กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 30 เราต้องการผู้เชี่ยวชาญภาษาต่างชาติ

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 30 เราต้องการผู้เชี่ยวชาญภาษาต่างชาติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ตอนที่พวกเขาขึ้นมาจากทะเลสาบท้องฟ้าก็สว่างแล้ว

          เหนือทะเลสาบ ไม่มีทั้งเทพธิดา ไม่มีสัตว์เซียนภูตจันทรา มีเพียงเงาสะท้อนที่สั่นระริกของภูเขาและดวงอาทิตย์สีทอง

          แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ลมภูเขาที่มีกลิ่นหอมพัดผ่านร่างราวกับเป็นมือที่นุ่มนวลของหญิงสาว มันปัดน้ำที่ติดอยู่ตามตัวของคนซึ่งยืนอยู่ในทะเลสาบออกไป ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเล็กน้อย

          “เป็นฝันที่ยาวนานมาก”

          หลิวหลีที่ไร้ความกังวลว่ายกลับขึ้นฝั่งอย่างสุขใจ จากนั้นก็กวักมือเรียกหวังลู่ที่ยังคงอยู่ในทะเลสาบพลางร้องตะโกน “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ขึ้นมาเร็ว!”

          หวังลู่ขำออกมา หลังจากปรับเปลี่ยนลมหายใจ ร่างของเขาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจนกระทั่งทั้งร่างลอยค้างอยู่กลางอากาศราวกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีผลใดๆ กับเขา เท้าของชายหนุ่มสัมผัสกับผิวของทะเลสาบอย่างแผ่วเบา จนทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ กระจายออกรอบตัว

          พลังปราณฟ้าดินไม่รั่วไหลออกจากร่างของเขา แถมพลังอิทธิฤทธิ์ในกายก็แวววาวราวกับอัญมณี นี่เป็น…สัญญาณของตบะขั้นพิสุทธิ์แน่แล้ว

          ความจริงเขาคิดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้บรรลุตบะขั้นนี้ แต่หลังจากฝันไปหนึ่งตื่น สิ่งนี้กลับปรากฏขึ้นกับเขา หลิวหลีที่อยู่ไกลๆ ยิ้มออกมา ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วย ทำให้เมื่อครู่ที่นางว่ายกลับไปที่ฝั่ง ร่างของนางกลับไม่ได้สัมผัสกับน้ำในทะเลสาบเลย และหลังจากที่ขึ้นฝั่งได้แล้ว ร่างทั้งร่างก็ยังแห้งสนิท

          ทว่าแม้ขั้นตบะของเขาจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่หวังลู่กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นสักนิด

          เทพธิดาอวิ๋นไท่ไม่อยู่กับพวกเขาอีกแล้ว และสัตว์เซียนภูตจันทราก็หายตัวไป ราวกับว่าห้วงเวลาที่บิดเบี้ยวนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทว่าที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจลบร่องรอยบางอย่างที่ยังติดอยู่ในหัวใจออกไปได้…

          “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่านขึ้นฝั่งมาเร็ว!”

          หลิวหลีเรียกให้เขาขึ้นมาอีกครั้ง หวังลู่ปัดความหนักอึ้งในใจออกไปจากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้า รอยเท้าของชายหนุ่มทิ้งวงคลื่นไว้ใบผิวหน้าของทะเลสาบ ร่างของเขาเบาหวิวราวอากาศขณะที่พุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้า ล้อตัวอยู่ท่ามกลางสายลมก่อนจะมาถึงยังพื้นดิน

          วิชาไร้ลักษณ์ไม่เคยขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว แต่ตอนนี้เขากลับสามารถ ‘ก้าวย่างอย่างสง่างามบนเกลียวคลื่น’

          “ยินดีด้วยที่ได้รับโอกาสแห่งเซียน”

          ที่บนฝั่ง นักบวชเซียนเนื้อสุนัขที่นั่งอยู่ข้างๆ เตาย่างและกำลังย่างเนื้อหมูป่า พูดทักทายส่งยิ้มให้หวังลู่

          ในฐานะศิษย์พี่ที่ขั้นตบะของร่างจริงบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายแล้ว นางย่อมต้องรู้ว่าก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตั้งแต่ห้วงเวลาที่บิดงอในทะเลสาบมรกตรวมไปถึงร่างของเทพธิดาอวิ๋นไท่ที่ค่อยๆ สลายไปบนผิวของทะเลสาบ… ดังนั้นนางจึงเข้าใจสีหน้าที่ไม่สู้ดีของหวังลู่ได้ดี

          ทว่านี่คือโอกาสแห่งเซียน บนเส้นทางการบำเพ็ญเซียน มีสิ่งที่คล้ายคลึงสิ่งเหล่านี้อยู่มากมาย การลาจากตลอดกาลถือเป็นเรื่องปกติ และนางเชื่อว่าหวังลู่เองก็รู้ดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่นางจะต้องปลอบใจอีกฝ่าย

          เป็นไปตามคาด ทันทีที่หวังลู่สาวเท้ามาถึงเตาย่าง สีหน้าไม่สู้ดีของเขาก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่มีมาแต่ดั้งเดิม

          “ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว”

          “สองวัน” เสี่ยวชีกล่าว “อย่างที่เจ้าคาดการณ์ไว้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่มากวนเราแม้แต่น้อย”

          ขณะฉีกขาหลังของหมูป่า หวังลู่ก็อธิบาย “เป็นเรื่องปกติ สหายอาเซี่ยย่อมพยายามอย่างหนักให้เรื่องเป็นแบบนี้”

ก่อนหน้านี้หวังลู่สรุปไว้ว่าหลังจากการต่อสู้กันที่หุบเขา อาเซี่ยจะพยายามปกปิดความล้มเหลวของตัวเองอย่างเต็มที่และคอยมองหาโอกาสที่จะกลับมาเอาคืน ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ก็ย่อมไม่ตกอยู่ในอันตราย และข้อสรุปนี้ก็ก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ

          “ความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้านี่สูงเหลือเกิน”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “ท่านว่าความฉลาดทางอารมณ์ของข้าสูงหรือ งั้นท่านก็ต้องชมระดับสมองของหลิวหลีด้วยนะ”

          เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิวหลีที่กำลังแทะขาหมูอยู่ก็เงยหน้าขึ้น “จริงหรือ จริงหรือ”

          “แน่นอนว่าไม่ เจ้ามันจอมทึ่มจะตาย” หวังลู่ทำร้ายจิตใจศิษย์น้องหญิงอย่างไม่คิดปรานี จากนั้นก็พูดกับเสี่ยวชีต่อ “ถ้าท่านลองสวมรองเท้าของคนอื่นดู ท่านก็จะได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน ลองคิดดูนะ หากท่านเป็นราชาพยัคฆ์ หากท่านมีผู้อาวุโสที่ไร้ยางอายและเห็นแก่ตัวอยู่ในปกครอง ท่านจะยังหวังว่าหลังจากที่คนผู้นั้นได้ทำสิ่งที่เป็นภัยต่อสำนักไปแล้วเขายังจะมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังหรือ”

          “…แน่นอนว่าไม่”

          “ดังนั้นมันก็สรุปได้ง่ายมาก… แต่เหลือเวลาอีกแค่สามวันก็จะถึงวันที่สิบห้าแล้ว ต่อให้เขาประวิงเวลาได้นานขนาดนั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็น่าจะเดาวิธีที่เขาจะใช้คร่าวๆ ได้ ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องตระหนกไป”

          “ไม่จำเป็นต้องตระหนก?”

          เด็กสาวหูแมวปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกองไฟโดยที่พวกเขาไม่ทันคาดคิด นางกล่าวเสียงเบา “ข้าตรวจสอบมาแล้ว ปลอกคอสัตว์ภูตจะสำเร็จในไม่ช้า และอีกไม่นานก็จะมีการเปิดใช้ค่ายกลค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย ดังนั้นเวลาของเรา…”

          “ไม่มีปัญหา เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปลอกคอสัตว์ภูต ให้พวกเขาหลอมต่อไปเถอะ ส่วนค่ายกลค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมายเองก็ไม่ใช่ปัญญา พวกเขาอยากทำก็ให้ทำไป”

          คราวนี้แม้แต่เสี่ยวชีก็รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของหวังลู่ “ให้พวกเขาทำไป?”

          “อีกอย่างหนึ่งเราเองก็ไม่มีปัญญาจะไปหยุดพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปลอกคอสัตว์ภูตหรือค่ายกลค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย พวกเขาต้องปกป้องของเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังแน่ ดังนั้นไม่ว่าเราคิดจะทำลายสิ่งใด ย่อมได้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนทั้งสิบและตบะขั้นกำเนิดใหม่อีกหนึ่งอย่างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ ความต่างนั้นมีอยู่น้อยมาก”

          หวังลู่พูดจากนั้นก็ขำออกมา เขาเน้นเสียงประโยคสุดท้ายที่ว่าความต่างนั้นมีอยู่น้อยมาก

          เสี่ยวชีกล่าวเตือน “เจ้าและหลิวหลีต่างมีพรสวรรค์สูงล้ำ และความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเจ้าก็มีมากกว่าที่เห็นภายนอกมากนัก ทว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์นั้นไม่ใช่สำนักสวะ โดยเฉพาะผู้อาวุโสสูงสุดตบะขั้นกำเนิดใหม่นั่น ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาเลย”

          “ข้ารู้ ระดับของเขาคือ แปดกำเนิดใหม่ +1 แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะน่าพอใจ แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่มีประสิทธิภาพและใช้การไม่ได้มีมากเกินไป หากพวกเราร่วมมือกัน และทำตามที่ข้าบอก ก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะชนะ”

          เสี่ยวชีตกใจ “นี่ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา คนผู้นั้นเป็นถึงสัตว์ประหลาดตบะขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้ไม่นับรวมสัตว์ภูตในครอบครอง ลำพังแค่เขาก็…”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “เขาน่ะใช่ตบะขั้นกำเนินใหม่แน่ แต่เรื่องที่เป็นสัตว์ประหลาดอะไรนั่นจะใช่แน่หรือ เมื่อเทียบกับพวกสัตว์ประหลาดตัวจริงเสียงจริงบนเขากระบี่วิญญาณที่มีความแข็งแกร่งเฉลี่ย +20 หมอนั่นก็เป็นได้แค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น! ตอนนี้ระดับของข้าอยู่ที่เก้าพิสุทธิ์ +24 และหลิวหลีอยู่ที่เจ็ดพิสุทธิ์+21 หากเราสองคนร่วมมือกัน ต่อให้ยัยเด็กแมวทึ่มนั่นจะมีตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย แต่เราก็สามารถซัดนางจนน่วมได้ แถมเอาเข้าจริงราชาพยัคฆ์นั่นก็ไม่ได้เจ๋งขนาดนั้นด้วยซ้ำ”

          เสี่ยวชีอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นก็ถามขึ้น “เจ้ายังมีไพ่ตายอยู่ในมืออีกใช่ไหม”

          “ถูกต้อง ข้าเองก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ แต่ข้ายังใช้มันไม่ได้จนกว่าจะมีตบะขั้นพิสุทธิ์เสียก่อน ดังนั้นก็เลยยังไม่ได้เริ่มฝึก แต่ข้าเชื่อว่าพลังของมันย่อมลืมไม่ลงแน่นอน”

          “…ก็ดี ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก” จากนั้นเสี่ยวชีก็หันกลับไปกินอาหารของนางเงียบๆ โดยไม่ใส่ใจอีก ความจริงแล้วตั้งแต่ที่นางได้เจอหวังลู่ ในฐานะศิษย์พี่ นางจึงทำตัวเป็นผู้ปกครองด้วย นางไม่เคยขวางการตัดสินใจของหวังลู่ ไม่เคยพูดจาโน้มน้าว หรือทำให้เขาสับสน มีเพียงยามจำเป็นเท่านั้นที่นางจะใช้ความแข็งแกร่งเข้าช่วย

          “สรุปก็คือ ครั้งนี้ข้าตั้งใจจะใช้กำลังเข้าสู้ ไม่มีเล่ห์เพทุบายอะไรทั้งนั้น มีแค่การปะทะกันซึ่งๆ หน้า” หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทว่ากลยุทธ์นี้ก็มีเล่ห์กลในตัวของมันอยู่ คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ พวกสวะไร้ค่าเหล่านั้นย่อมไม่คาดคิดว่าข้าจะเผชิญหน้ากับพวกเขาซึ่งๆ หน้า และการจัดการกับศัตรูโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการสู้รบที่มีประสิทธิภาพ”

          “หนำซ้ำมันจะเป็นประโยชน์กับเราหากเราลงมือในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด เพราะวันนั้นคนส่วนหนึ่งของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะประจำอยู่ที่ค่ายกลหมื่นวิญญาณเล็งเป้าหมาย อีกส่วนหนึ่งจะคอยเฝ้าดูการปรากฏตัวของเรา อีกส่วนจะป้องกันการรบกวนของสำนักมังกรขาวและสำนักอื่นๆ และอีกส่วนก็จะพยายามจับสัตว์เซียนภูตจันทรา การทำหลายหน้าที่ไปพร้อมๆ กันแปลว่าพวกเขาจะไม่คล่องตัวนัก ถ้าเราพุ่งเป้าอยู่กับการโจมตีจุดใดจุดหนึ่ง เราย่อมมีโอกาสชนะพวกเขาได้แน่”

          เสี่ยวชีไม่กล่าวอะไร แต่ในใจนางก็คิดตามไปด้วย วันนั้นย่อมเป็นวันที่ดีงามสำหรับคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เช่นกัน เพราะจะเป็นวันที่การเตรียมการต่างๆ ของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์ และคนหนึ่งอาจจะต้องแบ่งร่างทำงานถึงสิบร่าง…

          ทว่าหวังลู่จะคิดไม่ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงน่าจะมีแผนการรับมือเอาไว้แล้ว

          เป็นเรื่องยากที่นางจะทำใจเชื่อได้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนจากยอดเขาไร้ลักษณ์คิดจะโจมตีศัตรูซึ่งๆ หน้า

          ทว่าหวังลู่ก็ทำท่าราวกับว่ามีแผนการซุกซ่อนไว้แล้วในแขนเสื้อ ขณะที่กินเนื้อย่างอยู่นั้น บางครั้งเขาก็หัวเราะชั่วร้ายออกมา

          พอสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา หวังลู่ก็ทำไม้ทำมือ “เราจะปักหลักอยู่ที่นี่กันอีกสองสามวัน แล้วพอถึงวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดเราจะทำการใหญ่กัน”

——

          สองวันผ่านไปราวกะพริบตา

          ภูเขาไกลโพ้นโอบอุ้มดวงอาทิตย์แดงฉานเอาไว้ ก่อนที่แสงสลัวยามกลางคืนจะมาถึง พลังปราณฟ้าดินก็เริ่มมีปฏิกิริยา มันส่งเสียงดังกึงก้องไม่หยุด

          หวังลู่ หลิวหลี เสี่ยวชี ฉวนโจ่วฮวาและเด็กสาวหูแมว… ต่างเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย แต่ละคนจัดการให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยมที่สุด แม้แต่เด็กสาวหูแมวก็ได้เสี่ยวชีช่วยฟื้นฟูพลังขึ้นมาถึงหกเจ็ดส่วน ด้วยพลพรรคเหล่านี้ ไพ่ในมือของหวังลู่ก็ถือว่าค่อนข้างมีประสิทธิภาพที่จะรับมือกับราชาพยัคฆ์ตบะขั้นกำเนิดใหม่

          ทว่านั่นเป็นกรณีที่พวกเขาสู้กับราชาพยัคฆ์ลำพังเท่านั้น หากอีกฝ่ายเรียกสัตว์ภูตมาร่วมทัพ พลพรรคของหวังลู่ก็ยังถือว่าห่างชั้น

          “ถ้าอย่างนั้น…” หวังลู่ในฐานะผู้นำยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจราวกับว่าชัยชนะตกอยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว “มาทำภารกิจสุดท้ายในปฏิบัติการครั้งนี้ให้สำเร็จกันเถอะ”

          เขาเหลือบสายตาไปยังทะเลสาบมรกต

          “สัตว์เซียนภูตจันทรา เจ้าได้ยินข้าไหม”

          สุนัขวิเศษสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ ปรากฏร่างขึ้นบนผิวของทะเลสาบ จากนั้นก็นอนลงบนผิวน้ำอย่างเงียบๆ ดวงตากระจ่างทั้งคู่จ้องมองมาที่หวังลู่

          หวังลู่พูดขึ้น “มากับเรา เราจะพาเจ้าไปยังที่ที่สุดอันตราย แต่มีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่เจ้าจะเปลี่ยนร่างและหลุดพ้นจากพันธนาการได้”

          สัตว์เซียนภูตจันทรามองอีกฝ่ายนิ่งเงียบ สีหน้าไม่แสดงอาการยินดีหรือเสียใจ ทว่าท่าทีเมินเฉยนี้ก็ถือเป็นคำตอบได้เช่นกัน

          “เจ้าจะบอกว่าเปลี่ยนร่างได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญงั้นหรือ อย่าตลกไปหน่อยเลย เทพธิดาอวิ๋นไท่ไม่ลังเลสักนิดที่จะสละชีวิตเพื่อทำความปรารถนาของนางให้เป็นจริง นั่นก็คือให้เจ้าได้เปลี่ยนร่างโดยสมบูรณ์ แม้เจ้าซึ่งเป็นวิญญาณของที่นี่จะยังไม่โตเต็มที่ สติปัญญายังไม่ก่อรูปอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะตระหนักได้ถึงความตั้งใจดีของนาง จริงไหม อีกอย่างหากเจ้าติดแหง็กอยู่ในร่างนี้ไปตลอดชีวิต มันจะไม่ยิ่งทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเทพธิดาอวิ๋นไท่ว่าสาวงามอย่างนางมีลูกเป็นสุนัขหรอกหรือ! เจ้าทำตัวคู่ควรกับการที่นางดูแลทะนุถนอมมาหกสิบปีแล้วรึไง”

          เสี่ยวชีขัดจังหวะขึ้น “เฮ้ ข้าว่าคำพูดเกลี้ยกล่อมของเจ้าฟังดูพิกลๆ ไปหน่อย”

          หวังลู่เมินคำพูดของอีกฝ่ายแล้วกล่าวต่อ “วิญญาณภูเขาแห่งเขาอวิ๋นไท่เกิดมาไร้ชื่อ นางถือเอาชื่อเขาอวิ๋นไท่เป็นชื่อตัวเองมากกว่าพันปี ทว่านางกลับตั้งชื่อให้เจ้าว่าซือเสวียน เจ้ารู้ไหมว่าทำไม นั่นเพราะเจ้าได้อภิสิทธิ์ที่จะมีรูปมีร่างขึ้นเพราะแสงจันทร์เมื่อหกสิบปีก่อน มันเป็นโอกาสที่สิ่งมีชีวิตมากมายในอาณาจักรเก้าแคว้นไม่เคยได้รับ แม้เขาอวิ๋นไท่จะเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ แต่มันก็ไม่ใช่ที่อยู่ที่เหมาะสมของสัตว์เซียน ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องไปจากที่นี่”

          สัตว์เซียนภูตจันทราเอียงคอ ราวกับว่ากำลังแสดงท่าทีดื้อดึง

          หวังลู่แนะนำอีกฝ่าย “ตอนนี้เจ้าอาจจะรู้สึกว่ามันยุ่งยาก แต่เทพธิดาอวิ๋นไท่ก็ไม่อาจคืนชีพได้อีกแล้ว และยิ่งไม่อาจเปลี่ยนชะตาของเจ้าที่จะตกเป็นทาสของมนุษย์ได้ แต่นี่เจ้ากลับทำให้นางต้องสังเวยชีวิตอย่างสูญเปล่าโดยไม่มีเหตุผล เจ้ามันช่าง…”

          สัตว์เซียนจันทรายังคงเมินเฉย

          หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนร่าง เลยฟังภาษาข้าไม่ออกใช่ไหม”

          “…?”

          หวังลู่นิ่งคิดอีกครั้งจากนั้นก็หยิบกระดูกออกมาจากย่ามสีเหลือตุ่น “มานี่เร็ว”

          สัตว์เซียนจันทราลุกขึ้นยืนและก้าวเท้าออกมาบนผิวน้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด