กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 8.2 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (2)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 8.2 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 8 หวังลู่ตัดสินใจอย่างยากลำบาก (2)

 

ตาแก่ลามกส่ายหน้า “ไม่ เจ้าไม่รู้อะไร จริงอยู่ที่สถานที่อย่างหมู่บ้านตระกูลหวังหรืออำเภออู่โหว เราอาจจะหลอกเอาเงินมาไม่ได้มากนัก แต่หากเป็นอำเภอที่ร่ำรวยและมีคนหนาแน่นหรือว่าเมืองหลวงจังหวัด จะเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว แม้อาวุธวิเศษหรืออุปกรณ์วิเศษระดับสูงจะเป็นสิ่งหายาก แต่พวกเขาก็ร่ำรวยทรัพยากรอย่างอื่น อย่างเช่น ศิลาวิญญาณ ข้าจำได้ตอนที่เราครองเมืองหลวงของจังหวัดแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ในหนึ่งปีสำนักเจ็ดดาราของเราขุดเอาศิลาวิญญาณมาได้นับแสนๆ ก้อน แม้ว่าคุณภาพของมันจะหลากหลาย แต่ก็ถือว่า…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ น้ำเสียงกังขาของหวังลู่ก็หยุดเขาไว้ “ศิลาวิญญาณแสนๆ ก้อน!?”

“เอ่อ ใช่แล้ว”

“นี่เจ้าโม้หรือเปล่า”

ตาแก่ลามกส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ใช่! หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงไปตรวจสอบด้วยตัวเองเลย! ไม่ใช่มีเพียงสำนักเจ็ดดาราเท่านั้นที่ทำได้ หากสำนักอื่นได้ครองเมืองหลวงของจังหวัดล่ะก็ พวกเขาย่อมตกศิลาวิญญาณนับแสนก้อนได้เช่นกัน และยิ่งเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่กว่า ต่อให้เป็นล้านศิลาวิญญาณก็ย่อมหามาได้!”

เมื่อเห็นว่าตาแก่ลามกผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หวังลู่ก็ขมวดคิ้ว “แปลก ปุถุชนธรรมดาแค่ไม่กี่หยิบมือจะสามารถจัดหาศิลาวิญญาณจำนวนมากมาได้อย่างไร”

ตาแก่ลามกอธิบายต่อ “แน่นอนว่าก็ต้องใช้วิธีรวบรวมมาทีละนิด ในอาณาจักรเก้าแคว้น วิธีที่จะได้ศิลาวิญญาณมามีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือในรูปแบบแร่ศิลาวิญญาณซึ่งมักมีอยู่ตามจุดที่พลังวิญญาณฟ้าดินปกคลุมมาเนิ่นนาน นอกจากแหล่งดังกล่าวจะมีอยู่มากมายแล้ว ตราบใดที่ขุดกันตามสมควร แหล่งดังกล่าวก็จะไม่มีวันหมดสิ้นลง อีกทางหนึ่งคือศิลาวิญญาณที่บังเอิญกำเนิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วแคว้น ปัจจุบันนี้ แหล่งแร่ศิลาวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์มักถูกสำนักชั้นนำครอบครองไปหมดแล้ว แร่เหล่านั้นขุดง่าย ผลผลิตก็มหาศาล ทว่าหากนับจำนวนกันจริงๆ ศิลาวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่นั้นก็มีไม่น้อยไปกว่าแร่ศิลาวิญญาณเลย ก็แค่ไม่ง่ายที่จะได้มันมาครอง และค่าใช้จ่ายในการรวบรวมก็สูงมาก… ทว่ามีปุถุชนธรรมดานับแสนๆ คนที่มีจิตมุ่งมั่น หากพวกเขาสะสมมันทีละนิด จำนวนที่ได้มาก็ย่อมมหาศาลอย่างน่าทึ่ง…และด้วยพื้นที่ที่ใหญ่โตของอาณาจักรเก้าแคว้น สำนักต่างๆ ย่อมสามารถปกครองพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญได้”

หวังลู่ผงกศีรษะเห็นด้วย “มีเหตุผล การละเลยพลังของมวลชนนั้นถือว่าผิด แต่…ข้าไม่คิดว่าจะมีศิลาวิญญาณในเมืองหลวงจังหวัดถึงแสนๆ ก้อน”

ตาแก่ลามกยิ้ม “ใช่แล้ว นั่นเพราะสำนักใหญ่อย่างเจ้าไม่เคยคิดว่าพวกเราจะร่ำรวยเกินหน้าพวกเจ้าไปได้ อีกอย่างศิลาวิญญาณไม่ใช่สิ่งสำคัญสุดสำหรับเรา เพราะการครอบครองเมืองหลวงนั้นได้ประโยชน์นับไม่ถ้วน”

“เช่นอะไร”

“ก็…” ตาแก่ลามกนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ก็เช่น ภาษีในเมืองหลวงจังหวัดปีปีหนึ่งมากนับล้านๆ ตำลึงเงิน ทว่าในปีหนึ่งเราสามารถรวบรวมเงินได้มากกว่านั้นเป็นสิบเท่า”

“บ้าบอไปแล้ว! สิบเท่าจากภาษีงั้นหรือ นี่มันนโยบายก้าวกระโดด[1]ชัดๆ!”

ตาแก่ลามกหัวเราะ “แต่มันคือความจริง ภาษีน่ะไม่ถือว่าเป็นภาระกับผู้คนมากนัก เพราะทางการเองก็ไม่ได้อยากฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ หากเก็บภาษีแพงเกินไป ชาวบ้านก็จะไม่มีช่องทางทำมาหากิน ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ทว่าสำนักเจ็ดดาราต่างออกไป เพื่อที่จะได้เป็นเซียน ชาวบ้านโง่เง่าที่เชื่อว่าพวกตนสามารถเป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้ย่อมไม่ลังเลที่จะสังเวยทุกอย่างที่พวกเขามี จริงไหมล่ะ พวกเขายอมขายลูกขายเมียเพื่อแลกกับโอสถเพาะรากวิญญาณไม่กี่อึก! ในเมื่อมีพวกโง่เง่าเช่นนั้น เหตุใดเราจึงต้องกังวลเรื่องเงินทองด้วย”

ไม่รอให้หวังลู่ตอบกลับ น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเถ้าแก่เนี้ยก็ดังมาจากเบื้องหลัง “ร่ำรวยจากเงินที่หลอกลวงมาแท้ๆ นี่กลางคืนเจ้ายังนอนหลับลงได้อย่างไร”

ทันทีที่ได้ยินเสียงกล่าวโทษของเถ้าแก่เนี้ย ตาแก่ลามกก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เมื่อเทียบกับหวังลู่ ศิษย์จากหนึ่งในสำนักชั้นนำ เขากลับเกรงกลัวหญิงสาวอกไม้กระดานที่แม้ไม่ใช่ผู้ฝึกเซียนแต่ก็ยังสามารถปล่อยหมัดทะลุเกราะป้องกันของเขาเข้ามาได้มากกว่า หญิงสาวคนนี้ถือว่าเป็นปีศาจอย่างแท้จริง

ดังนั้นตาแก่ลามกจึงรีบอธิบายโดยเร็ว “จะโทษเราก็ไม่ได้ พวกผู้ติดตามสติแตกนั่นต่างหากที่เอาเงินมาให้เราเอง เราก็แค่โฆษณาสรรพคุณของสินค้าเกินจริงไปนิด แต่ไม่เคยบังคับให้พวกเขาซื้อในราคาที่แพงกว่าป้ายเลย… คนในสำนักบางคนที่ซื่อตรง เมื่อเห็นชาวบ้านไร้สติพวกนั้น ก็ได้พูดชักชวนให้จ่ายตามที่พอมี ทว่าคำพูดเตือนนี้กลับไร้ประโยชน์กับพวกสติแตก ยิ่งพวกเราพูดจาชักชวนเกลี้ยกล่อม พวกเขาก็ยิ่งสงสัยว่าพวกเราลำเอียง! เพื่อที่จะได้เข้าสู่หนทางแห่งเซียน พวกเขาย่อมทำได้ทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ในหมู่บ้านตระกูลหวัง เมื่อสองวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่ามีหลายครอบครัวที่กลัวจะเสียความโปรดปรานจากสำนักเจ็ดดารา พวกเขาจึงวางแผน… คิดจะเรียกความดีความชอบคืนมาด้วยการจับตัวคนในครอบครัวเจ้าเป็นตัวประกัน”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เถ้าแก่เนี้ยก็ประหลาดใจเล็กน้อย นางหมุนตัวอย่างไวเพื่อมองหน้าหวังลู่ แต่กลับเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่แยแส

“เฮ้อ บางทีข้าก็คิดว่านี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อโอสถเพาะรากวิญญาณเพียงขวดเดียว หลายคนกลับไม่ลังเลที่จะฆ่าฟันหรือวางเพลิง!”

เถ้าแก่เนี้ยถามกลับอย่างอดไม่ได้ “แต่…สำหรับคนจำนวนไม่น้อย ต่อให้พวกเขาเสียสติไปแล้วก็เถอะ แต่โอสถเพาะรากวิญญาณไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขา แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่คืนสติกันเล่า”

ตาแก่ลามกตอบกลับ “ไม่ ผลน่ะมีอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งประดิษฐ์อันลือลั่นของปฐมาจารย์หลิวเหอของสำนักเซิ่งจิง…ดังนั้นแม้ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณสมบัติต่ำเตี้ย ชะตาแห่งเซียนเรี่ยดิน ตราบใดที่ยังคงกินโอสถอยู่เรื่อยๆ ขั้นตบะของเขาต้องพัฒนาแน่ และพอมีการพัฒนาแม้เพียงน้อยนิด ก็ย่อมดึงดูดคนอื่นๆ เข้ามาเพิ่มอีก นี่ อย่างไรเสียข้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ไม่ใช่แค่เพียงชื่อ แต่ตัวตนจริงๆ ก็ใช่ด้วย แต่ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าการบำเพ็ญเซียนจะดึงดูดผู้คนได้มากมายขนาดนั้น!”

คราวนี้หวังลู่ช่วยเขาอธิบาย “พี่หญิงหลิง ตอนนี้ในโลกบำเพ็ญเซียน นอกจากในสำนักเก่าแก่แล้ว โอสถเพาะรากวิญญาณถือว่าพบเห็นได้ทั่วไป ตราบใดที่คนคนหนึ่งร่ำรวยพอ คนผู้นั้นก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้ แม้ว่าเขาจะโง่เง่าพอๆ กับเหวินเป่าก็ตาม ตราบใดที่ดื่มโอสถเพาะรากวิญญาณเป็นประจำทุกวัน ไม่กี่ปีคนผู้นั้นก็จะสำเร็จถึงตบะขั้นฝึกปราณอย่างแน่นอน”

“แต่…ราคาที่ต้องจ่ายกับสิ่งที่ได้มามันไม่สมกับสักนิด แม้พวกมนุษย์ปุถุชนเหล่านี้จะลงแรงไปเพียงใด แต่พวกเขาต้องหาเงินมามากมายขนาดไหนเพื่อซื้อโอสถในการบำเพ็ญเซียนกันเล่า ต่อให้ต้องถลุงเงินของตระกูลไปเป็นสิบๆ ปี ข้าว่าพวกเขายังฝึกตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าให้เสถียรยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเป้าหมายคืออะไรกันแน่”

ตาแก่ลามกนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ “ความจริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่…ในเมื่อพวกเขาปรารถนาที่จะถูกโบย เราเองก็มีความสุขที่ได้โบยพวกเขา!”

หวังลู่ยักไหล่ “พี่หญิงหลิง อย่าพยายามเข้าใจความคิดของพวกงี่เง่าเหล่านี้เลย หากพวกเขาอยากใช้สมองคิดอยากใช้หูฟังเหตุผล เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องถ่อมาจัดการตาแก่ลามกถึงที่นี่หรอก”

ตาแก่ลามกยิ้มขื่นสองสามรอบ เขาเองก็ไม่รู้จะตอบโต้ประโยคดังกล่าวอย่างไร

ทว่าสุดท้ายเขาก็คิดขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องโต้ตอบอะไรเลย

เพราะหวังลู่พูดต่อ “ทว่าพอได้ฟังที่เขาพูด ข้าก็ได้ความคิดขึ้นมา”

“…ความคิด?” เถ้าแก่เนี้ยถามอย่างเบื่อหน่ายพลางพิงกรอบประตูที่นำไปสู่ห้องด้านหลัง

นางคาดว่าเขาจะพูดถึงวิธีที่จะชักจูงชาวบ้านพวกนั้น… แม้เถ้าแก่เนี้ยจะไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับชาวบ้านปุถุชนเท่าไร แต่นางก็รู้ว่าหากการพูดชักจูงเป็นผล สำนักเจ็ดดาราก็คงไม่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้

ทว่าด้านนี้ของหวังลู่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นมากนัก บนเขากระบี่วิญญาณ เขาใช้ชีวิตอย่างเสรี ไม่เคยกังวลเรื่องโลกปุถุชน… แต่เมื่อสำนักกระบี่วิญญาณส่งเหล่าศิษย์ลงจากเขา แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือเรื่องที่กังวลในโลกมนุษย์ การตัดขาดจากโลกปุถุชนถือเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดใจ และไม่แน่ว่าหวังลู่อาจประสบความลำบากในการทำเช่นนี้ก็เป็นได้

จากนั้นนางก็เห็นภาพของหวังลู่ได้จากดวงจิตขั้นปฐม แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มบางบนใบหน้าของเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นเฉียบราดลงมาบนหัว

“ถูกต้อง เป็นแค่ความคิด” น้ำเสียงของหวังลู่นุ่มราวผ้าไหม ทว่าแต่ละถ้อยคำกระจ่างชัดผิดธรรมดา ราวกับว่าอัดแน่นด้วยพลังพิเศษ

เถ้าแก่เนี้ยหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ความเงียบภายในห้องทำให้นางรู้สึกว่าเสียงหัวใจของนางรุนแรงเหลือทน นางเคยประจักษ์ฉากตรงหน้านี้มาก่อน… นั่นคือเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาในชั่วอึดใจ

หรือว่าหวังลู่จะคิดบางอย่างขึ้นมาได้แล้วจริงๆ

จากนั้นเสียงนุ่มนวลของหวังลู่ก็ทำลายความเงียบลง

“ชีวิตช่างโง่เง่า”

เถ้าแก่เนี้ยตะลึง “ชีวิตทำไมนะ…”

“ในโลกนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนโง่เง่า ความโง่เง่านั้นมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ เหมือนที่นกเกิดมาบินได้ ปลาเกิดมาว่ายน้ำได้ ดังนั้นผู้คนบนโลกจึงเกิดมางี่เง่า… นี่คือกฎแห่งสวรรค์ ไม่อาจขัดขืนได้”

“…”

“ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านตระกูลหวังข้าเคยฝืนชะตาแห่งสวรรค์ ข้าคิดว่าการมีวาทศิลป์จะชนะใจพวกเขาได้ แต่ผลก็คือข้ากลายเป็นแค่แมลงวันตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง… มันไม่ใช่ว่าคารมของข้านั้นถดถอย แต่เป็นเพราะในตอนนั้น ข้าฝืนชะตาสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงพ่ายแพ้”

“…”

“กลับกัน แม้สำนักเจ็ดดาราจะเป็นสำนักชั้นต่ำน่ารังเกียจในสายตาของท่าน แต่สำหรับเรื่องนี้ พวกเขากลับสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของสวรรค์”

เถ้าแก่เนี้ยใกล้สติแตกเต็มทน “นี่หรือสิ่งที่เจ้ารู้แจ้งขึ้นมา อย่าบอกนะว่าจู่ๆ เจ้าก็ลมปราณแตกซ่าน

พวกเขาสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของสวรรค์? หวังลู่เจ้าเป็นบ้าอะไร ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ”

หวังลู่หัวเราะ “ท่านผิดแล้ว พี่หญิงหลิง ข้าไม่เคยรู้แจ้งขนาดนี้มาก่อน จิตใจข้าไม่เคยกระจ่างเช่นนี้มาก่อน ท่านคิดดูสิ กฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้คืออะไร นั่นคือผู้ชนะอยู่รอด ผู้แพ้ฉิบหาย มันคือการเอาตัวรอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด! มันคือกฎของป่า! ท่านก็เห็น ตอนที่สุนัขป่าจับกระต่าย กระต่ายทำอะไรผิดจึงถูกจับเช่นนั้น ตอนที่กระต่ายกินหญ้า ดอกไม้กับต้นหญ้าเหล่านั้นสมควรถูกกินหรือ คำตอบก็คือ มันเป็นกฎของสวรรค์ หากท่านเห็นอกเห็นใจดอกไม้กับต้นหญ้า ก็หมายความว่าท่านอยากให้กระต่ายอดโซจนตาย หากท่านสงสารกระต่าย สุนัขป่าก็ต้องหิวโหย…หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงความระทมทุกข์ของเหล่าสิ่งมีชีวิต โลกนี้ก็อาจจะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น… ทว่าเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้นั้นผิด”

“…” เหตุผลที่เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันเช่นนี้ทำเอาเถ้าแก่เนี้ยสับสนอย่างรุนแรง หญิงสาวโขกศีรษะเข้ากับกรอบประตูเบาๆ และแม้กรอบประตูที่ทนทานจะแตกเป็นรู แต่ทุกอย่างก็ดูยังไม่กระจ่างสำหรับนาง

แม้นางจะยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แต่มันฟังดูน่าหวาดกลัวชะมัด

หวังลู่กล่าวต่อ “ดังนั้นเราจึงต้องกำจัดความเห็นอกเห็นใจนี้ทิ้งไป เรามักพูดว่าโลกนี้ช่างโหดร้าย มันปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร้ค่าราวกับเป็นสุนัขและกองฟาง หากเราไม่มีหนทางที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากโลกปุถุชน เช่นนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อเราย่างเท้าเข้ามาสู่โลกแห่งเซียนแล้ว เราก็ย่อมสามารถมองสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่สูงขึ้นได้ ผู้คนทั่วไปนั้นโง่เง่า ดังนั้นตามกฎแห่งสวรรค์ พวกเขาถูกกำหนดมาให้โดนรังแกและโดนเอาเปรียบ หากไม่มีผู้ใดกดขี่พวกเขา นั่นจะถือว่าเป็นการสูญเปล่า สำนักเจ็ดดาราทำสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาประสบความสำเร็จในการเป็นส่วนสำคัญใน ‘ห่วงโซ่อาหาร’ นี้ ในความคิดข้า สำนักเจ็ดดาราและสำนักอื่นๆ ที่ทำเช่นนี้ เป็นดั่งผู้เก็บเกี่ยวที่ทำงานหนักอยู่ในนาข้าว”

“นรกอะไรเนี่ย! ผู้เก็บเกี่ยวที่ทำงานหนัก!? นี่เจ้า…” หลังจากได้ฟังถ้อยคำที่สับสนยุ่งเหยิงของหวังลู่แล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็อยากจะเอาหัวตัวเองฟาดให้ทั่วกำแพงให้รู้แล้วรู้รอดไป!

“มันคือความจริง…” หวังลู่กล่าวพลางถอนใจ “ปัญหาเดียวก็คือ ในฐานะผู้เก็บเกี่ยว สำนักเจ็ดดาราห่วยแตกเกินไป”

แม้เถ้าแก่เนี้ยจะยังรู้สึกว่าในสมองของนางมีแต่แป้งเปียก แต่นางก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างรันทดท้อใจ “ในเมื่อเจ้ายังวิจารณ์สำนักเจ็ดดาราอยู่ อย่างน้อยเราก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ตรงกันบ้าง”

แต่อึดใจถัดมา เจ้าอะไรบางอย่างที่ตรงกันบ้างก็หายวับไปในทันใด

เพราะประโยคถัดมาของหวังลู่ก็คือ “ในเมื่อสำนักเจ็ดดาราเชื่อถือไม่ได้ งั้นเราควรส่งต่อเรื่องนี้ให้กับมืออาชีพ”

“มืออาชีพ…?”

หวังลู่ชี้ตัวเอง “นักเดินทางมืออาชีพคนนี้ไง”

“บิดาเจ้าสิ! …นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือไง!?”

……………………………………………

[1] นโยบายก้าวกระโดด คือ นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเหมาเจ๋อตง ประธานาธิบดีของจีน จุดประสงค์เพื่อเร่งรัดการพัฒนาให้จีนเป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด