กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 6 หลิวหลีฆ่าพวกเดียวกัน!?

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 6 หลิวหลีฆ่าพวกเดียวกัน!? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหวังลู่ ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ทั้งสองก็นิ่งอึ้งไปในทันที

          หญิงสาวใบหน้ากลมชี้ที่หวังลู่แล้วก็เลื่อนนิ้วไปทางหลิวหลี “จะ เจ้าบอกว่า…เจ้ามีคนในใจแล้ว แต่เจ้ามาจากตระกูลเดียวกันไม่ใช่หรือ”

          หวังลู่พยักหน้า “ถูกต้อง นางคือน้องสาวของข้า ข้าคือซิสค่อนผู้สิ้นหวังที่หลงรักน้องสาวตัวเอง ทุกวันข้าต้องเอาหน้าซุกชุดชั้นในของน้องสาวจึงจะข่มตาหลับได้ เจ้าฟังจนพอใจแล้วหรือยัง”

          พูดจบ เขารวมทั้งหลิวหลีและเจ้าสุนัขหน้าโง่ก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่สนใจสองสาวที่คิดจะจ่ายเงินหยิบมือเดียวเพื่อแลกกับรางวัลใหญ่ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าพวกนางนั้นไม่มีทั้งเงินและสมอง เป็นพวกฉ้อฉลหน้าโง่ที่แท้จริง

          หญิงสาวทั้งสองตกตะลึงกับคำสารภาพของหวังลู่จนยืนอึ้งอยู่กับที่ไม่อาจขยับไปไหนได้ พอพลังวิญญาณขั้นปฐมของคนทั้งคู่กลับมาเป็นปกติ คนทั้งสองและสุนัขก็หายลับไปกับสายตาแล้ว

——

          “หวังลู่ หวังลู่ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้าคือน้องสาวเจ้า แต่ความจริงข้าโตกว่าเจ้านะ”

          ขณะเดินอยู่บนถนน หลิวหลีก็ถามสิ่งที่นางสงสัยอยู่เป็นพักใหญ่ออกมา

          หวังลู่แตะศีรษะของอีกฝ่าย “แต่สมองเจ้าน้อยกว่าข้า ดังนั้นเจ้าถึงเป็นน้องสาวของข้าไง”

          “อ้อ เป็นแบบนี้เอง” หลิวหลีพยักหน้าและพยายามจดจำเหตุผลนี้เข้าไปในสมองของนาง ผ่านไปอึดใจใหญ่นางก็เอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วเมื่อกี้ที่เจ้าพูดถึง ‘ซิสค่อน’ มันหมายถึงอะไรหรือ”

          “ซิสค่อนหมายถึงการที่ต้องควบคุมน้องสาว เจ้าก็รู้นี่ แม้แต่ท่านลุงสี่ยังบอกเลยว่าตอนที่เจ้าลงเขามา เจ้าต้องฟังคำพูดของข้า จริงไหม”

          “อ้อ เป็นแบบนี้เอง” หลิวหลีพยักหน้าอีกครั้ง “แล้วนอนซุกชุดชั้นในของน้องสาวคืออะไร”

          หวังลู่เงียบไปพักใหญ่ “ปัญหานี้เกี่ยวกับการฝึกฝนวิชาเซียนที่ลึกซึ้ง ตอนนี้มันยากเกินไปสำหรับเจ้า หลังจากนี้หากมีโอกาส ข้าจะอธิบายให้ฟัง”

          “อ้อ ก็ได้!”

          หลังจากจัดการหลิวหลีเรียบร้อยแล้ว หวังลู่ก็ตัดสินใจจะไม่อยู่ในเมืองสว่างธรรมนานนัก แม้เมื่อครู่เขาจะสามารถลวงผู้บำเพ็ญเซียนหญิงจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้ แต่อีกฝ่ายย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่

          อย่างไรเสียตอนนี้หวังลู่และหลิวหลีก็ลดขั้นตบะของพวกเขาลงมาเหลือเพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงเท่านั้น ในที่ที่ไร้ระเบียบและห่างไกลจากบ้านอย่างแคว้นสายหมอกเช่นนี้ ยิ่งเก่งกาจเกินไปก็ยิ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ปัญหาเข้ามา และย่อมเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาวุ่นวายได้

          ชื่อเสียงของตระกูลเยวี่ยไม่ได้น่าเกรงขามมากนักในแคว้นสายหมอก อย่างน้อยก็ไม่เท่าชื่อเสียงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เมื่อใคร่ครวญจากทุกด้านแล้ว มีโอกาสเจ็ดถึงแปดส่วนที่อีกฝ่ายจะฉวยโอกาสในสภาพที่สิ้นหวังนี้

          หากจะพูดว่าหวังลู่กลัว แน่นอนว่าย่อมไม่ถูกต้อง ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง ต่อให้เป็นขั้นพิสุทธิ์ระดับกลาง หวังลู่ก็สามารถปราบอีกได้ภายในสามถึงห้ากระบวนท่า ทว่าก่อนที่จะลงเขามา ท่านลุงเจ้าสำนักได้เรียกหาเขาและแนะนำอย่างหนึ่ง

          “หวังลู่ ตอนนี้เจ้าก็ฝึกบำเพ็ญเซียนในสำนักกระบี่วิญญาณมาได้สิบปีแล้ว ในสิบปีนี้เจ้าทำให้ทุกคนบนเขารู้สึกทึ่ง แม้ในหมู่ห้าวิเศษเองผลงานของเจ้าถือว่าโดดเด่นที่สุด ไม่ว่าจะด้านการบำเพ็ญเซียนหรือด้านอื่นๆ ทว่าเจ้าชอบจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเฉียบขาดและหนักมือ ข้าไม่อยากจะกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เจ้ายังเด็ก ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับทางของตัวเอง ตอนที่เจ้าลงเขาไปในครั้งนี้ ข้าอยากให้เจ้ารับปากกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับปัญหาใด จงอ่อนข้อให้ ขอให้ลองเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากเจ้าอ่อนข้อให้แล้วแต่หากอีกฝ่ายยังคิดรุกรานอยู่ เจ้าก็แก้ปัญหาด้วยวิธีของเจ้าได้เลย”

          ตอนที่ได้ยินคำขอร้อง หวังลู่ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้น “ท่านจะกำหนดให้มันเป็นภารกิจท้าทายได้ไหมล่ะ”

          เจ้าสำนักหัวเราะออกมา “ดี งั้นจงถือว่านี่เป็นข้อกำหนดในการพัฒนาตนเองเหมือนตอนเดินทางสั่งสมประสบการณ์ครั้งแรกของเจ้าเถอะ หากทำภารกิจนี้สำเร็จ เจ้าย่อมได้คะแนนตอบแทนอย่างแน่นอน”

          เพราะข้อตกลงนี้ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูของที่ทำการ หวังลู่จึงเลือกที่จะยอมให้อีกฝ่าย แน่นอนว่าเป็นการย่อมให้ในรูปแบบของเขา

          ตอนนี้หวังลู่เลือกที่จะออกนอกเมือง เหตุผลหนึ่งก็คือแม้ว่าเมืองสว่างธรรมจะใหญ่พอ แต่หากเขาคิดจะสืบข่าวของนักบวชเซนโกวรั่ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีหวัง คนของพันธมิตรหมื่นเซียนและคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต่างก็ไม่รู้จักนักบวชเซนโกวรั่ว ตัวตนของคนผู้นี้ดูท่าว่าจะลึกลับกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรก ไม่แน่ว่าการเดินทางไปที่เขาอวิ๋นไท่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่เขาจะสืบเสาะร่องรอยได้

          อีกเหตุผลหนึ่ง แม้เขาจะต้องยอมอ่อนให้ในขัดแย้งครั้งแรกที่ต้องเผชิญตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่ก็ไม่ได้มีข้อตกลงว่าห้ามเขาวางกับดักไม่ให้เกิดข้อขัดแย้ง การพาหลิวหลีและเจ้าสุนัขหน้าโง่ออกนอกเมืองเช่นนี้ หากหญิงสาวสองคนนั้นมีไหวพริบสักหน่อยก็ดีไป แต่ถ้าไม่…

          หวังลู่มองหลิวหลีและเจ้าสุนัขหน้าโง่ที่อยู่ข้างกาย

          เขาอาจต้องใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้ที่พวกเขาทั้งคู่ใช้เวลาฝึกฝนอยู่บนภูเขาหลายวันก็เป็นได้

——

          ผู้บำเพ็ญเซียนสาวแห่งสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ทำให้หวังลู่ผิดหวัง

          ขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในป่าหลังจากที่ออกนอกเมืองมาไม่นาน ทั้งคู่ก็ถูกหญิงสาวทั้งสองดักไว้

          แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะหญิงสาวสองคนนี้มีวิชาที่สามารถตามรอยเจ้าสุนัขหน้าโง่ได้

          ทักษะและวิชาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ล้วนเกี่ยวข้องกับสัตว์ภูตทั้งสิ้น แม้แต่ตามมาตรฐานของพันธมิตรหมื่นเซียน พวกเขาก็ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ผู้บำเพ็ญเซียนของพันธมิตรหมื่นเซียนก็มักจะข้อความร่วมมือจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แม้ขั้นตบะของหญิงทั้งสองจะอยู่ในระดับทั่วไป แต่ทักษะการตามรอยของพวกนางถึงได้ว่าเป็นเลิศ หากไม่ได้มาเจอผู้บำเพ็ญเซียนในระดับหวังลู่และหลิวหลี ก็คงตามตัวพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

          “สหายบำเพ็ญเซียน โปรดหยุดก่อน”

          ถ้อยคำเดียวกับที่เคยพูดก่อนหน้านี้ ทว่าครั้งนี้ฟังดูเป็นคำสั่งและไม่มีความสุภาพอีกต่อไป สีหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนสาวทั้งสองเคร่งขรึมราวกับกลัวผู้อื่นจะไม่รู้ว่าพวกตนคิดจะก่อการโจรกรรม แม้แต่ศิษย์พี่ผู้มีใบหน้ากลมก็ยังมาพร้อมอาวุธวิเศษในมือ ซึ่งก็คือแส้วับวาว

          ทว่าผู้ที่เอ่ยปากก่อนคือศิษย์น้องผู้มีหน้าตาสะสวย นางฝืนยิ้มออกมา พยายามจะใช้มารยาทก่อนที่จะใช้กำลัง

          “สหายบำเพ็ญเซียนทั้งสอง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองพวกเจ้าผละมาเร็วเกินไป เรายังมีอีกหลายคำที่อยากพูด สุนัขภูตที่อยู่ข้างกายเจ้ามีชะตาต้องกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเรา ยังไงซะข้าก็หวังว่าเจ้าจะยินดีที่ต้องพรากจากของมีค่าของเจ้าไป”

          หวังลู่หัวเราะขำ “ชะตาต้องกัน? ไหนเจ้าลองบอกเหตุผลในเรื่องนี้ให้ข้าฟังหน่อยซิ”

          เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องผู้นี้ทำการบ้านมา นางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าว่าสหายบำเพ็ญเซียนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มาบ้าง หากกล่าวถึงการฝึกฝนสัตว์ภูต ในอาณาจักรเก้าแคว้นนี้เราไม่เป็นสองรองใคร แม้ตระกูลของเจ้าจะเก่งกาจในบางเรื่อง แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สัตว์ภูตเชื่องได้แน่”

          “แล้วยังไง”

          “สัตว์ภูตของเจ้านั้นมหัศจรรย์แต่กำเนิด หากมันได้รับการฝึกฝนที่เหมาะควร อนาคตของมันย่อมไม่ถูกจำกัด ขออภัยที่ข้าหยาบคาย แต่หากเจ้าเป็นคนเลี้ยงมัน เจ้าย่อมทำให้มันเติบโตอย่างเสียของแน่นอน”

          “แล้วยังไง”

          ผู้เป็นศิษย์น้องขมวดคิ้ว “แล้วยังไง ก็ถ้าเจ้าจริงใจสักนิด เจ้าย่อมยอมให้สัตว์ภูตของเจ้ามีอนาคตที่ดี แทนที่จะใช้ความรักหลายปีของเจ้าและเหตุผลอื่นๆ มาเหนี่ยวรั้งมันไว้!”

          หวังลู่แทบจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น นางสารเลวนี่ไปสรรหาถ้อยคำเหล่านั้นมาจากที่ใดกัน แม้ข้าจะเป็นซิสค่อนก็จริง แต่ไม่ใช่พวกหลงรักสัตว์อย่างเจ้าแน่นอน!

          ทว่าน่าแปลกที่หวังลู่ไม่ลืมที่จะโต้กลับ “ถ้าอิงตามเหตุผลของเจ้า หากชายหนุ่มตกหลุมรักหญิงสาวด้วยความจริงใจ ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นการดีสำหรับเขาที่จะหาทางให้นางได้กินยากระตุ้นกำหนัด แล้วพอตกกลางคืนก็ส่งตัวนางขึ้นเตียงให้ไปหลับนอนกับชายหนุ่มสมบูรณ์แบบล่ะสิ หากทั้งสองคนมีลูกด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ระหว่างนั้นชายผู้นี้ก็จะไปแอบอยู่นอกหน้าต่างฟังเสียงหญิงผู้เป็นที่รักดู๋ดีมีความสุขกับชายคนนั้น แบบนั้นสินะ”

          พูดจบหวังลู่ก็เอามือที่ปิดหูหลิวหลีออกแล้วรอให้หญิงสาววัยกลางคนทั้งสองตอบกลับ

          ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้เป็นศิษย์น้องก็กล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียว “เจ้านายที่น่ารังเกียจอย่างเจ้าไม่คู่ควรที่จะมีสัตว์ภูตในครอบครอง!”

          ในตอนนั้นเองอาวุธวิเศษในมือของนางก็เปล่งแสงออกมา สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มอันตรายขึ้นเรื่อยๆ

          หวังลู่หัวเราะขำพลางพูดเย้า “ในเมื่อคิดจะทำตัวสารเลว เหตุใดไม่แขวนป้ายไว้เลยว่าตัวเองเป็นโจรขโมยสุนัข มัวแต่เสียเวลาพูดจาสูงส่งอยู่ทำไม”

          ผู้บำเพ็ญเซียนสาวทั้งสองไม่ตอบโต้อีกต่อไป ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกนางจะเลือกอะไรได้อีกนอกจากจะลงมือ ขณะที่หญิงสาวทั้งสองมองไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างระแวดระวัง พวกนางก็พบว่าความสนใจของอีกฝ่ายพุ่งตรงมาที่อาวุธวิเศษในมือพวกนาง ทำให้ทั้งสองโล่งใจเป็นอย่างมาก

          นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พี่น้องคู่นี้ออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ ในเมื่อเป็นการสั่งสมประสบการณ์ครั้งแรกของคนทั้งคู่ ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ พวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับตัวผู้บำเพ็ญเซียนนัก

          หลังจากเหยียดยิ้มให้กับการต่อสู้ที่ดูท่าจะง่ายดายครั้งนี้ พวกนางก็ได้ยินเสียงเด็กสาวที่ชื่อเยวี่ยเซียนหัวเราะออกมา “โอ้ ลูกสุนัขน่ารักจัง!”

          ขณะพูดนางก็ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว และเหยียดแขนออกมา จากนั้นแสงหนึ่งก็สว่างวาบขึ้น ลูกสุนัขขนสีขาวที่ดูไม่เต็มใจก็ถูกหลิวหลีหิ้วหัวขึ้นมา และไม่อาจกระดุกกระดิกตัวได้อีก

          สีหน้าของผู้บำเพ็ญเซียนสาวทั้งสองเปลี่ยนไปในทันที!

          เจ้าสุนัขสีขาวล่องหนตัวนั้นเป็นสัตว์ภูตที่ศิษย์พี่เฉินตงจื้อภูมิใจที่สุด ความสามารถในการแอบซุ่มของมันนั้นแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ก็มักตรวจสอบไม่พบอยู่บ่อยๆ มันคืออาวุธจู่โจมลับของนาง น่าประหลาดใจที่ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น มันกลับถูกหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสาซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามคว้าตัวไปได้

          และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มใสซื่อของเยวี่ยเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ต่างก็รู้สึกไม่พอใจ คนผู้นี้…ทึ่มจริงๆ หรือแกล้งทึ่มกันแน่

          ฝ่ายหวังลู่กลับไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเห็นเจ้าสุนัขล่องหนนั่น เช่นนั้นหลิวหลีที่มีสายตาเฉียบคมฝืนลิขิตสวรรค์ก็ย่อมต้องมองเห็นแน่ แม้แต่ในสำนักกระบี่วิญญาณเอง หากไม่ใช่อาคมขั้นสร้างแกนขึ้นไป ก็ไม่มีอาคมหรือวิชาไหนๆ จะลวงสายตาของนางได้ หนำซ้ำพลังของโจรสาวทั้งสองก็ยังไม่เอาไหนอีกด้วย

          “เซียนเอ๋อร์” หวังลู่สะกดอาการขย้อนของตัวเองลงด้วยการเรียกนางเช่นนั้น

          “หือ?” หลิวหลีไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางมัวสาละวนลูบขนของเจ้าสุนัขตัวขาวอย่างสุขใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว นางก็พยายามป้อนขนมให้ ในสถานการณ์จวนตัวเช่นนี้ นางกลับเผยความอบอุ่นที่น่าเอ็นดูออกมา

          ทว่าประโยคถัดไปของหวังลู่กลับทำลายบรรยากาศ ‘อบอุ่น’ ไปเสียสิ้น

          “สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าจะกลายเป็นอาหารเย็นของเรา”

          หลิวหลีอึ้งไปครู่ใหญ่พลางกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว เจ้าสุนัขล่องหนตัวขาวที่นางกระชับไว้ในมือไม่อาจทานทนความรู้สึกสิ้นหวังได้อีกมันจึงหมดสติไป

          “ตอนนี้ละ ศิษย์น้องหญิง!”

          เฉินตงจื้อคำราม แส้วับวาวที่อยู่ในมือสะบัดออกมาเป็นเมฆสีทอง แม้นางจะเชี่ยวชาญด้านสัตว์ภูต แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานจากสำนักชั้นสูง ทักษะของนางย่อมไม่อ่อนด้อย

          เคราะห์ร้ายที่มันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายตรงข้ามของนางคือใคร

          “เอาเลยเซียนเอ๋อร์”

          แม้คำสั่งจะดังขึ้นช้ากว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ปฏิกิริยาของหลิวหลีกลับว่องไว ก่อนที่หวังลู่จะทันพูดจบ กระบี่บินของหญิงสาวก็เจาะทะลวงเมฆสีทองของเฉินตงจื้อและศิษย์น้อง ทำให้อาวุธวิเศษของพวกนางแตกหักและหญิงสาวทั้งสองต้องกระอักเลือดออกมา จากนั้นกระบี่บินก็วนกลับมาและจี้ไปที่คอของศิษย์ผู้น้องอย่างช่ำชอง แม้จะเพียงแตะเบาๆ แต่มันก็ทำลายอาคมป้องกันที่อีกฝ่ายร่ายเอาไว้จนหมดสิ้น

          ศิษย์ผู้น้องไม่มีเวลาแม้แต่จะเรียกสัตว์ภูตออกมาช่วย เพราะนางไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้อีกแล้ว

          กระบี่เพียงกระบวนท่าเดียวสามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนหญิงสองคนได้ หลิวหลีถอนกระบี่บินคืน อุ้มเจ้าสุนัขตัวขาวที่หมดสติขึ้นมา มองสำรวจเจ้าตัวที่อยู่ในแขนไปทั่วจากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความกระดาก “คืนนี้เราจะกินเจ้าตัวเล็กนี่กันจริงหรือ”

          ก่อนที่หวังลู่จะมีโอกาสได้ตอบ เขาก็ได้ยินน้ำเสียงอ้อนหูของหลิวหลี “เราไม่กินมันได้ไหมท่านพี่”

          ท่านพี่…

          เสียงหึ่งๆ ดังก้องอยู่ในหัวของหวังลู่

          จะ เจ้าเด็กโง่ ครั้งนี้เจ้าคิดจะฆ่าพวกเดียวกันรึยังไง!?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด