กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 17 ผลประโยชน์เต็มขั้นของแรงงานราคาถูก

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 17 ผลประโยชน์เต็มขั้นของแรงงานราคาถูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 17 ผลประโยชน์เต็มขั้นของแรงงานราคาถูก

ทันทีที่เสียงของหวังลู่เงียบลง ผู้ฟังต่างพากันยังประหลาดใจกับพูดของเขา แล้วก็เกิดความเงียบขึ้นเป็นเวลานาน

หวังลู่ยิ้ม กวาดสายตาไปทั่วแล้วก็พบกับสายตาที่ว่างเปล่าของผู้คนนับร้อย

สิ่งที่หวังลู่พูดออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่บนสวรรค์ รวมทั้งกฎที่มนุษย์ปุถุชนจะกลายเป็นเซียนได้ ล้วนแตกต่างจากที่ชาวบ้านคาดหวังไว้มหาศาล แต่เมื่อเทียบกับถ้อยคำจูงใจสั่วๆ ที่ว่าใครก็สามารถเป็นเซียนได้ของสำนักเจ็ดดาราแล้ว การพรรณนาของหวังลู่นั้นย่อมน่าเชื่อถือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าลึกๆ แล้วพวกเขาอยากจะเชื่อคำโน้มน้าวที่ว่าตราบใดที่กินยาลูกกลอนก็สามารถเป็นเซียนได้ทีละนิดอย่างน่าอัศจรรย์ก็ตาม ทว่า…

ผู้เบิกทางนับล้าน เส้นทางการเคลื่อนสู่สวรรค์ คำชักจูงดังกล่าวสามารถทำให้เลือดในกายเดือดพล่านได้จริงๆ ทว่าหลังจากตื่นเต้นกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ นั่นคือพวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะเป็น…ผู้เบิกทางหรือ แม้พวกเขาจะอุตสาหะกันตลอดปีตลอดชาติ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะจบชีวิตลงด้วยการเป็นกองกระดูกเสียมากกว่า

บางคนก็อดขุ่นเคืองใจมิได้ ไฉนโลกแห่งเซียนจึงเป็นอย่างที่สำนักภูมิปัญญาบรรยายไว้

ไฉนจึงไม่เป็นตามที่สำนักเจ็ดดาราเคยกล่าวไว้กันเล่า…

ขณะที่ชาวบ้านกำลังสับสนอยู่กับการทำความเข้าใจเรื่องราวของสวรรค์ หวังลู่ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง

“พวกเจ้าไม่อยากเป็นผู้เบิกทางหรอกหรือ”

หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เราอยากเป็น แน่นอนว่าเราอยากเป็น แต่…”

“เมื่ออยากเป็น เหตุใดจึงต้องคิดให้มากความ พวกเจ้าแคลงใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองต้อยต่ำ คิดว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้เบิกทางหรือ”

หวังฉี่เหนียนและชาวบ้านอีกหลายคนมองหน้ากัน จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าก็ยิ้มขื่นพลางตอบว่า “ท่านเจ้าสำนัก ท่านเป็นคนจากโลกเซียน ดังนั้นท่านอาจไม่เข้าใจความทุกข์ยากของเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชน ไหวพริบเราไม่เฉียบแหลม สติปัญญาก็ไม่เฉียบคม หากหวังพึ่งแค่ตัวเองเพื่อบำเพ็ญเซียน ข้าเกรงว่าเราคงมิอาจไปถึงจุดที่จะขึ้นสวรรค์ได้”

หวังลู่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าจะไม่บำเพ็ญเซียน?”

หวังฉี่เหนียนงุนงง ในเมื่อพวกเขามิอาจพบความสำเร็จได้ แล้วจะบำเพ็ญเซียนเพื่อประโยชน์อันใด

“จริงอยู่ที่ข้าเกิดเป็นเซียน จึงมิอาจเข้าใจความทุกข์ยากของมนุษย์ทั่วไป ทว่าข้ารู้ว่าหลายต่อหลายปีในอดีตในอาณาจักรเก้าแคว้น มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่บำเพ็ญเซียนเพื่อเป็นผู้เบิกทาง ไม่ใช่ทุกคนที่ปราดเปรื่อง ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาพร้อมชะตาแห่งเซียน และท้ายที่สุดก็มีไม่กี่คนที่ไปถึงปลายทางที่ตั้งใจ… แต่เหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ยังคงบำเพ็ญเซียนกันเล่า”

ขณะพูด หวังลู่ก็ชี้ไปยังตาแก่ลามกเหออวิ๋น “ชายผู้นี้ก็มาจากโลกมนุษย์ เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน มิอาจเรียกได้ว่าเป็นเซียน ว่าแต่พวกเจ้าไม่อยากแลกที่กับเขาหรือ”

“แลกที่กับเขา?”

“ถูกต้อง แลกการบำเพ็ญเซียนทั้งหมดที่เขามี”

หวังฉี่เหนียนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ดีดตัวขึ้นราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “แน่นอนว่าเราต้องการแลก! แม้เขาจะไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่วิชาเซียนช่างลึกลับและลึกซึ้ง ร่างแก่ๆ ของข้านี้จะเทียบได้อย่างไร”

หวังลู่ยิ้ม “ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าอยากบำเพ็ญเซียนหรือไม่”

“บำเพ็ญเซียน แน่นอนข้าอยากบำเพ็ญเซียน! แต่…”

ครั้งนี้ตาแก่ลามกขัดขึ้น “ถูกแล้ว ถ้าว่ากันตามไหวพริบและสติปัญญา เจ้าก็ถือว่าเป็นแค่คนธรรมดา ทว่าเมื่อพูดถึงการบำเพ็ญเซียน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโอกาส ทว่าในโลกมนุษย์นั้น โอกาสใดจะดีไปกว่าการได้เป็นที่โปรดปรานของเทพเซียนกันเล่า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้พวกเขาจะโง่เง่าเพียงใด ก็ยังสามารถเข้าใจความหมายโดยนัยที่ซ่อนอยู่ ชาวบ้านทั้งหลายจึงปลาบปลื้มอย่างเหลือล้น

“เช่นนั้นข้าขอถามท่านเจ้าสำนักว่าเราจะบำเพ็ญเซียนได้อย่างไร”

หวังลู่ส่ายศีรษะ ไม่ยอมพูดอะไร

หวังฉี่เหนียนสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านเทพเซียนจึงจบการเทศน์เพียงเท่านี้

ตาแก่ลามกกระแอมขึ้นจากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าท่านเจ้าสำนักไม่ต้องการบอก แต่การบำเพ็ญเซียนเป็นความลับของสำนักที่มิอาจแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ได้ง่ายๆ ท่านเจ้าสำนักที่เป็นเซียนอาจไม่ถือสา แต่คนอื่นๆ อาจคัดค้าน และในเมื่อเจ้าสำนักใส่ใจความรู้สึกของผู้ใต้ปกครอง…”

พอได้ยิน หวังฉี่เหนียนก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที เขารีบหมอบกราบ “รับเราเข้าสำนักด้วยเถิดท่านเจ้าสำนัก! ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านตระกูลหวังต้องการเข้าสำนักภูมิปัญญาของท่านและรับใช้ท่านอย่างซื่อสัตย์!”

ตาแก่ลามกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “นี่ ท่านผู้เฒ่า… ทำอะไรน่ะ เหตุใดจึงขอเข้าสำนักภูมิปัญญากันง่ายๆ เช่นนี้”

ครั้งนี้หวังลู่จึงพูดขึ้นมาบ้าง “คนพวกนี้ซื่อสัตย์จริงใจ จะกีดกันพวกเขาคงไม่สมควร เราสามารถตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ก็เพราะได้รับโอกาส ดังนั้นนอกจากการเทศน์ในวันนี้แล้ว พวกเขายังได้รับโอกาสจากเราด้วย จงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามของสำนักเราและดูแลให้ดี… พรุ่งนี้ให้เจ้าอธิบายการบำเพ็ญเซียนให้พวกเขาฟัง ข้าเกิดเป็นเซียน ดังนั้นวิธีบำเพ็ญเพื่อให้ได้เป็นเซียนของมนุษย์โลกนั้น ข้าไม่คุ้นเคยเท่าเจ้า”

เหออวิ๋นคำนับ “ข้าน้อมรับคำสั่ง”

หวังลู่ยิ้ม ดวงตาจับจ้องไปที่เหล่าชาวบ้านอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “พวกเจ้าอาจจะล้มเหลวที่จะทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ แต่ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจว่าความอุตสาหะของพวกเจ้าแต่ละคนนั้นไม่ได้สูญเปล่า ถนนสู่โลกแห่งเซียนนั้นปูด้วยก้อนอิฐจำนวนนับไม่ถ้วน หลายก้อนพวกเจ้าเป็นคนปูลงไปด้วยตัวเอง ซึ่งจะนับเป็นเกียรติแก่ตัวไปชั่วกัปชั่วกัลป์”

——

หลังจากที่การเทศน์จบลงพักใหญ่ พวกชาวบ้านจึงค่อยๆ แยกย้ายกันไป แม้ยังมีข้อสับสนอยู่ในใจมากมาย แต่หลายคนก็มิอาจปกปิดความตื่นเต้น จิตใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยความสุขมิต่างจากดอกไม้บาน

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้นำของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาก็กำลังฉลองกันอย่างสุขสันต์ การเทศน์ที่เพิ่งจบไปได้ผลตามที่คาดหวังไว้ แม้จะเป็นคนที่กังขาที่สุด แต่ธิดาเทพเองก็อดเอ่ยปากชมไม่ได้

“ฮ่าๆ คนนับล้าน… เป็นทฤษฎีที่สุดยอดไปเลย! เป็นการเทศน์ที่ไร้ช่องโหว่! นี่เจ้าคิดทฤษฎีปัญญาอ่อนพรรค์นี้ได้อย่างไรกันเนี่ย”

ท่านผู้จัดการโบกไม้โบกมืออย่างถ่อมตน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร อย่าเสียเวลาพูดถึงเลย”

ธิดาเทพยังคงตราตรึงกับการแสดงที่ผ่านมา นางกล่าวอย่างตื่นเต้น “หนำซ้ำสองสามประโยคสุดท้ายวิเศษเข้าไปใหญ่ ที่บอกว่าพวกชาวบ้านควรใช้เวลาในชีวิตทำเยี่ยงนั้น.. สุดจะจินตนาการได้จริงๆ คำพูดพวกนั้นมาจากปากของศิษย์ของยอดเขาไร้ลักษณ์ หวังลู่จอมเลวทรามที่เลื่องลือในเรื่องทำตัวเลวร้ายจริงๆ น่ะหรือ!”

“ระยำ! ข้ามันแค่คนยากไร้แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ที่ต้องวิ่งลงไปหาของกินที่โรงเตี๊ยมของท่านเกือบทุกวัน ข้าจะเอาเวลาที่ไหนมาทำตัวเลวทรามชั่วร้ายกัน”

“พูดสั้นๆ ก็คือ สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ช่างเปิดโลกนัก ให้ความรู้สึกเดียวกับครั้งที่ข้ายืนดูเจ้าแสดงจำอวดตอนชุมนุมคัดเลือกเซียนไม่ผิด!”

“ไม่เอาน่า อย่าพูดถึงอดีตไร้สาระนั่นเลย…”

หลังจากเย้าแหย่อีกฝ่ายจบแล้ว ในที่สุดธิดาเทพก็พูดเข้าจุดสำคัญ “เริ่มต้นได้ดี ว่าแต่จะทำอะไรต่อไป”

หวังลู่กล่าว “ทำอะไรต่อ แน่นอนว่าเราก็จะเริ่มเก็บภาษีสติปัญญาไงล่ะ”

“เราจะเก็บอย่างไร หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ของสำนักเจ็ดดารามาแล้ว ข้าว่าการจะขายรากวิญญาณที่ทำเองในราคาสูงลิ่วคงไม่ได้ผลแล้ว”

หวังลู่หัวเราะ “เพราะเหตุนี้เราจึงควรทำสิ่งที่เป็นไปได้ เรื่องโอสถหกประสานและของอื่นๆ เราจะไม่ขายในราคาสูง หากจำเป็น เราอาจต้องขายขาดทุน หากจะเก็บภาษีเราต้องใช้วิธีอื่น”

“แล้ววิธีอื่นที่ว่าคือ?”

“ตัวอย่างเช่น หอพันวิญญาณหรือสวนบุปผาดาดาษ”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์สะดุ้ง “เจ้าอยากให้พวกเขาใช้แรงงานงั้นหรือ”

“ถูกต้อง เหมือนอย่างจักรพรรดิของโลกมนุษย์ที่หาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการให้พวกชาวบ้านจ่ายภาษีและใช้แรงงาน ในอนาคตเราจะใช้ประโยชน์จากความนิยมของโอสถหกประสานและวัตถุอื่นๆ แม้พวกโง่เง่านี้ไม่อาจบำเพ็ญเซียนขั้นลึกได้ แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกเซียน และช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างพื้นฐานให้เรา พวกเขาจะเป็นคนวางรากฐานฐานที่มั่นหลักของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา”

เสี่ยวหลิงเอ๋อร์กลอกตาจากนั้นก็ยิ้มออกมา “จริงสิ อย่างที่เจ้าพูดเอาไว้… อะไรที่มันดูหรูหราสักนิด?”

“ถูกต้อง ข้าต้องการเช่นนั้น แบบนี้ไม่เพียงเราที่ได้ประโยชน์โดยตรง พวกชาวบ้านที่โง่เขลาเองก็ได้ประโยชน์ด้วย ระหว่างการก่อสร้าง พวกเขาก็จะได้ฝึกฝนการบำเพ็ญเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อตอนที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว พวกเขาย่อมได้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนั้นด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวโดยแท้! อย่างที่คนโบราณพูดไว้ ก่อนฆ่าหมูก็ต้องขุนหมูเสียก่อน นี่คือวิธีทำงานของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา โดยการให้พละกำลังแก่พวกชาวบ้าน ยิ่งแข็งแกร่งมาก หมูก็ยิ่งตัวใหญ่ขึ้น และยิ่งหมูอ้วนขึ้นเท่าไร เราย่อมเก็บภาษีได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับวิธีของสำนักเจ็ดดาราที่บังคับให้ชาวบ้านกรีดเลือดขายไตเสียเงินเพื่อให้ได้บำเพ็ญเซียน แบบนั้นถือว่าเป็นการฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำแท้ๆ”

คำพูดนี้ทำให้ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาไม่สบายใจนัก แม้ตอนนี้พวกเขาจะละทิ้งความมืดมุ่งสู่แสงสว่าง แต่เมื่อได้ยินคำวิจารณ์สำนักเจ็ดดาราจากปากหวังลู่ ก็อดรู้สึกละอายแก่ใจไม่ได้

“งั้นคำถามต่อไป เราจะไปหาโอสถหกประสานมาจากไหนตั้งมากตั้งมาย”

หวังลู่กล่าว “ของพวกนั้นวางเน่าอยู่ข้างถนนตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่ว่าเป็นโอสถชั้นสูงเสียเมื่อไร ตราบที่เรามีเงิน ย่อมซื้อได้แน่นอน”

“แล้วเจ้ามีเงินหรือ”

“แล้วท่านคิดว่าข้าสร้างแท่นบูชาปฐมกลียุคนั่นขึ้นมาทำไม”

ความจริงแล้ว หากต้องการซื้อโอสถหกประสาน ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นศิลาวิญญาณ เงินของโลกแห่งเซียนก็ย่อมได้ ตอนนี้โอสถชนิดนี้แพร่หลายมากในอาณาจักรเก้าแคว้น ไม่ถือว่าเป็นโอสถผูกขาดของสำนักเซิ่งจิงอีกต่อไป เดี๋ยวนี้แม้แต่สำนักเล็กๆ ยังสามารถผลิตโอสถชนิดนี้ขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นราคาจึงต่ำลงจนสามารถซื้อขายได้ด้วยเงินของโลกมนุษย์ นี่คือการหาประโยชน์ใส่ตัวของสำนักที่ฉ้อฉล มิเช่นนั้นหากซื้อขายกันด้วยศิลาวิญญาณเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่ส่งผลดีกับพวกเขานัก

ทว่าหากต้องการซื้อในปริมาณมาก การจ่ายด้วยศิลาวิญญาณหรือวัตถุอย่างอื่นย่อมดีกว่า เช่นนี้แล้วการครอบครองแท่นบูชาปฐมกลียุคก็เหมือนครอบครองขุมสมบัติที่ไม่มีวันหมด สำหรับสำนักระดับล่าง การได้ครอบครองแท่นบูชาที่ทำงานได้เต็มกำลังก็เหมือนนั่งอยู่บนสายแร่ศิลาวิญญาณ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินงานของสำนัก

“ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ไอ้ลูกกลมๆ ที่เจ้าสร้างขึ้นมาวันนี้มันคืออะไรกันแน่ ข้าไม่เคยเห็นแท่นบูชาเช่นนี้มาก่อนเลย”

“ฮ่าๆ อย่างที่ข้าบอก คุณสมบัติของแท่นบูชาปฐมกลียุคก็คือ…”

หลังจากที่หวังลู่อธิบายคุณสมบัติของแท่นบูชาปฐมกลียุคอย่างช้าๆ หลายคนที่อยู่ในห้องก็อดตกตะลึงไม่ได้ แค่เป็นแท่นบูชาชนิดงอกเงย และมีกระแสความหนาแน่นอยู่ในระดับหกถึงเจ็ดก็ทำให้ตะลึงพอแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือมันสามารถพ่นยาอายุวัฒนะระดับห้าออกมาได้ด้วย… วัตถุชนิดนี้ขัดต่อเจตจำนงของสวรรค์ แม้แต่แท่นบูชาระดับสูงยังไม่อาจทำเช่นนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครคาดคิดว่าแท่นบูชาจะสามารถพ่นยาอายุวัฒนะระดับห้าออกมาด้วยการดูดซับเพียงพลังปราณฟ้าดินเข้าไป อัตราการเปลี่ยนรูปของแท่นบูชานี้ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก

“จุ๊ๆ สมกับที่เจ้าบอกว่า ‘ได้ทองเป็นถังทุกวันจริงๆ’ หวังลู่เจ้าได้นับไหม หากเจ้าไม่ใช้ศิลาวิญญาณเป็นเชื้อเพลิงให้แท่นบูชา ใช้แต่กระแสพลังปราณอย่างเดียว ต้องใช้เวลานานแค่ไหนมันถึงจะพ่นของออกมา”

หวังลู่กล่าว “โดยทั่วไปวันหนึ่งมันน่าจะพ่นของออกมาสิบเอ็ดครั้ง”

ตาแก่ลามกตะลึงจากนั้นก็โพล่งออกมา “สิบเอ็ดครั้งต่อวัน แปลว่าปีหนึ่ง แท่นบูชานี้ก็ให้ศิลาวิญญาณกับเราได้นับแสนเลยสิ เท่ากับรายได้ที่ได้จากเมืองหลวงจังหวัดเลยทีเดียว ไม่สิ มากกว่าด้วยซ้ำ!”

ก่อนหน้านี้ สำนักเจ็ดดาราเคยครอบครองเมืองหลวงจังหวัดและครั้งหนึ่งเคยมีรายได้หลายแสนศิลาวิญญาณต่อปี ทว่าโชคลาภดังกล่าวไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก ต้องรวบรวมเงินจากการฉ้อฉลนานหลายปีกว่าจะมีเงินเท่านั้นได้

เมื่อได้ยินตาแก่ลามกทั้งคร่ำครวญทั้งตื่นเต้น หวังลู่ก็รู้สึกสนุกไม่น้อย “เป็นเพราะโชคของข้าล้วนๆ ที่การเขย่าแค่ครั้งเดียวก็ได้ของมาสิบเอ็ดอย่าง ซ้ำยังมียาอายุวัฒนะระดับห้าอีกด้วย เจ้าคิดว่าการพ่นของสิบเอ็ดอย่างครั้งใหม่จะได้ของมูลค่าเท่าเดิมงั้นหรือ หากคิดเช่นนั้น ทำไมไม่ลองดูสักครั้งหลังจากเทศน์เสร็จพรุ่งนี้เล่า หากมันไม่พ่นเอาของที่มีมูลค่าเท่ากับยาอายุวัฒนะระดับห้า เจ้าก็ต้องจ่ายส่วนต่างตามมูลค่าของมันให้ข้า!”

ตาแก่ลามกกล่าวตอบ “หากข้ามีโชคเหมือนท่าน ข้าจะยากจนมาจนถึงตอนนี้หรือ” จากนั้นเขาก็คำนับขอโทษในทันที

“หึ พูดสั้นๆ คือเรามีเงิน เรามีกำลังคน เช่นนั้นขั้นต่อไปก็คือ…”

รอยยิ้มของเจ้าสำนักหวังลู่เย็นเยียบในทันใด “ใครบางคนน่าจะมาเคาะประตูสำนักของเราน่ะสิ”

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด