กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 1 สหายสนิททั้งสองของข้า

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 1 สหายสนิททั้งสองของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          เวลาในโลกบำเพ็ญเซียนนั้นไม่สั้นไม่ยาว หลังจบการแข่งขันของทั้งสองสำนัก เวลาห้าปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกะพริบตา

          ตลอดห้าปีที่ผ่านมา สำนักกระบี่วิญญาณก็กลับคืนสู่จังหวะที่ไม่เร่งรีบและสมถะดังเดิม

เหล่าศิษย์ต่างยังคงบำเพ็ญเซียนกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ศึกษาเล่าเรียนและใช้ชีวิตของตนเอง บางครั้งเหล่าผู้อาวุโสก็ออกไปท่องเที่ยวนอกสำนัก บางครั้งก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่บนภูเขา หรือไม่ก็แก้ไขปัญหาของเหล่าผู้ที่ได้รับรางวัลจากความสำเร็จ…

          ห้าปีที่ผ่านมา เหล่าศิษย์ที่ได้รับการคาดหวังก็เริ่มเติบโตกันแล้ว เหย่ยวิน เยวี่ยซินเหยา เหวินเป่า จูฉิน… ต่างบรรลุตบะขั้นสร้างฐานเป็นที่เรียบร้อย ผลข้างเคียงที่เกิดจากการเร่งรีบฝึกฝนที่พวกเขาได้รับก่อนการแข่งขันของสองสำนักถูกลบล้างไปภายในห้าปีที่ผ่านมา เหล่าศิษย์ต่างมีรากฐานที่มั่นคงบนเส้นทางของการบำเพ็ญเซียน

          แล้วหวังลู่เล่า เขาอยู่ในอีกระดับหนึ่งเลยต่างหาก

          ในฐานะตัวแทนหลักของสำนักกระบี่วิญญาณ ประสบการณ์การบำเพ็ญเซียนตลอดห้าปีที่ผ่านมาของหวังลู่นั้นมากพอที่จะทำให้ศิษย์ทั้งหมดของสำนักกระบี่วิญญาณรู้สึกริษยา จำนวนทรัพยากรของสำนักที่จัดสรรมาเพื่อให้เขาบำเพ็ญเซียนมากมายกว่าศิษย์ทั่วไปหลายเท่านัก ซึ่งก็คู่ควรกับตำแหน่งตัวแทนหลักของสำนักแล้ว

          ตั้งแต่ต้นหวังลู่ไม่ลังเลที่จะรับสิทธิพิเศษในฐานะตัวแทนหลัก และเพื่อที่จะกำราบอาจารย์ที่ไม่เอาไหนของเขา หวังลู่จึงต้องเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเซียนขึ้นอีกนิด…

          แน่นอนว่าที่เป็นเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพราะช่วงเวลาวิกฤตแต่อย่างใด แม้บทสนทนากับเจ้าสำนักบนยอดเขาประกายดาวเมื่อห้าปีที่ผ่านมา ทำให้เขารู้คร่าวๆ ว่าในอนาคตอีกไม่ไกลจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว แนวคิดเรื่อง ‘ไม่ไกลนัก’ นั้นอาจหมายถึงในหนึ่งร้อยปี สองร้อยปี หรืออาจจะนานกว่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ห่างไกลเกินกว่าจะกังวล

          ความกระตือรือร้นในการบำเพ็ญเซียนของหวังลู่ส่วนใหญ่มาจากความรักในการบำเพ็ญเซียนของเขา เขาชื่นชอบโลกบำเพ็ญเซียน ชื่นชอบวิชาไร้ลักษณ์ ชื่นชอบที่จะพัฒนาวิหารหยกของตน ชื่นชอบที่จะขัดเกลาพลังวิญญาณขั้นปฐม ชื่นชอบขั้นตอนที่จะทำให้กระดูกกระบี่แข็งแกร่งขึ้น เขามีความสุขเหลือล้นกับความรู้สึกที่ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าเมื่อวาน รากวิญญาณนภาและวิชาไร้ลักษณ์ของเขานั้นห่างไกลจากคำว่าเข้ากันได้ ทุกขั้นตอนในการบำเพ็ญเซียนมักจะต้องเผชิญกับปัญหาโน้นนั้นนี้มากมาย บางปัญหาอาจใช้เล่ห์เหลี่ยมจัดการได้ แต่บางปัญหาแก้ไขได้ด้วยเวลาและการสั่งสมแหล่งพลังงานเท่านั้น… ดังนั้นการจะพึ่งหวังยอดเขาไร้ลักษณ์ที่ยากจนข้นแค้นจึงไม่สมเหตุสมผล แต่อภิสิทธิ์ของตำแหน่งตัวแทนหลักก็ช่วยเขาได้ไม่น้อย

          นักผจญภัยผู้มีคุณสมบัติดีพร้อมย่อมคลั่งไคล้ในการพัฒนาขีดระดับ หลังจากที่ปรับระดับอย่างบ้าคลั่งมาตลอดห้าปี เขาก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางอย่างราบรื่น มาถึงตอนนี้หวังลู่ก็บำเพ็ญเซียนมาได้สิบปีแล้ว การบรรลุตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางในหนึ่งทศวรรษถือได้ว่าเร็วพอสมควรในหมู่อัจฉริยะของพันธมิตรหมื่นเซียน ยังไม่นับรวมที่เขามีคำสาบานกับปีศาจในใจซึ่งช่วยให้วิชาไร้ลักษณ์ของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้นความแข็งแกร่งโดยรวมของหวังลู่จึงอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นใหม่

          แต่ก็พูดไม่ได้ว่าเขาทิ้งเพื่อนในระดับเดียวกันแบบไม่เห็นฝุ่น ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็พัฒนาขึ้นมาก อย่างเหล่าศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทที่อุตสาหะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะแก้แค้น หนึ่งปีหลังจากที่กลับไปยังสำนักของตน ศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่ก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานระดับสูง ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่น่าทึ่ง หลังจากเหตุการณ์สำคัญนี้ เขาก็กลับมายังสำนักกระบี่วิญญาณเพื่อขอคำชี้แนะอย่างที่เคยสัญญาเอาไว้

          และแน่นอนว่าเขาพ่ายแพ้ให้แก่หลิวหลีอีกครั้ง

          นั่นเพราะในปีนั้นหลิวหลีเองก็พัฒนาไปไกลไม่ต่างจากอีกฝ่าย ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างขึ้นเล็กน้อย ทำเอาจ้านจื่อเย่แทบรู้สึกหมดหวัง

          หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาเข้าไปในสถานที่เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนัก พบเจอความยากลำบากที่หลายหลาย และพัฒนาขึ้นมาในระดับขั้นของตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่อาจตามรอยเท้าอีกฝ่ายได้ทัน สุดท้ายจ้านจื่อเย่ก็จากไปอย่างเศร้าสร้อย ทำเอาเหล่าอาวุโสจากสำนักกระบี่วิญญาณต่างถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

          จ้านจื่อเย่ หลิวหลี หวังลู่… อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่เหนือกว่ารุ่นก่อนๆ ต่างทำเอาผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนทอดถอนใจ อัจฉริยะเหล่านี้ต่างมีโอกาสของตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะอุทิศตนให้กับโลกบำเพ็ญเซียนอย่างเต็มที่ ไม่แน่ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาจ้านจื่อเย่อาจฝึกฝนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่หลิวหลีเองก็ไม่ได้ขี้เกียจ ในหนึ่งปีที่ผ่านมา หลิวหลีต่อสู้มาอย่างน้อยนับร้อยครั้งบาดเจ็บสาหัสก็หลายสิบครั้ง วิหารหยกของนางสั่นไหวไปก็หลายครา ทำเอาพลังวิญญาณขั้นปฐมร้าวจนเกือบจะกลายเป็นหายนะ! และด้วยความอุตสาหะยิ่งยวดเช่นนั้น จะไม่ให้มีการพัฒนาได้อย่างไร

          ส่วนคู่ฝึกซ้อมที่นางลงแรงไปไม่ยั้งและมีส่วนช่วยให้นางพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว… จะเป็นใครที่ไหนได้อีก

          ตลอดห้าปีที่ผ่านมา หนึ่งในเหตุผลที่หวังลู่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาตนเองในเส้นทางแห่งโลกบำเพ็ญเซียนก็คือหลิวหลี ตั้งแต่การต่อสู้ที่ลานเมฆา หลิวหลีก็เข้ามาวุ่นวายกับเขาเสมอ

          สำหรับหญิงสาวที่มีจิตใจเรียบง่ายเช่นหลิวหลี การพ่ายแพ้ที่ลานเมฆาไม่ได้ทำให้หญิงสาวขุ่นเคือง ตรงข้ามวรยุทธ์ลึกลับของหวังลู่กลับดึงดูดนาง ทำให้นางรู้สึกหลงไหลขึ้นมา ตั้งแต่ที่หลิวหลีสำเร็จวิชากระบี่กระจ่างใจ นางก็ไม่เคยพบเจอกับวิชาในระดับเดียวกันที่สามารถสกัดกระบี่บินของนางซึ่งๆ หน้าได้

          และวิธีในการแสดงออกถึงความเป็นมิตรของหลิวหลีคือการท้าอีกฝ่ายประลองเป็นประจำ การประลองทุกครั้งต่างฝ่ายต่างไม่เคยออมมือ และแม้นางจะบาดเจ็บหนัก แต่นางก็รู้สึกสนุกสนานอยู่ตลอด!

          หวังลู่เองก็ยินยอมประลองด้วยทุกครั้ง เพราะเขารู้ว่าทุกการประลองย่อมส่งผลต่อวิชาไร้ลักษณ์หรือวิชากระบี่กระจ่างใจอย่างมหาศาล หนำซ้ำยิ่งเขาได้ประลองอย่างไม่ต้องยั้งมือและพบเจอกับรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลายบ่อยครั้งเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อตัวเขาเท่านั้น ถึงขนาดที่การเก็บตัวบำเพ็ญเซียนยังไม่ให้ผลชัดเจนเท่านี้

          และไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ไร้ลักษณ์หรือวิชากระบี่กระจ่างใจ พวกมันต่างก็ไม่ไร้ความหลากหลาย คู่ต่อสู้คนเดิมสามารถจัดสรรประสบการณ์การต่อสู้ที่แตกต่างให้ได้ ตลอดห้าปีมานี้ ทั้งคู่สู้กันเกือบพันครั้ง และรูปแบบก็แตกต่างกันไปเกือบทุกครั้ง

          ในการต่อสู้ที่นับครั้งไม่ถ้วนเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะหรือแพ้ตลอด หวังลู่คำนวณคร่าวๆ ได้ว่าเขาและหลิวหลีต่างผลัดกันแพ้ชนะกันคนละครึ่ง ในช่วงสองปีแรก เขาแพ้มากกว่าชนะ แต่ในสามปีหลังเขาก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองทีละน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน

          แน่นอนว่าจากเมื่อห้าปีก่อนที่ไม่สามารถสู้กับหลิวหลีแบบซึ่งๆ หน้าได้ทั้งที่พยายามทุ่มพละกำลังและใช้วิชาต่างๆ แล้วก็ตาม จนถึงตอนนี้เขากลับสามารถสู้กับนางได้อย่างสูสี หรือบางครั้งยังได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ถือเป็นพัฒนาการที่หาได้ยากยิ่ง… ด้วยวิธีจัดระดับขั้นการต่อสู้ที่โด่งดังของหวังลู่ ตอนนี้ความแข็งแกร่งโดยรวมของหวังลู่อยู่ที่ตบะขั้นสร้างฐานระดับหก +20 ส่วนหลิวหลีอยู่ที่ตบะขั้นสร้างฐานระดับสอง +16 เกือบจะใกล้เคียงกับเสี่ยวหมิงที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์ช่วงปลาย หากคำนวณอิงตามพลังโจมตีและพลังตั้งรับเพียงอย่างเดียว ผลสูงสุดที่คำนวณออกมาได้คือมากกว่า +25 ซึ่งถือว่าทะลุขั้นตบะสร้างแกนไปแล้ว

          ตลอดห้าปีที่ผ่านมา นอกจากขั้นตบะของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นแล้ว มิตรภาพของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นจากการต่อสู้เกือบหนึ่งพันครั้งนี่เช่นกัน เมื่อห้าปีก่อนหลิวหลีและหวังลู่ทำเพียงพยักหน้าทักทายกันทุกครั้งที่ได้เจอ แต่ห้าปีให้หลัง พวกเขากลายมาเป็นเพื่อนสนิท ตามคำพูดของหวังลู่ก็คือ หลิวหลีคือสหายที่ดีที่สุดของมนุษย์

——

          ในวันพิเศษเช่นนี้ หวังลู่เพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จและกำลังล้างถ้วยชามอยู่ เมื่อน้ำเสียงที่สดใสร่าเริงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของหญิงสาวดังเข้ามาในโสตประสาท

          “หวังลู่ หวังลู่ ข้ามาเล่นกับเจ้าแล้ว!”

          จากนั้นชุดหลากสีสันก็ผ่านแวบเข้ามาในสายตา และหลิวหลีก็ปรากฎตัวต่อหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มที่สดชื่นราวดอกไม้

          หวังลู่มองหญิงสาวจากนั้นก็พยักหน้า “เจ้านั่งสิ”

          หลิวหลีนั่งตัวตรงบนโต๊ะในทันที

          “ยื่นมือของเจ้ามา”

          หญิงสาวยื่นมือเรียวยาวของนางออกไป

          “เด็กดี” หวังลู่แปะศีรษะของหญิงสาวเบาๆ จากนั้นก็หยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋าและวางไปบนมือของหญิงสาว “กินซะ”

          “ฮ่ะๆ” หลิวหลียิ้ม หยิบลูกอมเข้ามาก และเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “สู้กันไหม”

          “เวรเถอะ เจ้าจะสู้อีกแล้วหรือ เมื่อวานก็เพิ่งจะสู้กันไปเอง”

          ทว่าจู่ๆ หลิวหลีก็พูดประโยคที่แฝงปรัชญาออกมาอย่างไม่คาดคิด “เมื่อวานกิน วันนี้ก็ยังต้องกิน”

          “นี่ เจ้าอย่าเอาแต่ใจไปหน่อยเลยน่า!” หวังลู่ดีดนิ้วเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่าย “สองสามวันนี้ข้าคงจะสู้กับเจ้าไม่ได้ เพราะข้าต้องเตรียมตัวออกไปข้างนอก”

          หลิวหลีพยักหน้าและพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ “แน่นอนละว่าจะสู้ก็ต้องไปสู้กันข้างนอก  อาจารย์บอกว่าข้าไม่ควรจะสู้ในห้อง ไม่เช่นนั้นถ้ามีของแตกหัก ข้าก็จะอดกินข้าว”

          “…ออกไปข้างนอกกับข้างนอกห้องความหมายไม่เหมือนกัน” หลังจากมีปฏิสัมพันธ์กันมาห้าปี หวังลู่ก็พัฒนาขีดความอดทนที่มีต่อสติปัญญาของหลิวหลีขึ้นมาสูงลิบ ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น “ข้าจะลงจากเขาเพื่อเดินทางไปยังแคว้นสายหมอก มันอาจกินเวลาถึงสิบวันไม่ก็สองสัปดาห์ และระหว่างนี้ข้าก็จะสู้กับเจ้าไม่ได้”

          นึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะกล่าวว่า “เจ้าจะลงจากเขา? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องอยู่คนเดียวสิ!”

          “ใช้แตงกวาไปก่อนแล้วกัน” หวังลู่อดส่ายศีรษะไม่ได้ “ข้าเองก็ไม่อยากไป แต่ขัดคำสั่งอาจารย์ไม่ได้”

          หลิวหลีถาม “ข้าจำได้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นตัวแทนหลัก อยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนมากมาย ถ้างั้นเจ้าก็สามารถเพิกเฉยคำสั่งของอาจารย์งี่เง่าของเจ้าได้สิ เพราะมันไม่มีอำนาจเหนือเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

          “ปัญหาคือครั้งนี้นางลงทุนเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนัก ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามน่ะสิ” หวังลู่ยักไหล่ “ยัยตัวแสบนั่นบอกว่า ข้าเป็นตัวแทนหลักแท้ๆ แต่กลับอยู่แต่บนเขามาเนิ่นนาน ทำให้เสื่อมเสียเกียรติการเป็นตัวแทนหลักไปเปล่าๆ ในเมื่อตอนนี้ข้าบำเพ็ญเซียนมาสิบปีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงจากเขาเพื่อไปสร้างชื่อเสียงและแผ่อิทธิพลให้สำนัก… ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี หากนางอยากจะสร้างชื่อเสียงให้สำนักนักละก็ จะมีอะไรดีกว่าการที่นางไปแก้ผ้าวิ่งรอบสำนักเซิ่งจิงกันเล่า เห็นได้ชัดว่านางต้องการแก้แค้นข้าต่างหาก”

          หลิวหลีถามด้วยความสงสัย “แก้แค้นหรือ ทำไมกัน”

          หวังลู่ขมวดคิ้ว “…เพราะข้ารายงานเจ้าสำนักว่านางพยายามขโมยของของสำนัก เพราะข้าปฏิเสธไม่ยอมเป็นผู้ค้ำประกันตอนที่นางจะกู้เงิน เพราะข้าตามอาย่ามาทำอาหารให้นาง มีเหตุผลมากมายให้เลือกเลยละ ยังไงซะก็เป็นเพราะนางนั่นละ ที่ทำให้ข้าอดเล่นกับเจ้าไปอีกหลายวัน”

          “โอ้” หญิงสาวคอตก ดูน่าสงสารยิ่งนัก

          “แต่” หวังลู่เปลี่ยนใจ “ข้าพาเจ้าลงเขาไปด้วยกันได้”

          “ลงเขาไปด้วยกัน? เจ้าพูดจริงหรือ” ดวงตาของหลิวหลีเบิกขึ้นเล็กน้อย “ที่ด้านล่างนั่นมีเรื่องสนุกๆ มากมาย แต่โชคร้ายที่อาจารย์ห้ามข้าลงไป”

          หวังลู่คิดในใจ ‘แน่สิ ด้วยสติปัญญาของเจ้า ไม่มีใครเชื่อใจให้เจ้าลงเขาไปลำพังหรอก’ เมื่อแปดปีก่อน ตอนที่สำนักจัดการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ขึ้นที่ด้านล่างภูเขา หลิวหลีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกินและเล่น ไปยังเขาเมฆาโลหิต ก่อเรื่องขึ้นที่นั่น บรรลุตบะขั้นสร้างฐานและสังหารปีศาจเมฆาโลหิตได้สิบสองตัว สำหรับคนอื่น ประสบการณ์เหล่านี้อาจฟังดูน่าทึ่ง แต่สำหรับอาจารย์แห่งยอดเขากระจ่าง เรื่องนี้ทำเอาเขากลัวจนสติแทบแตกทีเดียว

          ทว่าหากนางติดตามหวังลู่ไปย่อมต้องไม่มีปัญหาแน่ ห้าปีที่ผ่านมาเขาฝึกฝนให้นางเชื่อฟังไม่ต่างจากฮวาฮวา แถมท่านลุงสี่เองก็เป็นคนใจกว้าง ยอมปล่อยศิษย์ล้ำค่าคนนี้ไว้หน้าประตูบ้านของหวังลู่เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง… แต่ก็อีกนั่นแหละ ภายใต้การดูแลของหวังลู่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา จำนวนครั้งที่หลิวหลีได้สร้างปัญหาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

          มาครั้งนี้ คงน่าเบื่อไม่น้อยหากเขาต้องลงเขาไปเพียงลำพัง และหากเขาลงเขาไปกับศิษย์คนอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย อย่างเช่น เยวี่ยซินเหยา เหวินเป่าและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่ราบรื่นนักเพราะความแตกต่างของขั้นตบะมีมากเกินไป มีเพียงหลิวหลีเท่านั้นที่คู่ควร ไม่เพียงพลังของพวกเขาจะใกล้เคียงกัน การโจมตีและการตั้งรับของคนทั้งคู่ก็ช่วยเติมเต็มให้กันและกันด้วย และจากความเข้าอกเข้าใจอันดีด้านกลยุทธ์ที่มาจากการต่อสู้กันตลอดห้าปีของพวกเขา จะเรียกได้ว่าเป็นการผนึกกำลังกันที่สมบูรณ์แบบก็ไม่ผิดนัก

          พอหวังลู่เสนอเรื่องนี้กับโจวหมิง อีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างยินดี “ดีเลย ข้าเองก็คิดอยู่ว่าจะส่งนางลงภูเขาไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์สักหน่อย หากนางไปกับเจ้าด้วย ข้าเองก็วางใจ เด็กคนนั้นมีจิตใจบริสุทธิ์ นางแยกแยะคนดีกับคนชั่วในโลกมนุษย์ไม่ออก ดังนั้นได้คนชั่วมาให้บทเรียนหน่อยก็คงจะดี ในเมื่อเจ้าอยากจะช่วยนางเรื่องนี้ ข้าก็ต้องขอบใจเจ้าแทนแล้ว”

          “…ขอบคุณในคำชมเชยของท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าจะรับตัวปัญหานี้ไว้เอง”

          เมื่อออกจากยอดเขากระจ่าง หวังลู่ก็ตรงไปยังยอดเขาไร้ลักษณ์เพื่อเรียกหลิวหลีและเจ้าสุนัขลายด่างมารวมตัว จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็ออกเดินทางไปยังแคว้นสายหมอก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด