กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 15 การดิ้นรนของสุนัขจอมทึ่ม

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 15 การดิ้นรนของสุนัขจอมทึ่ม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พูดตามตรง หวังอู่ไม่รู้สักนิดว่าสิ่งที่เรียกว่าสุนัขป่าโลกันตร์คืออะไร

ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้นางไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะอย่างน้อยนางก็รู้ว่าหญิงสาวจากทวีปตะวันตกตรงหน้าไม่ใช่หญิงบ้านนอกคอกนาที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ตรงกันข้ามหญิงสาวคนนี้ต้องได้พบเจอเรื่องราวอะไรมากมายในชีวิตมาแล้วแน่ๆ อาจจะมากกว่าผู้ทรงอำนาจส่วนใหญ่ในอาณาจักรเก้าแคว้นได้เห็นด้วยซ้ำ ดังนั้นสำหรับนาง การตกตะลึงกับบางเรื่องที่ชวนตะลึงและเป็นตำนาน แปลได้เพียงอย่างเดียวว่าพละกำลังที่แท้จริงของเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่ต้องล้นฟ้าอย่างแน่นอน

“น้องหญิง เจ้าเล่าเรื่องเฟนรีร์นี่ให้ข้าฟังได้ไหม”

อาย่าพยักหน้า “ได้สิ ทางเหนือของทวีปตะวันตก มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเฟนรีร์มากมาย ข้าเล่าให้ท่านฟังได้หลายเรื่องเลย… เสียดายที่ข้าไม่เคยเห็นมันกับตาตัวเอง แต่ตอนที่กำลังทำสงคราม ข้าเคยได้เห็นกระดูกของเฟนรีร์ที่ถูกเกลาจนกลายเป็นอาวุธวิเศษ ดังนั้นข้าจึงแยกแยะกลิ่นเฉพาะตัวของมันได้

“นี่ ในเมื่อมันเป็นสุนัขป่าโลกันตร์ในตำนาน แต่เจ้าก็สามารถแยกแยะความแตกต่างของมันได้ทั้งที่ไม่เคยเห็นกับตาน่ะหรือ”

อาย่าไม่ได้พยายามอธิบาย นางทำเพียงแค่นยิ้มออกมา ทว่าร่างเล็กๆ ของนางกลับปล่อยพลังรุนแรงที่ทรงพลังเสียจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ออกมา

“ช่างเถอะ เอาตามเจ้าพูดนั้นแหละ… เช่นนั้นตามประสบการณ์ของเจ้า เจ้าว่าเจ้าสุนัขป่าปีศาจเฟนรีร์นี่จะมีราคาสักเท่าไร”

อาย่าทำสีหน้างงงวย “ราคา? ราคาอะไร”

หวังอู่อธิบายเพิ่ม “ราคาที่จะแลกเป็นศิลาวิญญาณไงเล่า ข้าหมายถึงว่าหากเราขายเฟนรีร์โตเต็มไว เราจะได้สักกี่ศิลาวิญญาณกัน”

อาย่าผงะตกใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ นางก็ถามกลับอย่างกังขา “ศิลาวิญญาณ? ท่านคิดใช้ศิลาวิญญาณวัดมูลค่าของเฟนรีร์งั้นหรือ ล้อเล่นหรือเปล่า สัตว์ประหลาดในตำนานที่สามารถถล่มเมืองล่มประเทศได้จะซื้อหาด้วยศิลาวิญญาณได้อย่างไร”

ความตื่นเต้นของหวังลู่เพิ่มขึ้นจนทะลุหลังคา “เช่นนั้นมันก็เป็นขุมสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้น่ะสิ”

“แม้ข้าจะไม่เคยเห็นเฟนรีร์ตัวเต็มวัย แต่ไม่แน่ว่ามันอาจจะทรงพลังกว่าสัตว์ประหลาดในตำนานของอาณาจักรเก้าแคว้นก็ได้ เพียงแต่เท่าที่ข้ารู้ เฟนรีร์เด็กนั้นใช้เวลานานมากกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่ามันก็มีความสามารถและทักษะไม่น้อย หนำซ้ำจะว่าไปมันไม่มีผู้ล่าตามธรรมชาติ ดังนั้น…”

หวังอู่ขัดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ไม่ต้องพูดแล้ว สั้นๆ ก็คือมันเทียบเท่ากับสัตว์ประหลาดในตำนานใช่ไหม”

ขณะพูด หวังลู่ก็เดินไปเดินมาทั่วทั้งครัวด้วยฝีเท้าที่เบาและรวดเร็วราวกับเป็นนกที่กำลังติดสัด

“เจ้าเด็กหวังลู่นั่นคู่ควรกับการเป็นผู้ถูกเลือกจริงๆ เดินทางไปภูเขาฝั่งตะวันตกก็ไปเก็บสัตว์ในตำนานมาเสียได้ โชคเช่นนี้ ข้าเกรงว่าจะสงวนให้ให้กับท่านเซียนฉินและท่านบรรพบุรุษเต้อเฉิง… ก๊วนนรกที่ครอบครองรากวิญญาณนภาเท่านั้น” ขณะพูด ดวงตากลมดั่งผลท้อของนางก็สว่างวาบไปด้วยความโกรธของ ‘มวลประชาผู้ยากจนที่มีต่อผู้ที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกสิ่ง”

“แต่ยังไงซะ แม้แต่ข้าเองยังไม่รู้จักเฟนรีร์ หวังลู่เองก็ยิ่งไม่น่าจะรู้เข้าไปใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้น…”

อาย่าถามอย่างสงสัย “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไม”

หวังอู่ประกาศอย่างขุ่นเคือง “ข้าทนเห็นไก่ได้พลอยไม่ได้จริงๆ อาย่า เจ้าจะเลือกอาหารต่อก็ได้ แต่อย่าคิดเยอะให้เปลืองสมอง ไม่จำเป็นต้องให้เลิศหรูอลังการนักหรอก ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการที่ยอดเขาไร้ลักษณ์เสียหน่อย”

อาย่าพยักหน้าพลางคิดในใจว่าดูท่าอาวุโสห้าจะมีแผนชั่วร้ายอย่างแน่นอน —

หลังจากที่ตื่นขึ้นอย่างซึมเซา หวังลู่ก็รู้สึกย่ำแย่หนัก

ก่อนหน้านี้ในกระแสน้ำทมิฬที่แดนปรลัย หวังลู่สู้และสังหารแม่ทัพซากศพพิษทมิฬได้ ในตอนนั้นเขาไม่คาดคิดว่าร่างกายเขาจะบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ การผลาญอายุขัยดั้งเดิมส่งผลต่อใต้ฐานวิหารหยกของเขา หนำซ้ำการอยู่ในกระแสน้ำทมิฬเป็นเวลานาน ยังทำให้อวัยวะภายในของเขากร่อนลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่วิชาไร้ลักษณ์ทำให้ผิวหนังและกระดูกแข็งแกร่ง เขาจึงรอดชีวิตมาได้

ทว่าเมื่อกลับมายังยอดเขาไร้ลักษณ์ซึ่งปราศจากสถานการณ์ตึงเครียด อาการบาดเจ็บก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้น แม้จะไม่เจ็บหนักถึงตาย แต่เขาต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ไปอีกวันสองวันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตอนที่เข้ามาในกระท่อม หวังลู่ก็นอนหลับไปสองสามชั่วโมงก่อนจะตื่นขึ้นมา ที่ด้านนอกกระท่อม ดวงอาทิตย์กำลังจะตก แสงสีแดงจากดวงอาทิตย์กระทบใบหน้า ทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่ที่ปากซึ่งเกิดจากอาการบาดเจ็บภายใน เมื่อรู้สึกว่าปากและคอแห้งผาก หวังลู่ก็ลุกขึ้นอย่างอิดออดเพื่อไปหาชาร้อนดื่มสักถ้วย ทว่าทันทีที่ลุกขึ้น เขาก็เห็นถ้วยชาร้อนๆ อยู่เบื้องหน้าพร้อมเสียงนุ่มๆ ที่ดังเข้ามาในโสตประสาท

“โอ้ เจ้าตื่นแล้วหรือ ดื่มชาสักถ้วยไหม”

หวังลู่ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นั้นไม่ถูกต้อง เขามองไปที่ถ้วยชาและหญิงสาวชุดขาวที่กำลังหัวเราะคิกคักเบาๆ

หวังลู่รับถ้วยมา ดื่มมันและคืนถ้วยไปบนมือของหญิงสาว และในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็เอื้อมมือไปยังอกอวบอิ่มของอีกฝ่ายทันที

เข้าถึงเป้าหมายได้เช่นนี้รู้สึกดีจริงๆ

หวังลู่หดมือกลับ แต่เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบกลับจากอีกฝ่ายเขาก็ถอนหายใจยาว “เฮ้อ ไม่ใช่ฝันสินะ บอกข้ามา ท่านเอาอกเอาใจข้าต้องการสิ่งใด”

หญิงสาวในชุดขาวยังมีสีหน้าดังเดิม นางดึงถ้วยชาคืนจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แค่เพราะอาจารย์เป็นห่วงเป็นใยศิษย์ ก็เลยต้มชามาให้ทั้งยังอยากจะรู้อาการของเจ้าในตอนนี้ด้วย”

หวังลู่ตอบ “ก่อนหน้านี้แย่มาก แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ข้าไม่กวนให้อาจารย์ต้องลำบากมาดูแลจะดีกว่า”

“ไม่ๆๆ นี่เป็นเรื่องสมควรแล้ว เจ้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาไร้ลักษณ์ เจ้ากับข้าสนิทชิดเชื้อกันราวกับมารดาและบุตร ดังนั้น…”

“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทันที ข้าไม่เคยมองท่านเป็นแม่”

“อ่า เช่นนั้นสนิทดั่งพี่น้องก็ได้ เหมือนน้องชายและพี่สาว… หากเท่านั้นไม่พอ เราจะใกล้ชิดกันดั่งสามีภรรยาก็ได้นะ ใครใช้ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้ากันเล่า ในฐานะอาจารย์ หากว่าจำเป็นข้าย่อมต้องทำหน้าที่ได้หลายบทบาทอยู่แล้ว”

“…สมองท่านนี่รักษาไม่หายจริงๆ”

“พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าต้องทำความเข้าใจเสียว่าในตอนนี้ข้าเป็นห่วงเจ้ามากๆ เลย”

“โอ้?”

“ดังนั้นข้าว่าเจ้าควรจะตั้งอกตั้งใจพักฟื้นให้มาก และเจ้ายิ่งควรใช้โอกาสนี้พัฒนาขั้นบำเพ็ญเซียนของเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นถ้าเจ้า…”

“หยุดเลยอาจารย์ ท่านมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ ด้วยระดับมันสมองอย่างเรา ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องพูดจาอ้อมค้อมไปมา ข้าชอบเปิดอกพูดกันตรงๆ มากกว่า”

“โอ้ เช่นนั้นก็” หญิงสาวในชุดขาวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เล่นตามบทที่นางอุตส่าห์ตระเตรียมมา ก็บทอาจารย์ที่เป็นห่วงเป็นใยในตัวลูกศิษย์กำลังได้รับความนิยมอยู่มิใช่หรือ

“ข้าอยากได้สุนัขของเจ้า”

หวังลู่พยักหน้า “อย่าหวัง”

“…” หญิงสาวในชุดขาวตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่งจากนั้นนางก็ยิ้มหวานออกมา “เมื่อกี้ข้าอาจจะพูดไม่ชัด ข้าต้องการสุนัขหน้าโง่ที่เจ้าเก็บมาจากภูเขาฝั่งตะวันตก ที่เจ้าตั้งชื่อให้ว่า ฉวนโจ่วฮวา บอกตามตรงข้าว่าชื่อนั้นฟังดูน่าถูกจับขังคุก แต่ในเมื่อเจ้าชอบ เช่นนั้นก็ตามใจ”

หลังจากฟังคำอธิบายที่ยืดยาวและตรงไปตรงมา หวังลู่ยังคงตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มจริงใจเหมือนเดิม “อย่าหวัง”

“…เฮ้ มันก็แค่สุนัขน่า”

“ฮ่าๆๆ แค่สุนัข? เห็นข้าเป็นคนโง่รึ หากมันเป็นแค่สุนัขธรรมดา ท่านจะยอมยกน้ำชามาให้ข้าแถมให้ข้าจับหน้าอกรึไง” หวังลู่เหยียดยิ้ม จากนั้นก็ตะโกนลั่น “ฮวาฮวา มานี่”

ไม่มีการตอบสนอง…

“เจ้าตูบหน้าโง่ มานี่”

หลังจากนั้น เจ้าสุนัขหน้าโง่ก็รีบวิ่งมาอย่างร่าเริง ปากฉีกยิ้มกว้างที่จะเห็นได้จากพวกหน้าโง่ป่วยจิตเท่านั้น

สองสามชั่วโมงก่อน ทั้งมันและหวังลู่ต่างบาดเจ็บหนัก ทว่ามาตอนนี้ หวังลู่เพิ่งจะเริ่มทุเลาจากอาการบาดเจ็บ แต่เจ้าสุนัขหน้าโง่กลับดูเหมือนไม่เคยเจ็บตัวมาก่อน ความจริงแล้วแม้แต่ฟันที่หักของมันก็งอกกลับมาเหมือนเดิม”

“บอกซิ เจ้าเป็นสุนัขพันธุ์ไหนกันแน่”

เจ้าสุนัขหน้าโง่เอียงคอจ้องมองผู้เป็นนายด้วยความสนเท่ห์

“สายพันธุ์ ชนิด เชื้อสาย… คำไหนก็ได้ที่เจ้าเข้าใจ เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”

เจ้าสุนัขหน้าโง่นิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะโง่ๆ ออกมาขณะตอบกลับเป็นภาษามนุษย์ “อ้อ นี่น่ะหรือที่ท่านจะถามข้า ข้าคือเฟนรีร์”

ทันใดนั้นหญิงสาวในชุดขาวก็พลันถอนหายใจออกมา นางรีบกลบเกลือนปฏิกริยาของตนทั้งที่ในใจรู้สึกอยากจะร้องไห้ทว่ากลับไม่มีน้ำตา

หวังลู่ชายตามองผู้เป็นอาจารย์อย่างสงสัย จากนั้นก็ซักเจ้าสุนัขลายด่างหน้าโง่ต่อ “เฟนรีร์คืออะไร”

เจ้าสุนัขจอมทึ่มมองอย่างงุนงง “ข้าจะรู้ได้ยังไง”

‘เวรเถอะ เจ้านี่ไร้ประโยชน์สิ้นดี’หวังลู่ประเมินเจ้าสุนัขหน้าโง่อยู่ในใจ แต่แล้วเขาก็รู้สึกลังเล พลางคิดว่าหรือเขาจะยกเจ้าสุนัขหน้าโง่ให้อาจารย์ดีเผื่อนางจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นบ้าง

ทว่าในตอนนั้นเองหญิงสาวในชุดขาวก็มิอาจแบกรับความอับอายได้อีก นางส่ายศีรษะและเดินออกไปพลางปลอบประโลมตัวเองอยู่ในใจ

เห็นได้ชัดว่าเฟนรีร์ตัวนี้สมองไม่สมประกอบ แถมไม่ใช่ไม่สมประกอบน้อยๆ ด้วย ข้อบกพร่องเช่นนี้ในตัวสัตว์ประหลาดในตำนานที่ยังโตไม่เต็มที่ย่อมทำให้ราคาตกไม่น้อย เพราะย่อมไม่มีใครแน่ใจว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่นี้โง่เพราะยังเด็กอยู่หรือโง่แต่กำเนิดจริงๆ กันแน่

เมื่อเป็นเช่นนี้ นางยอมปล่อยให้เจ้าทึ่มหวังลู่และเจ้าสุนัขนั่นอยู่ด้วยกันจะดีกว่า อย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนที่สูงศักดิ์ ไม่ใช่สหายของสุนัขโง่เง่าสักหน่อย

สองสามวันถัดมา หวังลู่ก็หายขาดจากอาการบาดเจ็บ หนำซ้ำการบำเพ็ญเซียนของเขาก็พัฒนาขึ้นมาก เขาสามารถข้ามผ่านอุปสรรคจนบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับสูงได้ และยังคงพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดในตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงด้วย ตามการประเมินของหวังลู่ หากเขายังสามารถพัฒนาขึ้นได้อีกหลายระดับ ไม่แน่เขาอาจบรรลุถึงขั้นฝึกปราณช่วงปลาย และตระเตรียมเพื่อทะลวงขึ้นสูงขั้นสร้างฐานก็เป็นได้

โชคร้ายที่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ สองสามวันนี้ ที่ความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเขาพุ่งสูงขึ้นได้เป็นเพราะการรวมรวมพลังจากหนึ่งปีที่ผ่านมาและพลังนั้นก็ทวีคูณจากการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา หากเขาต้องการที่จะพัฒนาแบบก้าวกระโดดเช่นนี้อีก เขาอาจจะต้องใช้โอสถ หรือไม่ก็ชิ้นเนื้อดีๆ ของสัตว์ประหลาดหรือไม่ก็ผู้บำเพ็ญเซียนด้วยกัน

ทว่าตบะขั้นในปัจจุบันของเขานั้นก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว การใช้เวลาห้าปีบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับสูงก็พอๆ กับศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆ แม้จะมีศิษย์ชั้นในไม่น้อยที่สามารถบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับสูงในช่วงสองสามปีนี้ ทว่าการแบ่งระดับออกเป็นเก้าระดับ ก็ยังให้ความแตกต่างกันมากอยู่ดี

หนำซ้ำ ระดับในการท้าประลอง (ด้านตั้งรับ) ของเขานั้นสูงเป็นพิเศษ ณ ตอนนี้โดยรวมเขาอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับสองหรือสาม ทว่าหากเขาปล่อยสุดพลัง โดยใช้พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมด้วย… เสี่ยวหมิงที่อยู่ในขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นย่อมไม่อาจทะลวงการตั้งรับของเขาได้แน่นอน

ในมุมของการท้าประลองข้ามขั้น นี่ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก โดยทั่วไปในโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักรเก้าแคว้น ผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถท้าประลองข้ามขั้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกอัจฉริยะ ฉยงฮวาจากสำนักเซิ่งจิงและหลิวหลีจากสำนักกระบี่วิญญาณ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้ผู้เทียมทานที่หลายปีจะมีมาสักคน

หากระดับขั้นการต่อสู้ของหวังลู่เป็นที่รับรู้โดยคนทั่วไป ไม่แน่ว่ามันอาจจะทำให้การสังหารปีศาจเมฆาโลหิตทั้งสิบสองตัวต้องมัวหมองไปเลยก็ได้

ทว่าเท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และเขาก็ไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้เพียงเพื่อความทะนงตัว ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกับเขามากกว่านั้น

นั่นก็คือการเข้าร่วมการประลองระหว่างสำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักกระบี่วิญญาณที่ได้ตกลงกันไว้

ผู้ที่เป็นตัวหลักในการดูแลจัดการกิจกรรมนี้คืออาวุโสห้าแห่งหอกระบี่นภา และในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของอาวุโสห้า อีกทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวในเขากระบี่วิญญาณแห่งนี้ที่มีวิธีคิดเหมือนนาง เขาจึงมีพันธะในการเป็นผู้ช่วยของหวังอู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ .

ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ การลงสนามไปต่อสู้เฉยๆ เป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว การอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าและจัดการกับสิ่งต่างๆ ให้เหมือนผู้เล่นหมากรุกวางหมากต่างหากจึงจะสมกับการเป็นนักผจญภัยที่สูงส่งที่สุด

สหายจากสำนักเซียนหมื่นเวทเอ๋ย ข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้า

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด