กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 13 จดหมายที่มาพร้อมความกดดันหลายหมื่นชั่ง

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 13 จดหมายที่มาพร้อมความกดดันหลายหมื่นชั่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ในภูเขาฝั่งตะวันตกของแดนปรลัย เปลวไฟของหยกเรืองแสงค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มหมดหวังและไม่มั่นใจ

“…อาจารย์ ข้ารอไม่ได้หรอก”

“โอ้ เจ้ายังเด็กยังเล็ก ทำไมถึงรอไม่ได้กัน แค่วันสองวันเท่านั้น เจ้าเอาตัวรอดจากที่นั่นมาได้ตั้งเป็นปี รออีกแค่วันสองวันจะเป็นไร เอาละ ไว้ค่อยเจอกัน”

“เฮ้ เฮ้ ข้าจะตายอยู่แล้วเนี่ย”

“แล้วเจ้ามัวพล่ามใส่ข้าอยู่ทำไมเล่า รีบรักษาชีวิตตัวเองเข้าซี่!”

เมื่อดูท่าว่าพวกเขาสนทนากันไม่เข้าใจ หวังลู่ก็หมดทางเลือก “อาจารย์ ท่านรับ ‘แขก’ อยู่งั้นหรือ”

“แค่ก!”

เสียงอีกฝ่ายกระอักเลือดทำให้หวังลู่สบายอกสบายใจขึ้นมาก

“เจ้าศิษย์ชั่วช้า เจ้ากล้าพูดจาใส่ร้ายข้ารึ”

“ท่านเปล่ารับแขกอยู่หรอกหรือ ด้วยระดับศีลธรรมในตัวท่านแล้ว ข้าว่ามันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลทีเดียวนะ”

“ความจริงข้าตั้งใจใช้คำถามยั่วยุเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ สิ่งใดกันที่ทำให้ท่านยุ่งมากเสียจนไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์ตัวเอง หากไม่ใช่กำลังรับ ‘แขก’ อยู่”

เกิดความเงียบขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่อีกฝ่ายจะถามเพื่อความแน่ใจ “นี่เจ้าอยู่ในอันตรายจริงหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดล่วงละเมิดทางเพศอาจารย์ตัวเองเพราะไม่มีอะไรจะทำหรอกใช่ไหม”

หวังลู่แหกปาก “บิดาท่านสิ ข้าเผายันต์นภารวมตัวเพื่อที่จะสนทนากับท่าน ยันต์ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวชิ้นนี้ราคาเท่ากับเงินเดือนของท่านทั้งปี ทำไมข้าต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นเพื่อลวนลามท่านด้วย”

คราวนี้เสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็เริ่มร้อนรนขึ้น “เดี๋ยวนะ เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าใช้ยันต์นภารวมตัวจริงหรือ งั้นรอแป๊บนึง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ”

ไม่กี่อึดใจถัดมา คลื่นระลอกใหญ่ก็พัดโหมขึ้นมาในกระแสน้ำทมิฬที่ไร้ขอบเขต ในสถานที่ที่เงียบสงัดเช่นนี้ แน่นอนว่าคลื่นดังกล่าวเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่าย ผ่านไปพักหนึ่ง รูหนึ่งปรากฏขึ้นบนกระแสน้ำทมิฬ ลำแสงเจิดจ้าสาดส่องเข้ามา จากนั้นร่างของหญิงสาวในชุดขาวที่ยืนอยู่บนกระบี่ไม้ไผ่ก็เคลื่อนลงมาจากฟากฟ้า ลำแสงสีทองของดวงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วสถานที่แห่งนี้ กระแสน้ำทมิฬบนภูเขาฝั่งตะวันตกดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะสลายไป ทำให้เหล่าวิญญาณทรงพลังต้องถอยรนไปอย่างเร่งรีบ แต่ตัวที่อ่อนแอกลับไม่มีโอกาสรอด ภายใต้แสงแห่งดวงอาทิตย์ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องแสบหูขณะที่ร่างระเหยกลายเป็นควัน ไม่นานนักพวกมันก็สลายไป

เหล่าวิญญาณร้ายที่สร้างความหวาดผวาให้สิ่งมีชีวิตบนภูเขาฝั่งตกวันตกซึ่งมาพร้อมกระแสน้ำทมิฬทุกๆ สิบวันก็แตกดับไปทั้งอย่างนั้น

เจ้าสุนัขพันทางอ้าปากค้าง จ้องมองลูกบอลสีทองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกกว้างอยู่พักใหญ่ จนน้ำตาของมันไหลพรากเพราะแสงที่เจิดจ้าจนเกือบทำให้ตาของเจ้าสุนัขบอด มันจึงยอมเบนสายตาออกไป

ความวิตกของท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติเห็นได้อย่างเด่นชัดในระยะไกล แสงสีเขียวสว่างวาบตรงหน้าของหวังลู่

“ศัตรูอยู่ไหน”

หวังลู่มองหน้าหญิงสาวอย่างเงียบเชียบ

“ไหนเจ้าบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แล้วไหนศัตรูของเจ้าเล่า”

หวังลู่ยังคงจ้องมองนางโดยไม่ปริปากพูด ความรู้สึกของเขาผสมปนเปกันไปหมด

ผู้เป็นอาจารย์มองไปรอบๆ และใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมตรวจสอบสถานที่รอบด้าน ครู่ถัดมา ดวงตาของนางก็กลับมาจับจ้องที่หวังลู่ นางขมวดคิ้วจากนั้นก็เอ่ยปากถาม “แปลกมาก เจ้าก็ยังดูดีอยู่ หนำซ้ำร่างของเจ้ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังไม่เหมือนคนที่บาดเจ็บหนักใกล้ตายสักนิด หือ แขนซ้ายเจ้าไปไหน โดนตัดงั้นรึ”

หวังลู่ถอนหายใจ “อาจารย์ ท่านนี่งี่เง่าบรม”

อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของผู้เป็นอาจารย์ ประตูของแดนปรลัยจึงเปิดออก และการเดินทางตลอดหนึ่งปีของเขาก็สิ้นสุดลง

หวังลู่หอบหิ้วเจ้าสุนัขและของที่ได้มาจากภูเขาฝั่งตะวันตกเดินทางกลับเขากระบี่วิญญาณอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

ระหว่างทาง หวังลู่คิดจะเล่าประสบการณ์ที่เขาพบเจอให้ผู้เป็นอาจารย์ฟัง แต่เมื่อคิดดูอีกที การพูดพล่ามให้หญิงไร้ศีลธรรมผู้นี้ฟังดูท่าจะเหนื่อยเปล่า

“เจ้าเก็บสุนัขได้หรือ”

เจ้าสุนัขหน้าโง่ยิ้มประจบ “โฮ่งๆ”

ผู้เป็นอาจารย์เหลือบสายตาไปด้านข้าง “อ๋อ หรือจะเป็นแหล่งอาหารสำรองของเจ้า”

สายตาของเจ้าพันทางจอมทึมขุ่นเคืองขึ้นทันที

หวังล่ครุ่นคิด “สติปัญญาของเจ้านี่ต่ำเกินไป กินไม่ได้”

“เช่นนั้นเจ้าก็หาโอกาสมอบเจ้านี่ให้เป็นของขวัญกับศิษย์พี่หลิวหลีของเจ้าสิ สมองของนางอาจจะกระเตื้องขึ้นมาหน่อยก็ได้”

“…ว่าแต่ ข้าฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมสำเร็จแล้ว”

“อ้อ ช้ากว่าที่คิดไว้นะ หืม”

“อืม ข้าฝืนมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรเสียเจ้าก็ก้าวหน้าไปมาก ดึงช้าสักหน่อยก็จะช่วยให้อารมณ์ของเจ้ามั่นคงขึ้น แต่เห็นเจ้ามีพลังดั้งเดิมไหลพล่านตัวเช่นนี้ อีกไม่นานเจ้าคงจะบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงแน่ๆ”

การต่อสู้กับแม่ทัพซากศพพิษทมิฬทำให้หวังลู่ต้องปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมออกมามากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง การได้มาซึ่งพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาจากการผลาญอายุขัยดั้งเดิมจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างโดยรวมของใต้ฐานวิหาร สำหรับผู้ที่รากฐานยังไม่ลึกซึ้ง ผลกระทบเช่นนี้อาจพอๆ กับการบาดเจ็บภายในรุนแรง ส่วนคนที่มีรากฐานปานกลาง การใช้โอสถช่วยรักษาอาการนี้อาจเป็นโชคดีในโชคร้าย เพราะมันช่วยเร่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างก้าวกระโดด… ทว่าการบำเพ็ญเซียนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้กลับเป็นเพียงสิ่งลวง เพราะมันได้แยกการฝึกพลังอิทธิฤทธิ์ออกจากขั้นบำเพ็ญเซียนอย่างสิ้นเชิง ทำให้ไม่อาจพัฒนาได้ก้าวไกลในภายภาคหน้า เฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนที่มีรากฐานมั่นคงเท่านั้นที่จะขจัดอาการนี้และพัฒนาความเร็วในการบำเพ็ญเซียนต่อไปได้

ด้วยรากฐานที่ลึกซึ้ง หวังลู่ขจัดอาการดังกล่าวได้หมดสิ้นพักใหญ่แล้ว… ข้อบกพร่องเรื่องการขาดการฝึกฝนพลังอิทธิฤทธิ์ก่อนหน้านี้ก็ถูกทดแทนด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นโชคดีในโชคร้ายของเขาจริงๆ สิ่งเดียวที่กวนใจหวังลู่อยู่เล็กน้อยก็คือแผนเดิมที่เขาตั้งใจจะกระตุ้นการตั้งรับเพื่อบรรลุสู่เส้นแบ่งเขตของตบะขั้นฝึกปราณระดับห้าซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่วางแผนไว้…

แต่จากการคำนวณของผู้เป็นอาจารย์ ตราบที่เขารักษาอาการบาดเจ็บและซ่อมแซมฐานวิหารเรียบร้อย เขาย่อมบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงแน่นอน

“จะว่าไป เร่งบำเพ็ญเซียนสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี หนึ่งปีที่เจ้าไม่อยู่นี้ มีการประชุมที่หอกระบี่นภาอยู่บ่อยครั้ง หัวข้อการประชุมส่วนใหญ่เน้นไปที่เรื่องว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษาของเหล่าศิษย์ดีหรือไม่”

หวังลู่สงสัยไม่น้อย “หือ?”

“พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาต้องการเร่งระดับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ สำนักกระบี่วิญญาณของเรานั้น มุ่งเน้นไปที่รากฐานที่แข็งแรงมานมนาน ไม่บุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างมุทะลุ… แต่จะว่าไป ระดับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ก็ไม่ถือว่าช้า โดยทั่วไปภายในสิบปีก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้ แถมพวกเขายังพัฒนาจากตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าสู่ตบะขั้นสร้างฐานระดับหนึ่งได้อย่างราบรื่น ซึ่งหาไม่ได้จากสำนักทั่วๆ ไป”

หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย จะว่าไปแล้ว ยิ่งระดับบำเพ็ญเซียนสูงก็ยิ่งฝึกได้ช้า ทว่าสำนักกระบี่วิญญาณนั้นรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าการพัฒนาของเหล่าศิษย์จะเป็นไปอย่างราบรื่น นั่นเป็นเพราะสำนักควบคุมอัตราความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ ซึ่งช่วยให้พวกเขามีรากฐานที่มั่นคงและสามารถท้าประลองกับคู่ต่อสู้ต่างขั้นได้ไม่ยาก

“ทว่าแม้การบรรลุตบะขั้นสร้างฐานภายในสิบปีจะถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับสำนักทั่วไป แต่ใครให้เราเป็นหนึ่งในห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนเล่า ในเหล่าห้าวิเศษ สำนักเราถือว่าค่อนข้างช้า สำนักที่เร็วที่สุดคือสำนักจอมทัพกษัตริย์ ศิษย์ของสำนักนั้นใช้เวลาเพียงสามปีก็บรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว บ้าบอชะมัด! ส่วนสำนักอื่นๆ มาตรฐานของสำนักเซิ่งจิงคือหกปี เจ็ดปีสำหรับสำนักเซียนหมื่นเวท สำนักที่ช้าที่สุดคือสำนักคุณหลุนซึ่งใช้เวลาแปดปี แต่สำนักกระบี่วิญญาณของเรานั้นรั้งท้าย”

หวังลู่เหยียดยิ้ม “เราก็รั้งท้ายมาตั้งนานแล้ว ทำไมจู่ๆ พวกท่านถึงได้มาสนอกสนใจเปรียบเทียบเอาป่านนี้เล่า”

ผู้เป็นอาจารย์ยักไหล่ “ก่อนหน้านั้นเป็นเราเองที่ไม่คิดจะเปรียบเทียบ เคราะห์ร้ายมีบางคนเข้ามาหวังจะตบหน้าเรา แม้เราจะอดทนต่อความอับอายมาได้ตั้งหลายปี แต่เรื่องนี้ทำให้เราหมดความอดทน”

หวังลู่เริ่มสนอกสนใจขึ้นมา “ใครกันที่คิดจะตบหน้าเรา บอกข้ามาเร็วเข้า”

“ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสหลายคนต้องเข้าร่วมการชุมนุมพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้อาวุโสบางคนจากสำนักอื่นอ้างว่าคนจากสำนักเขาสามารถบรรลุขั้นสร้างฐานได้ภายในเวลาสามถึงสี่ปี หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเซียนอัจฉริยะในระดับเดียวกันอยู่หลายขุม ความจริงแล้วพวกเขาแค่พูดสัพเพเหระออกมาเพื่อฆ่าเวลาตอนพักจิบชา ทว่าคนอื่นๆ กลับเก็บเอามาใส่ใจ หลังจากเริ่มประชุมต่อ กลายเป็นว่าพวกเขาอยากจะคุยเรื่องนโยบายการศึกษาของสำนักไปเสียได้ ช่างน่าขำชะมัด”

หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจอย่างจริงจัง “เราควรสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่”

“ใครว่าข้าไม่สนับสนุน แต่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินควบคุมแล้ว เมื่อสองสามวันก่อน มีจดหมายทางการมาจากสำนักเซียนหมื่นเวท บอกว่าอยากจัดกิจกรรมระหว่างสำนักขึ้น… สองสามวันมานี้เจ้าสำนักจ้างให้ข้าทำงานล่วงเวลาทั้งวันทั้งคืน ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าสุขสบายดี แค่อยากลวนลามข้าเล่น ข้าเลยโมโหจนแทบกรี๊ดออกมา”

หวังลู่เมินถ้อยคำร้องทุกข์ของอีกฝ่ายและถามต่ออย่างสงสัย “กิจกรรมอะไร จับคู่นัดบอดหรือ เช่นนั้นก็รับคำเลย บอกให้พวกเขาคัดเอาผู้บำเพ็ญเซียนสาวคุณภาพดีมาหลายๆ คนล่ะ”

“…ขอมากไปแล้ว อัตราส่วนระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนชายกับผู้บำเพ็ญเซียนหญิงคือสิบต่อหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงน่ะมีค่ามากกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกเจ้ารู้ไหม แต่ถ้าหากเจ้าต้องการผู้บำเพ็ญเซียนชายใจหญิงละก็ นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง”

“เวรเถอะ เช่นนั้นพวกเขาจะมาทำไม กิจกรรมอะไรที่พวกเขาเสนอมา”

ผู้เป็นอาจารย์เหยียดยิ้ม “จะเป็นอะไรได้อีกเล่า ก็ต้องเป็นการประลองแหงล่ะ”

“ยังไง ชิงธงหรือสู้จนตายไปข้างหนึ่ง หรือเป็นการแข่งกันปีนบันไดสู่สวรรค์”

“…ไม่เกินจริงขนาดนั้นหรอก ก็แค่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนหน้าใหม่ของแต่ละสำนักมาประลองกันบนลานประลองก็เท่านั้น ใครที่ชนะก็จะคุยโวได้ว่าสำนักตนดีงามกว่าอีกฝ่าย ทว่าครั้งนี้ จำกัดตัวผู้แข่งขัน นั่นคือพวกเขาต้องบำเพ็ญเซียนไม่ถึงสิบปี”

หวังลู่ย่นคิ้ว “กฎอะไรเช่นนี้ สำนักเซียนหมื่นเวทต้องการเห็นมือใหม่สู้กันอย่างนั้นหรือ”

“แล้วเราจะเลือกอะไรได้ ตอนนี้พันธมิตรหมื่นเซียนให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นใหม่ ผู้บำเพ็ญเซียนที่บำเพ็ญเซียนมาได้สิบปีอายุก็จะประมาณยี่สิบห้าปี เมื่ออิงตามที่พวกเขาบอก การจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าคนยุคทอง สำนักจึงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในการบำเพ็ญเซียนให้กับผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ ประเด็นหลักอยู่ที่การผลักผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นเยาว์ไปสู่แสงไฟ หากสำนักมีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพรสวรรค์ สำนักจะยินดียิ่งกว่าที่ผู้อาวุโสบรรลุขั้นเปลี่ยนวิญญาณเสียอีก”

หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย “เช่นนั้นก็แปลว่าข้านำมาความรุ่งโรจน์มาสู่สำนักน่ะสิ”

“เจ้า?” ผู้เป็นอาจารย์ส่งสายตาดูหมิ่นดูแคลนขนาดหนักมาให้อีกฝ่าย “สวะที่บำเพ็ญเซียนมาห้าปีแต่บรรลุได้เพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้อัจฉริยะตัวจริงอย่างเจ้าน่ะหรือ ครั้งนี้ศิษย์มากพรสวรรค์ซึ่งสำนักเซียนหมื่นเวทตระเตรียมที่จะพามาด้วยชื่อว่าจ้านจื่อเย่ ภายในแปดปีคนผู้นั้นบรรลุถึงขั้นสร้างฐานระดับกลาง มากกว่าเจ้าถึงหนึ่งขั้นเลยเชียวนะ”

หวังลู่ปัดประเด็นนี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี “เดี๋ยวนี้น่ะ การที่ข้าจะประลองกับคนที่มีขั้นตบะมากกว่าหนึ่งขั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”

“…ถ้าแค่ด้านตั้งรับมันก็ใช่ แต่เจ้าเอาอะไรมามั่นใจว่าตัวเอาจะเอาชนะผู้ที่สูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้นได้”

“…ท่านว่าข้าทำไม่ได้หรือ”

“เหลวไหล นอกจากพวกมุทะลุอย่างสำนักจอมทัพกษัตริย์แล้ว เดี๋ยวนี้พวกอัจฉริยะในสำนักชั้นนำคนไหนบ้างที่ไม่ได้เก่งกาจจริงๆ แม้ข้าจะยังไม่เจอเจ้าจ้านจื่อเย่อะไรนั่น แต่จากสามัญสำนึกแล้ว เจ้านั่นเองก็ย่อมท้าประลองข้ามขั้นได้เช่นกันซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้น…”

หวังลู่พูดขัดขึ้น “ดังนั้นการแข่งขั้นระหว่างสำนักในครั้งนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าใช่ไหม”

ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้เป็นอาจารย์ก็ทำให้เขาตาโตขึ้นมาทันที

“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ตรงกันข้าม มันเกี่ยวกับเจ้ามากเลยทีเดียว”

“ข้า?”

อาจารย์ของเขาพยักหน้าและยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้

“นี่คือจดหมายส่วนตัวที่แนบมากับจดหมายทางการของสำนักเซียนหมื่นเวท มันสำหรับเจ้า”

หวังลู่รับจดหมายไปอย่างสงสัย

จาก ไห่อวิ๋นฟาน

………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด