กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 8.1 ที่รัก มาลงชามของข้าให้ไว (1)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 8.1 ที่รัก มาลงชามของข้าให้ไว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ปราศจากแสงไฟ ปราศจากสายลม ความมืดไร้ขอบเขตกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างทั้งใกล้และไกล ราวกับว่าทั้งโลกตกลงไปในขวดน้ำหมึกไร้ก้น หลอมรวมอยู่ในความเงียบงันชั่วนิรันดร์กาล

ที่นี่คือแดนปรลัย ณ ภูเขาฝั่งตะวันตก ใต้กระแสน้ำทมิฬ

ณ แดนปรลัยที่อยู่ตรงเชิงเขาฝั่งตะวันตก ทุกๆ สิบวันจะต้องมีวันหนึ่งที่กระแสน้ำทมิฬพัดท่วมขึ้นมา ภายใต้กระแสน้ำทมิฬนั้นทุกสรรพสิ่งจะถูกคร่าชีวิตไป ใต้โดมสีครามบนสรวงสวรรค์เหนือพื้นดิน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะถูกล้างบาปโดยไม่อาจหลีกหนีได้

สิ่งมีชีวิตเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ใต้พื้นดินในภูเขา รวมถึงแม่น้ำและทะเลสาบ รอคอยให้กระแสน้ำทมิฬสิ้นสุดลง

ณ ถ้ำไร้ชื่อที่ภูเขาฝั่งตะวันตก ผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มกวัดแกว่งกระบี่ในมือ ยืนเฝ้าปากทางถ้ำอยู่ ปลายของกระบี่หน้าตาเรียบๆ ชี้ตรงไปด้านหน้า ด้านหนึ่งหันไปยังปากถ้ำ อีกด้านแทงอยู่บนกระแสน้ำทมิฬที่ดำเข้มเหมือนน้ำหมึก

อึดใจถัดมา แขนที่ถือกระบี่ไว้ก็เริ่มสั่น เสียง ‘ฮัม’ ดังออกมาจากกระบี่ ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตร้องคำรามอยู่ใต้กระแสน้ำทมิฬ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นจึงถอนกระบี่และหันหลังกลับ

กระแสน้ำทมิฬกระจายตัว พยายามติดตามผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปในถ้ำ ทว่าแสงสว่างจากไฟภายในถ้ำนั้นเจิดจ้าไม่น้อย สะท้อนคมกระบี่ของผู้บำเพ็ญเซียนจนเปล่งประกาย กระแสน้ำทมิฬลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะถอนตัวจากถ้ำนั้นไป

เมื่อเห็นดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนก็วางกระบี่ลง ย้ายสายตาไปจับจ้องเปลวไฟสีทองที่อยู่ภายในถ้ำ เปลวไฟที่ว่าไม่ได้มาจากถ่านหรือน้ำมัน แต่เป็นเศษหยกแวววาว เปลวไฟจากเศษหยกขนาดเท่ากำปั้นสามารถป้องกันกระแสน้ำทมิฬได้หลายชั่วโมง และในถ้ำนี้มีหยกดังกล่าวอยู่สองสามก้อน

“แต่เราเก็บหยกเรืองแสงจากแถวนี้มาหมดแล้ว พอกระแสน้ำทมิฬในครั้งนี้สิ้นสุดลง เราจะต้องไปต่อ”

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นพูด เงียบไปพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ความจริงข้าว่าข้าพุ่งตัวออกไปได้”

เสียงของเขาเงียบลงเมื่อกระบี่ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา จากนั้นเสียงเย็นๆ ของหญิงสาวก็ดังเข้ามาในหู “ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็อย่าเสี่ยงหาเรื่อง ทำไมถึงไม่เข้าใจนะ”

“เจ้าพูดอย่างกับว่าในภูเขาฝั่งตะวันตกนี้ข้าไม่เคยเสี่ยงหาเรื่องเช่นนั้นแหละ สุดท้ายแล้วข้าก็ยังมีชีวิตอยู่”

“เจ้าเสียแขนซ้ายไปแล้ว ยังคิดปากดีอยู่อีกหรือ”

“ใช่ ข้าเสียแขนไปข้างหนึ่ง จึงไม่อาจชัก ‘กระบี่’ ในแดนปรลัยได้สะดวก ดังนั้นหลังจากนี้ข้าคงต้องพึ่งท่านให้ใช้ปากให้แล้ว”

เสียงฮึมฮัมของกระบี่เปลี่ยนเป็นเสียงเสียดสีของเหล็กในทันที ทำให้ทั้งหยกเรืองแสงและเปลวไฟที่โชติช่วงสั่นสะท้านขึ้น ผู้บำเพ็ญเซียนกล่าวขอโทษอย่างฉับพลัน “พี่หญิงสารทอาภา พี่หญิงสารทอาภา ข้าผิดไปแล้ว อย่ากรี๊ดใส่ข้าเลยนะ”

กระบี่ยังคงส่งเสียงครืดคราดอยู่ ทว่าก็ค่อยๆ เบาลง แต่เสียงของหญิงสาวยังคงโกรธเกรี้ยวและอัดอั้น “ยกเท้าเจ้าออกเดี๋ยวนี้”

ผู้บำเพ็ญเซียนรีบยกเท้าที่เพิ่งเหยียบลงบนกระบี่ออก จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าขอโทษ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างข้ามันไวไปหน่อย”

“เจ้าน่ะไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นใครที่อยู่ในแดนปรลัยแล้วร่าเริงอย่างเจ้ามาก่อน”

“คุณสมบัติพื้นฐานของนักผจญภัยมืออาชีพก็คือการมองโลกในแง่ดี”

พูดจบ ผู้บำเพ็ญเซียนก็นั่งลงเงียบๆ พลางเอาตัวพิงกำแพงหิน จากนั้นก็เริ่มโคจรลมหายใจตามวิธีที่เรียนมา

แน่นอนว่าชายผู้นี้ย่อมเป็นหวังลู่และสารทอาภา จิตวิญญาณของกระบี่แห่งเขาคุน แม้อาณาจักเก้าแคว้นจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ยืดอกอย่างภูมิใจว่าตัวเองคือนักผจญภัยมืออาชีพก็น่าจะมีเพียงชายหนุ่มผู้นี้คนเดียวเท่านั้น

ตอนนี้หวังลู่ใช้เวลาอยู่ในภูเขาฝั่งตะวันตกมามากกว่าสามร้อยคืนแล้ว

เมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน อาจารย์ของเขาล่อเขาให้มายังแดนปรลัยโดยไม่บอกเหตุผลทั้งยังไม่มีคำอธิบาย ทว่าในฐานะที่เป็นอาจารย์และศิษย์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ พวกเขาจึงเข้าใจกันดีโดยไม่จำเป็นต้องมีการอธิบายใดๆ

เขารู้ว่าสิ่งนี้คล้ายคลึงกับการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์เพราะมันเกิดขึ้นตอนที่เขาเพิ่งบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับห้าและพร้อมที่จะฝึกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ ปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือกลยุทธ์ใดของวิชาไร้ลักษณ์ เขามักต้องเรียนรู้ด้วยวิธีพิสดารพันลึกอยู่แล้ว และนี่อาจเป็นวิธีแปลกๆ ในการเรียนอีกวิธีหนึ่งที่ผู้เป็นอาจารย์จัดหามาให้ก็ได้

ทันทีที่ร่วงลงมาจากปากทางเข้าของแดนปรลัย หวังลู่ก็ไม่แปลกใจที่พบจดหมายฉบับหนึ่งในย่ามสีเหลืองหม่นของตน เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไร

หวังอู่ไม่ได้เขียนอะไรมากในจดหมาย ไม่แน่ว่านางอาจขี้เกียจเปลืองน้ำหมึกก็เป็นได้ นางเพียงบอกว่าที่แห่งนี้คือแดนปรลัย เป็นสถานที่ที่เขาสามารถบำเพ็ญเซียนได้ การจะเอาชีวิตรอดในนี้ เขาต้องใส่ใจจุดที่ระบุไว้ด้านล่างนี้ ทว่าแม้แต่จุดเหล่านั้นนางก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมาให้ นางไม่ได้เขียนถึงเรื่องสำคัญอย่างหยกเรืองแสงด้วยซ้ำ ทั้งยังเพียงแค่กล่าวลอยๆ ถึงกระแสน้ำทมิฬด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับนักผจญภัยมืออาชีพอย่างหวังลู่ ข้อมูลเพียงเท่านี้จากหวังอู่ก็นับว่าเพียงพอ เพียงเท่านี้หวังลู่ก็เข้าใจดินแดนปรลัยนี้ได้เป็นอย่างดี

ความเข้าใจนี้เกิดจากการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เมื่อปีก่อน การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนั้นบังคับให้ศิษย์ตั้งแต่ขั้นสร้างฐานลงไปเข้าร่วมทุกคน ในครั้งนั้น ศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนยังมีตบะต่ำกว่าขั้นสร้างฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงจากเขาร่วมเดินทางไปด้วย

ทว่าพอถึงวันออกเดินทาง ศิษย์ผู้สืบทอดที่ลงจากเขาไปมีเพียงหวังลู่และหลิวหลีเท่านั้น ในการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนั้น หลิวหลีบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน หนำซ้ำการต่อสู้ในหุบเขาเมฆาโลหิตของนางก็โด่งดังไปทั่วโลก ส่วนหวังลู่ได้ก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาที่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคนขึ้น แม้สิ่งที่เขาทำไม่อาจปิดเงียบไปได้ตลอดกาล แต่ก็มีหลายคนที่ชื่นชมความสามารถของเขา ความสำเร็จที่ได้จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของทั้งคู่ทำให้ใครหลายคนถอนหายใจด้วยความชื่นชมต่อศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสอง ทว่าในบรรดาศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนของสำนัก คนที่มีชื่อเสียงมากกว่าใครย่อมไม่พ้นจูซือเหยา ศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก ทว่านางกลับไม่ได้เข้าร่วมการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนั้น

ด้วยการตระเตรียมการเป็นพิเศษ ปีนั้นจูซือเหยาได้ไปยังแดนปรลัย แม้ต่อมานางจะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องกลับสำนัก ทว่าก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้จนบรรลุถึงแก่นกระบี่ แก่นกระบี่แท้จริงแล้วคืออะไร มันก็คือแก่นของขั้นพิสุทธิ์นั่นเอง ภายในหนึ่งปี จากขั้นฝึกปราณช่วงปลายสู่แก่นกระบี่ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่มหัศจรรย์พันลึกอะไร แต่นางก็พัฒนาล้ำหน้าเกินศิษย์อีกสองคนไปหลายขั้น ภายหลังมีผู้รู้มาว่า ในแดนปรลัยนั้น จูซือเหยาได้สังหารราชาซากศพปรลัยภายใต้กระแสน้ำทมิฬในภูเขาฝั่งตะวันตกได้หนึ่งตัวจนบรรลุแก่นของกระบี่…

แล้วราชาซากศพปรลัยคืออะไร หากถามคำถามนี้กับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ พวกเขาอาจไม่สามารถตอบคำถามได้ ทว่าในตำราของสำนักกระบี่วิญญาณ บันทึกที่เกี่ยวข้องกับมันถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน

แม้แต่ราชาซากศพปรลัยตัวที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งพอๆ กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน ทว่าจูซือเหยาสามารถสังหารพวกมันได้หนึ่งตัวท่ามกลางกระแสน้ำที่มืดสนิท แม้ในรายละเอียดปลีกย่อยจะมีเรื่องบังเอิญไม่น้อย และแม้ความแข็งแกร่งของจูซือเหยาจะยังไม่อาจเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนแม้จะบรรลุแก่นกระบี่แล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกันแล้ว บันทึกชัยชนะที่หลิวหลีมีต่อปีศาจสิบสองตัวในหุบเขาเมฆาโลหิตก็ถือว่าจืดชืดไปเลยทีเดียว

พอได้ยินเรื่องซุบซิบนี้ หวังลู่ย่อมอยากเข้าไปสำรวจแดนปรลัยและกระแสน้ำทมิฬเป็นธรรมดา สถานที่ที่เรียกว่าแดนปรลัยตั้งอยู่ทางตะวันตกของอาณาจักรเก้าแคว้น มันไม่ได้อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่กินพื้นที่ขนาดมหาศาลในแผ่นดิน ตำนานเล่าขานกันว่า ก่อนกลียุคมันเคยเป็นอาณาเขตของสำนักมารมาก่อน จากนั้นพลังปราณฟ้าดินกลับผกผันอย่างรุนแรง ทำให้สำนักมารไม่อาจอยู่รอดต่อไปได้ ทว่าในการต่อสู้กันครั้งสุดท้าย ปีศาจโบราณหลายสิบตัวที่ใกล้จะบรรลุเซียนอยู่ร่อมร่อเกิดสติวิปลาส พลิกแผ่นดินขนาดเท่าแคว้แคว้นหนึ่งคว่ำลง จับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในบริเวณนั้นโยนทิ้งจนกระทั่งไม่มีใครเหลือรอด ไอปีศาจแผ่ปกคลุมทั้งดินแดน ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแดนปรลัย หลังจากผ่านพ้นไปหลายพันปี ดินแดนนี้ก็ไม่อาจพัฒนาขึ้นมาได้ หนำซ้ำสัตว์ประหลดและสิ่งมีชีวิตจากแดนปรลัยยังชอบออกมาสร้างความเดือนร้อนบ่อยๆ หลังจากที่พวกมันถูกกำราบให้กลับไปยังที่เดิม ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกผนึกปิดตายและตัดขาดจากอาณาจักรเก้าแคว้น

สุดท้ายแล้ว กุญแจของผนึกก็ตกมาสู่มือของสำนักกระบี่วิญญาณ แน่นอนว่าในทางภูมิศาสตร์ แดนปรลัยอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรเก้าแคว้น ดังนั้นจึงเป็นปกติที่สำนักกระบี่วิญญาณจะมีหน้าที่ดูแลที่นี่ ในฐานะหนึ่งในห้าวิเศษของอาณาจักรเก้าแคว้น สำนักกระบี่วิญญาณยินดีที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแล

‘พรมแดน’ แห่งนี้ ภายหลังผู้คนต่างก็คิดว่าสำนักกระบี่วิญญาณได้ปิดตายสถานที่นี้เอาไว้ ทว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้คนในสำนักกระบี่วิญญาณนั้นค่อนข้างกระตือรือร้นและเริ่มพยายามพัฒนาแดนปรลัยขึ้นมาใหม่

………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด