลู่ที่กล่าวถึงเถ้าแก่เนี้ย ตาแก่ลามกก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขาไม่กล้าตอบสนองใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

“อีกอย่างพวกเราจะไม่อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล เรามาที่นี่เพราะภารกิจเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ดังนั้นสำนักนี้ ถ้าจะพูดให้ชัดเจน… ฮ่า ก็ไม่แปลกอะไรที่จะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นรองเจ้าสำนัก”

แม้เขาจะยังรู้สึกแปลกๆ กับแนวความคิดของสิ่งที่เรียกว่ารองผู้จัดการหรือรองเจ้าสำนัก แต่เขารับรู้ได้ถึงความหมายของสิ่งนี้ได้รางๆ และนั่นทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว

“ข้อที่สาม สำนักเจ็ดดาราของเจ้า สำนักเล็กๆ ชั้นต่ำพรรค์นั้น อย่างมากที่สุดก็ก่อเรื่องได้ตามที่ที่ไกลปืนเที่ยงเท่านั้น หากเป็นที่ที่มีฮวงจุ้ยดี อย่างเมืองที่มั่งคั่งหลายเมืองในประเทศต้าหมิง หรือแม้แต่ในเมืองหลวง สำนักของพวกเจ้ากล้าแทรกซึมเข้าไปหรือเปล่า และหากสำนักของพวกเจ้ากล้าที่จะแทรกซึมเข้าไป หากเจ้าโผล่หน้าเข้าไป แน่นอนว่าย่อมมีสำนักจากพันธมิตรหมื่นเซียนโผล่มาจัดการเจ้าแน่! ทว่าสำนักต้นกำเนิดของข้าคือสำนักกระบี่วิญญาณ จะมีสำนักดาดๆ หน้าไหนกล้าต่อกรกับข้าไหม อย่างน้อยในแคว้นธาราคราม สำนักกระบี่วิญญาณก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”

“เดี๋ยวก่อน ท่านผู้จัดการ แล้วสำนักกระบี่วิญญาณ…ยอมให้ท่านใช้ชื่อของพวกเขาหรือ”

“เหลวไหล แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอม หากผู้อาวุโสฝ่ายวินัยรู้เข้าล่ะก็ ทัณฑ์สวรรค์จะต้องฟาดลงมากลางกบาลแน่ ข้าน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าต้องสลายกลายเป็นควันแน่นอน!”

“หา!? ไม่นะ!”

“ดังนั้นเราจึงใช้ไพ่ไม้ตายนี้อย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เราต้องทำตัวเงียบๆ เข้าไว้ สำนักกระบี่วิญญาณเป็นเพียงไพ่ที่อยู่ในมือเราเท่านั้น แต่มีไพ่หรือไม่มีไพ่ ความมั่นใจในการปฏิบัติภารกิจของเจ้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงไหม หมู่บ้านตระกูลหวังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น อำเภออู่โหวเป็นเพียงจุดกระโดดที่ไม่สลักสำคัญอะไร และแม้แต่เมืองหลวงของจังหวัดก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของเรา เจ้าต้องเปิดมุมมองของตัวเองให้กว้าง ในแคว้นธาราครามนั้น ประเทศที่แข็งแกร่งกว่าและร่ำรวยกว่าประเทศต้าหมิงยังมีอยู่อีกมากมาย!”

หลังจากได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ ตาแก่ลามกไม่เพียงตื่นเต้น แต่เลือดในกายเขายังเดือดพล่านอีกด้วย

เขาไม่ได้รู้สึกฮึกเหิมที่จะก้าวตามความฝันเช่นนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาถูกขับออกจากสำนักเดิม ต้องเร่ร่อนอย่างอนาถาอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้น ตาแก่ลามกก็ทำเพียงเอาตัวรอดไปวันๆ โดยไร้ซึ่งความทะเยอทะยานใดๆ ทว่าวันนี้ หลังจากได้ฟังคำพูดปลุกใจของหวังลู่ เขาก็รู้สึกว่าจู่ๆ ก็ค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต

ไม่ใช่แค่แค่คู่บำเพ็ญเซียนของเขา ผู้มีหน้าอกหน้าใจมโหฬารรวมทั้งใบหน้าทรงเสน่ห์ ทั้งยังเต็มไปด้วยท่วงท่าที่เย้ายวน… ยังมีหญิงชั้นสูงอีกมากมายที่คู่ควรจะมาเป็นคู่บำเพ็ญเซียนของเขา! ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำไร้ตัวตนในโลกบำเพ็ญเซียน หากใช้ศัพท์ของท่านผู้จัดการ เขาก็คือสวะดีๆ นี่เอง ทว่าจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป! หากในอนาคตเขาประสบความสำเร็จ ฮ่า ไม่แน่ว่าผู้บำเพ็ญเซียนสาวสวยทรงเสน่ห์มากมายอาจเรียงแถวกันมารอให้เขาร่วมประเวณีด้วยก็เป็นได้!

หวังลู่ใช้ข้อได้เปรียบสามประการนี้ทำให้ตาแก่ลามกเหออวิ๋นประทับใจ จากนั้นเขาก็ใช้ทฤษฎีเดียวกันเพื่อปลุกเร้าอู้เฟยฮวา คู่บำเพ็ญเซียนของตาแก่ลามกด้วยเช่นกัน ในที่สุดอู้เฟยฮวาก็คิดได้ว่าหากนางเดินตามแนวทางของท่านผู้จัดการและทำงานได้ดี เมื่อเขาประสบความสำเร็จ ฮ่าๆ เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่หล่อเหลาย่อมเป็นของนางแน่นอน! ฮ่าๆๆ!

จะว่าไปสำหรับนาง ท่านผู้จัดการก็ไม่ได้แย่อะไร เขายังหนุ่มแน่น อยู่ในช่วงวัยรุ่นเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยผู้ใหญ่ หน้าตาก็หล่อเหลา นิสัยใจคอก็ดูเข้าที ตอนที่ไม่เปิดปากพูดอะไรน่ะนะ สิ่งสำคัญที่สุดคือเขามีอนาคตที่สดใส ยิ่งกว่านั้นคือในกายเขามีแก่น ‘หยาง’ อยู่!

โชคร้ายที่มียายผู้หญิงไม้กระดานดุร้ายขวางทางอยู่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาของนางที่จะได้ลิ้มลองเนื้อชิ้นนี้ก็เป็นได้

ช่างประไรเล่า ตอนนี้อู้เฟยฮวาพึงพอใจอย่างยิ่งยวดกับอนาคตที่รอนางอยู่แล้ว!

แล้วสำนักศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นก็ตั้งขึ้นมาง่ายๆ เช่นนี้เอง

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด