กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 16 คนรุ่นเจ้าถือว่าโชคดีอย่างแท้จริง

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 16 คนรุ่นเจ้าถือว่าโชคดีอย่างแท้จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

รัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่จะพูดว่าเล็กหรือใหญ่ก็ได้แล้วแต่มุมมอง โครงสร้างของภูเขาแห่งนี้นั้นต่อเนื่องกันและสลับซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเกิดการปะทะกัน ทำให้สภาพแวดล้อมบนภูเขายากที่จะคาดเดาเข้าไปใหญ่ หากเหาะอยู่บนท้องฟ้า เขาอวิ๋นไท่อาจดูไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อเดินอยู่บนพื้นดิน เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนก็อาจเดินได้ถึงแค่มุมหนึ่งของภูเขาเท่านั้น

หวังลู่เดินทางสำรวจภูเขาอวิ๋นไท่มาทั้งสัปดาห์แล้ว แต่ยังไปไม่ถึงยอดเขาหลายๆ ยอดเลย ด้านหนึ่งเพราะสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในฐานะเจ้าของเขาอวิ๋นไท่ตื่นตัวมากขึ้น จำนวนศิษย์ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ออกลาดตระเวนมีมากกว่าปกติ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อแผนการของหวังลู่ไม่น้อย อีกด้านหนึ่ง เจ้าสุนัขหน้าโง่ที่เขามอบหมายให้เป็นผู้นำทางก็พบเจออุปสรรคเช่นกัน บ่อยครั้งที่มันพาวนกลับมาที่จุดเดิมทำให้หวังลู่เสียเวลาไปครึ่งวันเต็มๆ ส่วนเจ้าสุนัขหน้าโง่ก็ทำได้เพียงร้องเอ๋งๆ และกล่าวหน้าซื่อๆ ว่ามันหลงทาง

ขณะเดินสำรวจรอบเขาอวิ๋นไท่นั้น หวังลู่ใช้พลังเสียงสะท้อนของสัตว์กึ่งเซียนอย่างฉวนโจ่วฮวาในการตามหาตัวอ่อนของสัตว์เซียนภูตจันทราให้พบก่อนหน้าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ โชคร้ายที่สัปดาห์หนึ่งผ่านไปเขาก็พบว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

แน่นอนว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่มีคำอธิบายในเรื่องนี้

“การใช้เสียงสะท้อนนั้นย่อมได้ผลแน่ ในคืนที่มีดวงดาวไม่มากนักและแสงจันทร์แจ่มกระจ่าง ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงร่องรอยของมัน จะให้บอกพิกัดของมันก็ยังได้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอหน้าพวกเรา ดังนั้นมันจึงจงใจซ่อนตัว… พลังของเสียงสะท้อนนั้นอ่อนมาตั้งแต่แรก อีกทั้งมันยังตั้งใจที่จะพรางตัวเอง ดังนั้นข้าเองก็จนปัญญา”

ด้วยระดับสติปัญญาของเจ้าสุนัขหน้าโง่ การที่มันสามารถเรียบเรียงถ้อยคำที่มีเหตุมีผลออกมาได้ แสดงให้เห็นว่าจิตใจของมันวิตกกังวลมาก ดังนั้นแม้จะจนปัญญา หวังลู่ก็ยังหยิบกระดูกหมักซีอิ๊วจากย่ามสีเหลืองตุ่นและโยนไปให้เจ้าสุนัขหน้าโง่เพื่อให้มันแทะกินอย่างสบายใจ

ผลของการเดินป่าตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็ออกมาเป็นเช่นนี้ หวังลู่อดขมวดคิ้วพลางคิดคำนวณถึงวิธีการต่อไปไม่ได้

ขณะเดียวกันอีกสองคนกลับไม่รู้สึกกดดันใดๆ หลิวหลีผู้ไร้เดียงสาเบิกบานใจไปกับทิวทัศน์รอบด้านของภูเขา อย่างไรเสียหวังลู่ก็จัดหาของกินและเครื่องดื่มอร่อยๆ ให้นางได้อารมณ์ดีไปตลอดทาง นางจึงไร้ความกังวลและเอาแต่เล่นสนุกอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าสัตว์เซียนและสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่ได้อยู่ในห้วงความคิดของนางแม้แต่น้อย

เพื่อนร่วมทางอีกคนหนึ่งของเขาดูน่าสนใจ หลายวันมานี้ ศิษย์พี่เสี่ยวชีและหลิวหลีต่างใช้เวลาพูดคุยกันอย่างมีความสุข ชื่อทางศาสนาของนางคือนักบวชเซนเนื้อสุนัข (คำว่าเซนในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าตะกละ) เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกิน เมื่อได้เจอกับหลิวหลีที่จุดเด่นเรื่องการกินนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง พวกนางจึงเข้าขากันอย่างดีจนคิดจะสาบานเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำ ตอนที่คนทั้งคู่พูดคุยกันเรื่องอาหาร แม้แต่นักเรียนที่เก่งกาจที่สุดของสำนักกระบี่วิญญาณยังไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปแสดงความคิดเห็น แม้เขาจะอ่านหนังสือมาไม่น้อย แต่อาหารดีๆ ที่เคยลิ้มลองนั้นมีไม่มากนัก ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ฟังผู้เชี่ยวชาญทั้งสองพูดคุยกันมากกว่า

ทว่าความสนใจของเสี่ยวชีก็จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ นอกจากเรื่องดื่มและกินแล้ว นางก็ไม่เคยสนทนาเรื่องอื่นๆ เลย หากไม่ได้พูดคุยเรื่องอาหารกับหลิวหลี นางก็ทำเพียงเดินตามหวังลู่ไปเงียบๆ แม้แต่ตอนที่ฉวนโจ่วฮวาพาทุกคนเดินวนเป็นวงกลม นางก็ไม่ได้มีทีท่าหงุดหงิดใจแต่อย่างใด

เมื่อเห็นดังนั้นหวังลู่จึงถามขึ้น “คุณหนูเจ็ด ท่านไม่ได้กำลังรีบหรือ”

“รีบเรื่องอะไร” เสี่ยวชีถามกลับ “ข้าไม่สนใจสัตว์เซียนอะไรนั่นอยู่แล้ว”

หวังลู่ถาม “ท่านเกลียดขี้หน้าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เข้ากระดูกดำไม่ใช่หรือ”

เสี่ยวชีถ่มน้ำลาย “เจ้าต่างหากที่เกลียดขี้หน้าคนพวกนั้น! แรกเริ่มเดิมทีคนพวกนั้นก็แค่ขัดเคืองลูกนัยน์ตาข้า แต่หลังจากนั้นข้าก็ใส่ใจพวกเขาน้อยลง หากเราทำลายสาขานี้ได้ก็นับว่าดี แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่เหมือนเจ้าและอาจารย์ของเจ้า สิ่งที่ข้าทำไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นผลลัพธ์ก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คืออยู่อย่างมีความสุข… หรือเจ้าอยากลองชิมบะหมี่ฝีมือข้ากัน [1]”

หวังลู่ตอบอย่างหงุดหงิด “ต่อให้ท่านทำบะหมี่ให้ข้า ข้าก็ไม่มีความสุขแน่… โธ่เอ๊ย พอไม่มีพวกลูกกระจ๊อก ข้าก็ต้องทำเองทุกอย่างหมดเลย!”

เสี่ยวชีรู้สึกขบขันยิ่งนัก “ใครใช้ให้เจ้าทำเล่า เจ้ากับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ใช่ว่าจะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นบนยกพื้นรวมถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสละเมิดกฎและพยายามที่จะปล้นเจ้า เรื่องพวกนี้เจ้าจะไม่ใส่ใจก็ได้ แล้วทำไมถึงได้ดื้อรั้นนัก”

หวังลู่ตอบคำถามนั้นอย่างจริงจัง “ในเมื่อข้าตัดสินใจจะทำแล้ว ข้าย่อมทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้มันลุล่วง นักผจญภัยมืออาชีพไม่มีนิสัยยอมแพ้กลางคัน”

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว” เสี่ยวชียอมรับคำอธิบายของหวังลู่และพยักหน้า “พวกเจ้าสองคนนี่ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันจริงๆ วิธีที่เจ้าใช้จัดการสิ่งต่างๆ นั้นเหมือนกับนางอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็แปลกดี อาจารย์ของเจ้าเป็นพวกจนตรอก นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทุ่มสุดตัวในการจัดการสิ่งต่างๆ จนกลายเป็นนิสัย แต่ความสามารถและโอกาสของเจ้านั้นเหนือกว่าอาจารย์ของเจ้ามากนัก แล้วทำไมเจ้าถึงต้องทุ่มเทขนาดนี้ด้วย”

ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสบายๆ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ความสนใจของหวังลู่ก็พุ่งพรวดขึ้นทันที

“อาจารย์ของข้าเป็นพวกจนตรอก? ข้าอยากจะฟังรายละเอียดสักหน่อย”

เสี่ยวชีผงะ “เจ้าเป็นศิษย์ของนาง นางไม่เคยเล่าให้ฟังหรอกหรือ”จากนั้นนางก็นิ่งไปในทันที “แน่ละ ด้วยนิสัยของนาง นางย่อมไม่เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังอยู่แล้ว”

หวังลู่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ดังนั้นเพื่อเผยประวัติอันดำมืดของนาง ข้าจึงต้องหวังพึ่งท่านแล้วคุณหนูเจ็ด”

เมื่อได้เห็นดวงตาวิบวับเป็นประกายของหวังลู่ เสี่ยวชีก็รู้สึกเต็มตื้นและอดรู้สึกสนุกไม่ได้ “ปกติไม่เห็นเจ้าเคยใส่ใจเรื่องอาจารย์ขนาดนี้เลย แต่พอเป็นเรื่องอดีตของนาง เจ้ากลับทำหน้าตากระตือรือร้นเสียได้… ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดปลีกย่อยด้วยซ้ำ ยังไงซะข้ากับนางก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมสุขไม่ร่วมทุกข์ มันก็แค่เราสองคนรู้จักกันมานาน ก็เลยรู้เรื่องของนางไม่น้อย ความจริงเจ้าก็ฝึกบำเพ็ญเซียนข้างกายนางมานานหลายปี เจ้าน่าจะเฉลียวบ้างนะ”

หวังลู่จับถ้อยคำซ่อนความนัยของนางได้ เขาจึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“ความจริงเจ้าก็น่าจะเห็นปัญหานี้จากวิชาบำเพ็ญเซียนของตัวเองแล้ว ลองดูหลิวหลีสิ วิชาบำเพ็ญเซียนของนางคือวิชากระบี่กระจ่างใจที่เป็นมรดกสืบทอดกันมา ซึ่งให้ความสำคัญกับความเป็นหนึ่งเดียวกันของสวรรค์และมนุษยชาติ [2] ดังนั้นไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน ร่างของนางก็ดูเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาพแวดล้อม ดูการเดินของนาง ทุกก้าวที่นางก้าวมีระยะที่ต่างกัน แต่ไม่มีสักก้าวที่ไม่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม พลังปราณฟ้าดินพัดผ่านร่างของนางจากด้านหน้าและผ่านเลยหลังของนางไป พลังปราณที่ว่าไม่กระทบนางสักนิด ทว่าเมื่อนางคิดขยับตัว พลังปราณฟ้าดินที่อยู่รอบด้านในระยะหลายลี้จะขยับตามที่ใจนางต้องการ… แน่นอนว่านี่ยังห่างไกลจากขอบเขตสูงสุดของเพลงกระบี่กระจ่างใจ ที่ผู้ฝึกจะสามารถสมานกายเข้ากับสิ่งแวดล้อม ส่วนตอนที่เจ้าเดิน ระยะการก้าวของเจ้าจะเท่ากัน ร่างของเจ้าเหมือนถูกปิดผนึกไว้ จนพลังปราณฟ้าดินรอบตัวไม่อาจแทรกซึมมาได้ ยกเว้นเพียงตอนโคจรพลังปราณฟ้าดิน และพลังอิทธิฤทธิ์ในตัวของเจ้าก็ดูจะไม่ไหลออกมา…เจ้าคิดว่าเป็นเพราะอะไร”

แม้เสี่ยวชีจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เมื่อนางให้เบาะแสมาขนาดนี้ มีหรือที่หวังลู่จะไม่เข้าใจ

วิชากระบี่กระจ่างใจเป็นวิชาเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา ในอดีตนั้นพลังปราณฟ้าดินรวมถึงโอกาสยังมีอยู่มากมาย ในตอนนั้นผู้บำเพ็ญเซียนมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม ตราบใดที่ความสามารถไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไป พวกเขาย่อมพัฒนาตนเองบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนได้เป็นผลสำเร็จ ยังไงซะสภาพแวดล้อมในตอนนั้นก็ดีเสียยิ่งกว่าดี ดังนั้นวิชาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจึงมักเน้นการผสานรวมกับธรรมชาติและใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ ส่วนวิชาไร้ลักษณ์นั้น… เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาที่กำเนิดขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แร้นแค้น ในช่วงที่มันถูกคิดค้นขึ้นมานั้น ผู้ที่คิดค้นต้องอยู่ในสภาวะกดดันใหญ่หลวงแน่

หากไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อสิบปีก่อนตอนที่นางเริ่มสอนวิชานี้ให้เขา นางจะกล่าวอย่างจริงจังว่าสิ่งสำคัญที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียนก็คือมีความแข็งแกร่งมากพอไปทำไม!

“แต่ข้าก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

เสี่ยวชียักไหล่ “เจ้าเดาไม่ได้หรือ มีเบาะแสตั้งมากมายขนาดนี้ เมื่อยี่สิบปีก่อนตอนที่ข้าออกสั่งสมประสบการณ์กับอาจารย์ของเจ้า แม้แต่ข้าที่เป็นคนเรียบง่ายตรงไปตรงมายังมองออกไม่น้อย แต่เจ้ากลับมองไม่ออกหรือ แม้ตอนนี้สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าจะรั้งท้ายสุดในบรรดาห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน แต่อย่างน้อยเมื่อสองร้อยปีก่อนก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามันอยู่ในยุคร่วงโรย และเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ก็รู้กันเป็นการภายในว่าเป็นยุคทองของสำนัก ศิษย์มากพรสวรรค์กว่าร้อยคนเปล่งประกายด้วยความหลักแหลมของพวกเขา เป็นภาพที่วิเศษที่สุด สำนักของเจ้าอาจไม่ได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นให้เจ้าฟัง แต่กับผู้คนที่คลุกคลีอยู่ในโลกบำเพ็ญเซียนมานานพอ พวกเขาส่วนใหญ่ย่อมต้องเคยยินได้ฟังอะไรมาบ้าง”

หวังลู่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก ในการบำเพ็ญเซียนตลอดสิบปี นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาลงจากเขามาเพื่อสั่งสมประสบการณ์ และครั้งแรกนั้นเขาก็ได้ลงมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาไม่ค่อยรู้จักคนในระดับสูงๆ ดังนั้นจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของยุคทองอะไรนี่มาก่อน

ทว่ามาถึงจุดนี้เขาก็น่าจะเดาเรื่องที่ตามมาได้แล้ว

จากผู้คนนับร้อยๆ คนในยุคทองนั้น มีเพียงคนในหอกระบี่นภาสิบคนเท่านั้นที่เหลือรอดมาได้ เห็นได้ชัดว่าสำนักกระบี่วิญญาณต้องเคยผ่านโศกนาฏกรรมที่ผิดธรรมดา ซึ่งทำให้พวกเขาไม่อาจปกป้องศิษย์อัจฉริยะได้ถึงเก้าส่วน สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ… บางทีตอนนั้นเหล่าบรรดาอาจารย์และเจ้าสำนักอาจต้องใช้ชีวิตเข้าแลกก็เป็นได้

ในส่วนของสำนักอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกห้าวิเศษหรือสำนักชั้นหนึ่งอย่างสำนักลักษณ์เรือนหมื่น นอกจากเจ้าสำนักและผู้อาวุโสในสำนักแล้ว ก็อาจมีผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกตนอย่างสันโดษด้วย คนพวกนี้มักเป็นรุ่นที่สูงกว่าเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสอยู่หลายรุ่น และบ่อยครั้งที่จำนวนและความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสชั้นสูงจะปรากฏอยู่ในรูปมรดกตกทอดของสำนัก

ทว่าสำนักกระบี่วิญญาณไม่มีผู้อาวุโสชั้นสูงเลยสักคนเดียว นอกจากเฟิงอิ๋นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่ในหอบรรพบุรุษ ไม่มีร่องรอยของผู้ที่ยังมีชีวิตอื่นใดให้เห็น ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ดึงดูดความสนใจไม่น้อย

และดูเหมือนว่ามันจะเป็นผลมาจากมหันตภัยในครั้งนั้น

และเพื่อที่จะรอดพ้นจากมหันตภัยดังกล่าว หวังอู่อาจารย์ของเขาก็ได้คิดค้นวิชาไร้ลักษณ์ขึ้นมา ตอนที่ผู้เป็นอาจารย์พูดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียนคือต้องเข้มแข็งให้มากพอ นางไม่ได้กำลังทำตัวเป็นอันธพาลหัวไม้ แต่ถ้อยคำดังกล่าวกลั่นมาจากก้นบึ้งของจิตใจนางต่างหาก

เป็นไปได้ว่าในสายตาของใครหลายคน วิชาที่ครอบคลุมเพียงการตั้งรับและการเอาตัวรอดนี้อาจจะดูน่าขำ ทว่าเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน ตอนที่คนแห่งยุคทองเกือบทั้งหมดแทบจะดับสูญไป หวังอู่ที่มีเพียงรากวิญญาณพื้นๆ กลับรอดชีวิตมาได้ เหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์กลับต้องตายในขณะที่หวังอู่ได้โลดแล่นอยู่บนโลก แค่เพียงปรายตามองทุกคนก็ย่อมรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เก่งกาจกว่า

จากนั้นก็ตามที่เสี่ยวชีพูด อาจารย์ของเขาชอบทุ่มสุดตัวในการจัดการสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพราะนางขยันและบากบั่นแต่ทั้งหมดเป็นเพราะหากนางไม่ทุ่มสุดตัว นางย่อมพบจุดจบอย่างแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้อาจารย์ของเขาจึงถือเป็นคนที่น่าเวทนาคนหนึ่ง… ทว่าบุคคลที่น่าเวทนาย่อมมีสถานที่ที่เกลียดชัง ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสิบของหอกระบี่นภา เก้าคนที่เหลือต่างเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา มีเพียงนางที่ทำตัวต่ำลงเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ตั้งใจจะทำตัวเช่นนี้ตั้งแต่แรก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้ยินเสี่ยวชีถอนหายใจ “คนรุ่นปัจจุบันของสำนักกระบี่วิญญาณถือว่าโชคดีอย่างแท้จริง”

หวังลู่ขมวดคิ้ว ทว่าก่อนที่จะทันได้เอ่ยปาก เขาก็เห็นว่าใบหน้าของเสี่ยวชีแข็งเกร็งขึ้น

อึดใจถัดมา เสียงเย็นเยียบไม่รื่นหูของเด็กสาวก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ในที่สุดก็เจอตัวจนได้”

เมื่อหันไปมอง หวังลู่ก็ได้เห็นชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งในชุดเทา ชายคนดังกล่าวดูแล้วอายุน่าจะประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีซึ่งถือเป็นวัยกลางคน แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิต… แม้หวังลู่ไม่อาจประเมินขั้นตบะของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำด้วยสายตา แต่เขาก็รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่ดูไม่ได้อ่อนเยาว์เช่นนี้น่าจะบำเพ็ญเซียนมามากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว

ชายผู้นี้แม้จะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่กลับไม่มีร่องรอยแห่งความเป็นมิตรในตัว ด้านหลังของเขาคือเด็กสาวตัวเล็กที่สวมผ้าคลุมขนาดใหญ่ซึ่งดึงหมวกมาปิดบังศีรษะและใบหน้าไว้… ทว่าหมวกนั้นสวมทับหูตั้งๆ สองข้างของนาง ความสูงและรูปร่างของเด็กสาวก็ดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก

นางคือเด็กสาวหูแมวตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายที่พวกเขาเจอเมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นเอง

เมื่อถูกคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ตามตัวเจอ หวังลู่ก็ขมวดคิ้ว กระบี่แห่งเขาคุน

พลันปรากฏขึ้นในมือ ตบะขั้นของเขายังไม่สูง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปกป้องตัวเองจากผู้มากฝีมือตบะขั้นสร้างแกนได้ ทว่าหากผนวกรวมกับกระบี่ตั้งรับของเขา แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสร้างแกนก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยในการทะลวงเข้ามา

เวลาที่ว่านั่นน่าจะเพียงพอให้เสี่ยวชีเปิดประตูเพื่อหลบหนี

ทว่าชายผิวสีน้ำผึ้งกลับเอ่ยขึ้น “เราไม่ได้มีเจตนาร้าย”

……………………………………….

[1] เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยในละครโทรทัศน์หลายเรื่องของประเทศฮ่องกง

[2] ทฤษฎีที่ว่ามนุษย์เป็นส่วนที่จำเป็นของธรรมชาติ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด