กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 16 เจ้าคือเมฆที่งดงามที่สุดบนฟากฟ้า

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 16 เจ้าคือเมฆที่งดงามที่สุดบนฟากฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้ายามเช้าที่ส่องสว่างไปทั่วยอดเขาไร้ลักษณ์บนเขากระบี่วิญญาณ มีการวางแผนลับๆ กันอยู่ภายในกระท่อม

“มีคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้องครั้ง อาจารย์ อธิบายความเป็นไปของสำนักเซียนหมื่นเวทให้ข้าฟังที”

ที่โต๊ะ หวังลู่คาบปากกาไว้ จิตใจครุ่นคิดถึงบางสิ่ง ผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะตอบกลับ “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ คนพวกนั้นก็แค่เด็กเรียนเฮงซวยที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น”

“ไหนลงรายละเอียดสักหน่อยซิ”

ผู้เป็นอาจารย์ส่งเสียงฮึ “ไม่มีเวลา”

“มัวแต่ช่วยตัวเองอยู่หรือไง”

ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสร่างสูงที่นั่งคั่นกลางพวกเขาก็ส่ายศีรษะอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ศิษย์พี่หญิง หวังลู่ เลิกพล่ามใส่กันสักทีได้ไหม”

ทันทีที่ผู้อาวุโสคนนี้พูดขึ้น แม้ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างไม่ยินดีทำตาม แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ปริปากพูดอีก

อย่างไรเสีย ในเขากระบี่วิญญาณแห่งนี้ ผู้ที่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของอาวุโสเจ็ด อ้าวกวนไห่ มีเพียงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยังไม่รวมที่ว่า ตั้งแต่แรกทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างไปขอความช่วยเหลือจากอาวุโสเจ็ดเพื่อมาช่วยตระเตรียมกิจกรรมครั้งนี้ ภายใต้การสั่งการของคนทั้งสอง ผู้เป็นแรงงานชั้นเยี่ยมไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ ดังนั้นเมื่อเขาเอ่ยปากขึ้น คำพูดของเขาย่อมต้องมีน้ำหนักไม่น้อย

เมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่ไม่ขว้างมีดใส่กันแล้ว อ้าวกวนไห่จึงยิ้มให้หวังลู่ “ข้าพอจะรู้เรื่องของสำนักเซียนหมื่นเวทมาบ้าง แค่จากชื่อเซียนหมื่นเวท ก็น่าจะบอกลักษณะเด่นของพวกเขาได้อยู่ พวกเขาคือพิพิธภัณฑ์รวบรวมสรรพวิชาของพันธมิตรหมื่นเซียน ไม่ว่าวิชานั้นจะหาได้ยากยิ่งเพียงใด เจ้าสามารถหาได้ที่สำนักเซียนหมื่นเวทเสมอ ทว่าเมื่อมาคิดๆ ดูแล้วเจ้าก็จะสงสัยว่าวิชาทั้งหมดนี้มาจากไหน พวกเขาไม่เหมือนกับสำนักเซียนคุณหลุน เพราะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยืนยาวและมรดกตกทอดมากมายเท่า”

หวังลู่นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “อืม หากไม่ได้สืบทอดกันมา ก็ไม่น่าจะมาจากการลักขโมย เพราะแม้แต่สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างอย่างสำนักจอมทัพกษัตริย์ก็ไม่อาจปล้นตำแหน่งพิพิธภัณฑ์สรรพวิชาแห่งโลกเซียนมาได้ นับประสาอะไรกับสำนักเซียนหมื่นเวท แล้วก็ไม่น่าจะมาจากการซื้อขาย เพราะหากวัดกันที่ความร่ำรวย สำนักเซิ่งจิงนั้นร่ำรวยที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจซื้อตำแหน่งพิพิธภัณฑ์สรรพวิชาแห่งโลกเซียนได้ หรือจะเป็นว่าพวกเขาพัฒนาวิชาเหล่านี้ขึ้นมาเอง”

อ้าวกวนไห่กล่าว “จะพูดเช่นนั้นก็ได้ แม้สำนักเซียนหมื่นเวทจะได้วิชาส่วนใหญ่มาจากการแลกเปลี่ยน แต่เป็นความสามารถในการค้นคว้าและพัฒนาของสำนักเซียนหมื่นเวทเองที่ทำให้การแลกเปลี่ยนนั้นส่งผลยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าสำนักอื่นจะไม่อยากแลกเปลี่ยนวิชากับพวกเขา แต่ครั้งหนึ่งเคยมีสำนักหนึ่งที่ยึดติดกับวิชาของตนเองมาก ทั้งที่วิชานั้นก็ไม่ได้โดดเด่นนัก แม้ว่าคนจากสำนักเวทหมื่นเซียนจะโน้มน้าวเท่าไร แต่พวกเขาก็ถูกปฏิเสธหน้าหงายกลับมาทุกครั้ง ด้วยความโกรธ สำนักเซียนหมื่นเวทจึงรวบรวมผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่มาปิดทางไม่ให้อีกฝ่ายออกจากภูเขา และพยายามที่จะ ‘ถอดรหัส’ วิชาของอีกสำนักตลอดทั้งวันทั้งคืน ในตอนนั้นเจ้าสำนักของสำนักที่ว่านั่นถึงกับโมโหจนกระอักเลือดออกมา นับแต่นั้นทุกครั้งที่สำนักเซียนหมื่นเวทต้องการแลกเปลี่ยนวิชา ตราบใดที่ไม่ไร้เหตุผลหรือเกี่ยวพันกับสิ่งที่เป็นความลับจนเกินไป และด้วยการรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะจากสำนักเซียนหมื่นเวทว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ อีกสำนักก็มักจะยอมแลกเปลี่ยนแต่โดยดี หนำซ้ำสำนักเซียนหมื่นเวทยังต่อรองจนได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดอีกด้วย ผลก็คือ วิชาในมือของสำนักเซียนหมื่นเวทจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สรรพวิชาแห่งโลกเซียน ทว่าที่สุดแล้ว พวกเขาก็ได้ชื่อนี้มาจากความสามารถในการค้นคว้าและพัฒนาที่น่าทึ่งของตัวเองต่างหาก”

สิ่งนี้ถือว่าเป็นข้อมูลใหม่สำหรับหวังลู่ เขาจึงพยักหน้าและกล่าวบ้าง “สำนักเซียนหมื่นเวทที่แสนจะถือดี ความจริงแล้วก็มีดีให้ถือดีจริงๆ”

อ้าวกวนไห่กล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว สำนักเซียนหมื่นเวทมีกลไกในการค้นคว้าและพัฒนาวิชาที่สมบูรณ์แบบและก้าวหน้าที่สุด พวกเขามีกลุ่มนักค้นคว้าจำนวนมาก รวมทั้งมีเม็ดเงินให้กับการค้นคว้ามหาศาล สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องการจากเหล่าสมาชิกก็คือสติปัญญาที่สูงส่ง ต่อให้ตบะขั้นของเจ้าตื้นเขิน แต่หากว่ายังพอเข้าเค้า เจ้าก็จะได้เข้าสำนักและเป็นนักค้นคว้าในภายหลัง ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถในการค้นคว้าที่ดีพอ พวกเขาก็จะปฏิบัติกับเจ้าไม่ต่างจากพวกที่เป็นอัจฉริยะ พวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่ามีเพียงการค้นคว้าอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้โลกบำเพ็ญเซียนก้าวหน้าได้ต่อไป… ทว่าเป็นเพราะความความเชื่อและการยึดมั่นถือมั่นเช่นนี้นี่เองที่ทำให้พวกเขาดูถูกดูแคลนสำนักอื่น”

“แม้แต่ห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยหรือ”

หวังอู่ตัดสินใจขัดขึ้น “พวกเขามองว่าสำนักเซิ่งจิงเป็นเพียงพวกเศรษฐีใหม่ สำนักเซียนคุณหลุนเป็นวัตถุโบราณ และสำนักจอมทัพกษัตริย์เป็นอุรังอุตังป่าเถื่อน ส่วนสำนักกระบี่วิญญาณนั้น ต่อให้ข้าไม่พูดเจ้าก็คงจะเข้าใจดี”

“แล้วชื่อเสียงของพวกเขาในโลกบำเพ็ญเซียนเล่า”

อ้าวกวนไห่ยิ้มขัน “หากมองเพียงความสามารถในการพัฒนาสรรพวิชาในโลกบำเพ็ญเซียน พวกเขาก็สมควรได้รับการยกย่อง ข้าเองก็ชื่นชมพวกเขาในเรื่องนี้มาก แต่เพราะความถือดีไม่รู้จักกาลเทศะทำให้พวกเขามีศัตรูอยู่ไม่น้อย”

ครั้งนี้หญิงสาวในชุดขาวก็หัวเราะขึ้นมา “พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกหมกมุ่นกับตำราชอบหาเรื่องใส่ตัวแถมยังไม่มีใครอยากเสวนาด้วย นี่ เจ้าลองอ่านแผนการแสดงในพิธีต้อนรับที่ข้าคิดขึ้นมาสิ”

หวังลู่จึงยื่นมือไปรับแผนของผู้เป็นอาจารย์เอามาอ่านทบทวน ขณะอ่าน เขาก็ส่งเสียง ‘จิ๊ๆ’ จากนั้นก็วิจารณ์ออกมา “อืม ในเมื่อท่านกระจ่างแจ้งนักว่าคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทเป็นอย่างไร เช่นนั้นแผนของท่านก็ถือว่าตรงจุด แต่จะดีกว่านั้นหากเพิ่มรายละเอียดลงไปอีกนิดๆ หน่อยๆ”

หญิงสาวในชุดขาวกล่าวอย่างเมินเฉย “อยากเปลี่ยนเจ้าก็เปลี่ยนสิ ข้าไม่สนด้วยหรอก หลังจากพิธีต้อนรับ จะเป็นการประชุมกันระหว่างพวกระดับสูง ช่วงนี้เราคงไปวุ่นวายอะไรไม่ได้ แต่งานเลี้ยงหลังจากนั้น เราจัดแจงอะไรได้อีกหลายอย่างเลย” ขณะตรวจดูแผนของผู้เป็นอาจารย์ หวังลู่ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “งานเลี้ยง? ทำไมเราไม่เตรียมอะไรสนุกๆ เล่า พวกเขามาที่นี่เพื่อประลองใช่ไหม เช่นนั้นก็จำเป็นที่จะเริ่มประลองตั้งแต่ในงานเลี้ยงเลย”

หวังอู่เหยียดยิ้ม “ย่อมได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเพิ่งมาถึง เราจะเริ่มจากรายการธรรมดาๆ ก่อนแล้วกัน… เลี่ยงไม่ให้ศิษย์พี่เรียกข้าว่าคนขี้แกล้งด้วย”

“เฮ้ ในเมื่อตาแก่เจ้าของสำนักมอบหมายงานนี้ให้ท่าน มันก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าเขาอยากให้ท่านกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ไม่เลี้ยงด้วยอึกับฉี่ก็ถือว่าสุภาพด้วยขนาดไหนแล้ว”

“โอ้ ฟังดูมีเหตุผล เพิ่มอึกับฉี่เข้าไปก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี”

“เฮ้ ท่านเอาจริงหรือ”

“ฮ่าๆ อย่างไรเสีย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็แค่บอกว่าเจ้าเป็นคนเพิ่มเข้าไปก็เท่านั้น”

“ระยำ”

ศิษย์กับอาจารย์ยังคงพูดจาแลกเปลี่ยนเรื่องไร้สาระขณะปรับขั้นตอนของกิจกรรมอีกมากมายหลายส่วน ความคิดแหวกแนวชั่วช้าทะลักออกมาจากการรวมหัวกันของสุดยอดอัจฉริยะทั้งสอง อาวุโสเจ็ด อ้าวกวนไห่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่เพียงรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลอาบท่วมหลัง เขายังรู้สึกพึงพอใจไม่น้อยอีกด้วย

เป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์พี่หญิงห้าไม่เคยมีความสุขถึงขนาดนี้มาก่อน แม้เมื่อดูจากใบหน้านิ่งเฉยของนาง ผู้คนอาจจะมองไม่ออก หนำซ้ำนางมักจะหัวร้อนใส่หวังลู่ยามที่ทั้งสองทะเลาะกัน ทว่า…นางก็มีความสุขอย่างแท้จริง ตั้งหลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครเข้าอกเข้าใจนางอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน

แม้แต่เขาผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางที่สุดในหอกระบี่นภาก็ยังไม่อาจเข้าใจความคิดของนางในหลายๆ ส่วน ศิษย์พี่เจ้าสำนักนั้นทั้งรู้สึกดีและไม่ดีกับนาง แต่โดยมาก หากเกี่ยวกับแนวคิดที่ประหลาดล้ำของนาง เขาแค่ยอมรับฟังแต่ไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด

มีเพียงหวังลู่เท่านั้น… สองคนนี้ช่างเหมือนกันราวกับถูกหล่อออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน หากเขาไม่รู้จักศิษย์พี่หญิงห้ามากพอ อ้าวกวนไห่อาจสงสัยว่าเจ้าเด็กคนนี้อาจเป็นลูกลับๆ ของศิษย์พี่หญิงของตนก็เป็นได้

ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ที่ทำให้คนทั้งคู่มาพบกัน —

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลาสองเดือนนี้ สำนักกระบี่วิญญาณใส่ใจอย่างมากกับการประลองที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นพวกเขาจึงจัดการฝึกซ้อมขึ้น ซึ่งทั้งศิษย์สำนักในและศิษย์สำนักนอกที่บำเพ็ญเซียนไม่ถึงสิบปีต่างต้องเข้าร่วมทั้งสิ้น ผู้อาวุโสจากหอกระบี่นภาสี่คนรวมถึงศิษย์พี่ตบะขั้นพิสุทธิ์อีกหลายคนก็ลงมาช่วยคุมพวกเขาในฐานะครูฝึก

ผลลัพธ์ของการฝึกในครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก

นี่คือสิ่งที่ควรต้องทำ เพื่อการประลองในครั้งนี้ สำนักกระบี่วิญญาณถือว่าทุ่มเทอย่างหนัก ไม่เพียงผู้อาวุโสหลายคนที่สละเวลาอันมีค่าในการบำเพ็ญเซียนถึงสองเดือน สำนักเองก็ช่วยเหล่าศิษย์ในการขยายขอบเขตของจิตใจเพื่อสร้างช่องว่างให้รับเอาพลังปราณฟ้าดินให้ได้มากขึ้นกว่าเดิม อาวุโสเจ็ดอ้าวกวนไห่ถึงกับไปเก็บตัวยาหลายชนิดจากบนยอดเขาเมฆาครามเพื่อเอามาทำเป็นยาแก้สารพัดโรคให้เหล่าศิษย์

สำนักกระบี่วิญญาณยึดมั่นกับแนวคิด ‘ช้าแต่มั่นคง’ มาตลอด แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทำ ‘งานด่วน’ ไม่ได้ หลังจากฝึกหนักมาตลอดสองเดือน ความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเซียนของทั้งศิษย์สำนักชั้นในและศิษย์สำนักชั้นนอกก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเลวสุดก็เพิ่มมาเพียงหนึ่งระดับ แต่ส่วนใหญ่แล้วเพิ่มมาถึงสามระดับและบรรลุสู่ตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงกันทั้งนั้น

แน่นอนว่าความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ย่อมส่งผลต่อรากฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่ารากฐานที่ไม่มีเสถียรภาพมักเกิดกับผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปเท่านั้น แต่สำหรับศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณที่มีรากฐานที่ยอดเยี่ยม ผลข้างเคียงที่เกิดจากการพัฒนาที่รวดเร็วเกินไปก็คือพวกเขาไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ดีพอ ทว่าในการฝึกฝนในครั้งนี้ ครูฝึกของพวกเขาต่างเน้นยำเรื่องความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมวลหมู่พลังอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างกะทันหันด้วย… สรุปก็คือ การฝึกที่มีประสิทธิภาพยิ่งยวดในครั้งนี้ผลักดันให้การบำเพ็ญเซียนของเหล่าผู้ที่บำเพ็ญเซียนยังไม่ถึงสิบปีให้ทะยานสูงขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถรับมือเหล่าคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทที่จะมาเยือนในไม่ช้าได้…

อย่างน้อยเหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณก็รู้สึกภูมิอกภูมิใจในความสำเร็จของตัวเองมาก และมีไม่น้อยที่มีความรู้สึกว่า ‘แน่จริงก็เข้ามาเลย’

“ฮ่าๆๆ ข้าทำได้ ฝีมือของข้าเป็นหนึ่งในโลกา!”

“ตบะขั้นฝึกปราณระดับสูง! ข้าบรรลุขั้นฝึกปราณระดับสูงแล้ว! พวกสำนักเซียนหมื่นเวทกระจอกงอกง่อยต้องพินาศลงใต้ฝ่าเท้าข้าแน่ๆ!”

“เฮ้ คนที่ห่วยที่สุดของสำนักเซียนหมื่นเวทก็เป็นถึงขั้นสร้างฐานระดับต้นแล้ว แล้วพวกเจ้าตบะขั้นฝึกปราณระดับสูง ไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนว่าจะเอาชนะพวกนั้นได้”

“เจ้าไม่เข้าใจ นี่เขาเรียกว่าสร้างความฮึกเหิม”

อย่างไรเสีย สำนักกระบี่วิญญาณก็พร้อมแล้วกับการประลองในครั้งนี้

สำหรับเหล่าผู้อาวุโส สองเดือนที่ผ่านมาไม่ถือว่าง่าย ไม่เพียงพวกเขาต้องปรับปรุงกระบวนการในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์อย่างทันทีทันใด แต่พวกเขายังต้องพินิจพิจารณาอีกว่าความก้าวหน้าอย่างปุบปับนั้นจะไม่ส่งผลต่อพัฒนาการในอนาคตของเหล่าศิษย์… มันเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อยสำหรับเหล่าผู้อาวุโส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาวุโสเจ็ด อ้าวกวนไห่ ที่ด้านหนึ่งต้องช่วยศิษย์และอาจารย์จากยอดเขาไร้ลักษณ์ และอีกด้านหนึ่งต้องหลอมยาแก้สารพัดโรคให้เหล่าศิษย์ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยยากสำหรับเขาจริงๆ สองเดือนผ่านไป แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยการปรากฏตัวของสำนักเซียนหมื่นเวท

หากพวกเจ้าไม่มา สองเดือนที่รากเลือดของพวกเราไม่ถือว่าสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ

แน่นอนว่าสองศิษย์อาจารย์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์นั้นเหนื่อยหนักยิ่งกว่า สองเดือนที่ผ่านมาพวกเขาวุ่นอยู่กับการวางแผนกิจกรรม สุดท้ายพวกเขาก็คิดแผนมาได้ทั้งหมดสิบแปดแผน และตอนนี้ก็เพียงแค่รอให้ตัวละครหลักปรากฏโฉมเท่านั้น

สองวันถัดมา เหล่าสมาชิกของสำนักเซียนหมื่นเวทที่ทุกคนรอคอยมานานก็มาถึงจนได้

เช้าวันนี้ มีเมฆสีทองอร่ามเคลื่อนตัวมาจากทางทิศตะวันออก เมื่อมีดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง เรือคลื่นเมฆาของสำนักเซียนหมื่นเวทก็เปล่งประกายสว่างเจิดจ้าอย่างภาคภูมิ

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด