กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 15 ศึกครั้งใหญ่ของฤดูร้อน

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 15 ศึกครั้งใหญ่ของฤดูร้อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ขณะที่หวังลู่ตัดสินใจที่จะออกสำรวจพื้นที่โดยรอบเขาอวิ๋นไท่ในรัศมีหนึ่งพันลี้เพื่อหาตัวตัวอ่อนสัตว์เซียนให้เจอก่อนสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ที่ยอดเขาลืมเลือนบนเขาอวิ๋นไท่ ผู้อาวุโสหลายคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์กำลังเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่อาจลืมเลือนได้

ยอดเขาลืมเลือนบนเขาอวิ๋นไท่เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในรัศมีสองพันลี้ สถานที่ตั้งของมันนั้นได้เปรียบเนื่องจากสามารถมองเห็นได้ทั่ว และที่บนยอดเขา เดิมทีมีวัดที่ศิษย์ของสำนักมังกรขาวสร้างขึ้น ทว่าวัดที่ว่านี้ถูกสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์รื้อออก และสร้างเป็นอาคารหินหลายชั้นเพื่อใช้เป็นฐานที่ตั้งหลักของสาขา สิ่งก่อสร้างที่ว่านี้ดูหยาบกว่าสิ่งก่อสร้างเดิมมากนัก

ทว่าสิ่งก่อสร้างที่สร้างและเสริมให้แข็งแกร่งด้วยวิธีลับนี้กำลังสั่นไหวด้วยเสียงตวาดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอยแยกน้อยใหญ่ต่างเริ่มปรากฏให้เห็น ฝุ่นและเศษหินร่วงกราวราวกับว่ามันจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

“พวกเจ้าสองคนมันไม่เอาไหน!”

ภายในห้องโถง เด็กสาวหูแมวที่มีใบหน้าซีดเผือดและดวงตาที่สิ้นหวังกำลังคุกเข่าอยู่กลางห้อง ข้างๆ นางคือชายรูปร่างกำยำเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจำนวนมาก คนทั้งคู่กำลังถูกเสียงตวาดดังกึกก้องกระหน่ำใส่อยู่ เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของคนทั้งคู่ที่จวนเจียนจะหมดแรง ขั้นตบะของเด็กสาวหูแมวสูงกว่าฉือโฮ่วมาก แต่แรงกดที่นางได้รับก็หนักหนากว่าหลายเท่าจนท่วมท้นตัวนาง

คนที่เปล่งเสียงตวาดออกมาคือผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน เขามีร่างกายกำยำและสูงกว่าฉือโฮ่วด้วยซ้ำ ผู้บำเพ็ญเซียนที่น่าเกรงขามคนนี้มีลำคอหนาและมีศีรษะเป็นเสือ

เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ ปรมาจารย์ตบะขั้นกำเนินใหม่ ราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้น

ผู้อาวุโสสูงสุดหัวพยัคฆ์นี้ไม่ได้เป็นสัตว์ภูตมาแต่กำเนิด แต่คือมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์ เพียงแค่เมื่อเขาบรรลุถึงตบะขั้นกำเนิดใหม่ เขาก็เปลี่ยนร่างของตัวเองให้เป็นสัตว์ร้ายอย่างถาวร แม้ร่างกายจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เขาก็ได้พลังวิเศษของสัตว์ภูตมาครอบครอง และเสียงคำรามอสนีบาตก็เป็นหนึ่งในนั้น

เสียงคำรามอสนีบาตจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายจะทานทนได้ เมื่อเทียบกับเสียงกรีดร้องของเด็กสาวหูแมวที่พื้นที่ยกชั้นก่อนหน้านั้น เสียงคำรามอสนีบาตนั้นทรงพลังยิ่งกว่าถึงสิบเท่า! หากราชาพยัคฆ์คิดจะสังหาร ผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคนที่อยู่ในอาคารนั้นย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปแน่

ทว่าคนเหล่านั้นต่างก็รู้ว่าแม้ราชาพยัคฆ์จะโกรธหนัก เขาก็ไม่ได้มีจิตคิดจะสังหาร พวกเขาจึงทำได้เพียงอดทนอย่างถึงที่สุดจนกว่าความโกรธของอีกฝ่ายจะบรรเทาลงสักเล็กน้อยจากนั้นก็จะถึงเวลาปรึกษาหารือภารกิจหลัก

ไม่นานเสียงคำรามอสนีบาตก็สงบลง ผู้คนในนั้นต่างพากันผ่อนคลาย ทว่าอึดใจถัดมาเมื่อราชาพยัคฆ์ก็ส่งเสียงฮึอย่างเยียบเย็น หัวใจของพวกเขาก็กระตุกด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง

“เป็นปีแล้วที่เราเดินทางมาจากแคว้นทักษิณสวรรค์ สำหรับปรมาจารย์ตบะขั้นสร้างแกนอย่างพวกเจ้า เวลาหนึ่งปีไม่ได้ยาวนาน ทว่าในหนึ่งปีนี้สิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปก็ถือว่าไม่น้อย ตอนนี้พวกเจ้ากว่าครึ่งรวมทั้งข้ากำลังเผชิญกับสถานการณ์คอขวดในการบำเพ็ญเซียน ดังนั้นจึงควรเก็บตัวฝึกฝนให้เร็วที่สุด ทว่าเพื่อผลประโยชน์ของสำนัก ในหนึ่งปีมานี้พวกเราแทบไม่ได้ผ่อนคลายกันเลย พวกเราเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ นั่นเพราะสำนักไม่ได้ให้การสนับสนุนใดๆ บนภูเขานี้ อิฐและหินทุกก้อนที่ใช้สร้างอาคารแห่งนี้มาจากหยาดเหงื่อเราทั้งสิ้น พูดสั้นๆ ก็คือเราใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยทีเดียว”

ผู้อาวุโสที่นั่งเป็นสองแถวอยู่เบื้องหน้าเก้าอี้สูงของอีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ สำหรับเรื่องนี้พวกเขาวางแผนกันมาเนิ่นนานตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่แคว้นทักษิณสวรรค์เมื่อหนึ่งปีก่อน รวมๆ แล้วแรงกายแรงเงินที่พวกเขาลงทุนไปนั้นยากที่จะประเมินจริงๆ

“สิ่งที่เราทำลงไปนั้นไม่เสียเปล่า หลังเดินทางมาแสนไกล เราก็สามารถสร้างฐานที่มั่นขึ้นที่นี่และขับไล่สำนักมังกรขาวเจ้าถิ่นเดิม รวมถึงสำนักเซียนน้อยใหญ่มากกว่าสิบสำนักในรัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ออกไปได้ ตอนนี้เราสามารถพูดได้ว่าภูเขาแห่งนี้อยู่ในกำมือเราทั้งหมด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองแถวพลันหม่นลง

“ทว่าหกเดือนเต็มที่ผ่านมา เรากลับจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกำมือของเราไม่ได้ แค่เงาของเจ้าสัตว์นั่นบนเขาอวิ๋นไท่เราก็ยังหาไม่เจอ พวกเจ้ารู้ไหมตอนที่ทูตของสำนักมาที่นี่เมื่อสามเดือนก่อน เขากล่าวว่าอะไร”

เมื่อดูจากสีหน้าถมึงทึงของราชาพยัคฆ์แล้ว เหล่าผู้อาวุโสก็รู้ว่าผู้ที่มาจากแคว้นทักษิณสวรรค์นั้นย่อมไม่พูดสิ่งดีแน่นอน

“ข้าไม่อยากกล่าวคำพวกนั้นซ้ำ แต่ตอนที่ทูตนั่นพูดจาไม่รื่นหูใส่ ข้าก็บิดคางเจ้านั่นไปในวันนั้นเรียบร้อยแล้ว!”

เหล่าผู้อาวุโสต่างหวาดผวา ทูตที่มาเมื่อสามเดือนก่อนน่าจะมีตำแหน่งสูงส่งกว่าชายผู้ที่มีร่างกายสีแดงก่ำที่อยู่ตรงหน้า! เหล่าผู้อาวุโสบนเขาอวิ๋นไท่ล้วนถูกสำนักทำตัวหมางเมินใส่ แต่นี่…

“เรารู้เรื่องของสัตว์เซียนภูตจันทรานี่ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน และทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมัน! ในเมื่อมาขนาดนี้แล้ว เราจะไม่ยอมถอยออกจากเส้นทางนี้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใดๆ ต่อให้คนของแคว้นทักษิณสวรรค์คิดจะหยุดเรา หรือต้องเผชิญกับพลังวิเศษใหม่ๆ ของภูตจันทรา หรือแม้แต่นักบวชเนื้อสุนัข นางสารเลวที่พยายามจะขัดขวางเรา สิ่งเดียวที่เราจะทำคือบดขยี้ปัญหาทุกอย่างให้สิ้นซาก เราจะไม่หยุดเพราะอะไรทั้งนั้น!”

ราชาพยัคฆ์กล่าวพลางกำหมัดแน่น เป็นการกำหมัดที่รุนแรงมากจนทำให้อากาศรอบด้านระเบิดออก และเกิดเป็นเสียงดังสนั่นขึ้นมา

“หลิงเยียน นักบวชเนื้อสุนัขอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าที่ทำให้นางหนีไปได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่ถอนความผิดด้วยการไปจับตัวนางสารเลวนั่นกลับมา”

เด็กสาวหูแมวรีบคำนับเพื่อแสดงอาการรู้คุณ ทว่าตาของนางกลับฉายแววสงสัย

เมื่อดูกันตามขั้นบำเพ็ญเซียนแล้ว นักบวชเนื้อสุนัขที่มีตบะอยู่ในขั้นสร้างแกนระดับกลางย่อมไม่อาจเทียบกับตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายอย่างนางได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับมีวิชาที่ลึกซึ้ง ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของทั้งสองฝ่ายไม่แตกต่างกันมาก เมื่อวันก่อนหากไม่ได้ค่ายกลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เด็กสาวก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะ ยังไม่นับรวมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางในมือของนักบวชเนื้อสุนัขที่มีศักยภาพมากพอจะพลิกสถานการณ์ที่กำลังเสียเปรียบ ตอนนี้ราชาพยัคฆ์สั่งให้นางชดใช้ความผิดด้วยการจับตัวนักบวชเนื้อสุนัขมาให้ได้ ทว่าหากนางออกไปตามล่าอีกฝ่ายจริงๆ มันคงแปลกไม่น้อยที่ศีรษะของเด็กสาวหูแมวจะไม่ถูกไม้เท้านั่นหวดกระเด็นไป

ราชาพยัคฆ์ปรายตามองเด็กสาวจากนั้นก็แค่นเสียงเย็นเยียบ “ทำไม หรือเจ้าว่ามันยากไป”

“ไม่ ผู้น้อยไม่กล้าคิดเช่นนั้น!” เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมทั่วกายเด็กสาว ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“หึ ตบะขั้นของนางสารเลวคนนั้นไม่เท่าไร แต่นางมีของดีอยู่ในมือ ลำพังแค่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อกรของนาง แต่ข้าย่อมไม่ให้เจ้าต้องตายอย่างเสียเปล่าแน่ ดังนั้นข้าจึงจะให้ยืมคนไปด้วยคนหนึ่ง”

ในใจเด็กสาวหูแมวรู้สึกตื่นตระหนกแต่ก็พลันยินดีขึ้นมาในทันใด ราชาพยัคฆ์มีสัตว์ภูตในการดูแลอยู่สี่ตัว แม้ตบะขั้นของสัตว์เหล่านี้จะไม่ต่างกับนางมากนัก แต่พวกมันแต่ละตัวก็มีพลังวิเศษที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้พวกมันกลายเป็นคู่หูทรงพลังที่หาได้ยาก! หากทั้งสี่ออกมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปัญหาเรื่องนักบวชเซนเนื้อสุนัขกับแมลงวันตัวเล็กๆ สองตัวนั้นก็จะกลายเป็นของกล้วยๆ ไปในทันที

“เอาละ เจ้าเข้ามาได้”

สิ้นเสียงเรียกของราชาพยัคฆ์ คนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง คนผู้นี้มีลักษณะของคนจากแคว้นทักษิณสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเขาคือคนจากสำนักงานใหญ่ที่ราชาพยัคฆ์เรียกตัวมาช่วย เมื่อคนผู้นี้เผยตัวออกมา หลิงเยียนก็นิ่งงันไปราวกับถูกฟ้าผ่า

“ทำไมถึงเป็นเขา”

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจางๆ จากผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ราชาพยัคฆ์ หลิงเยียนไม่เพียงไม่โค้งคารวะ แต่ร่างของนางกลับสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ ผิวหนังของนางชาดิกไปทั้งตัว หัวใจเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตผ่านเข้ามาในสมองโดยไม่เต็มใจ

ตอนนี้หลิงเยียนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้ว แม้ส่วนเล็กๆ บางส่วนในร่างกายยังคงลักษณะของสัตว์ภูตไว้อยู่ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นสมาชิกของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์และมีสิทธิ์ทุกอย่างเทียบเท่าผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นมนุษย์ ทว่าก่อนหน้านั้น นางเป็นเพียงสัตว์ภูตทั่วๆ ไปในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ถูกสมาชิกของสำนักจับตัวได้จากบนภูเขาที่แห้งแล้ง นางต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากเพื่อที่จะเรียนรู้กฎของโลกมนุษย์

และในช่วงเวลานั้น ผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกฝนให้นางก็คือผู้บำเพ็ญเซียนผิวเข้มที่อยู่เบื้องหน้านี่เอง

ผู้ฝึกสัตว์ อาเซี่ย

“หลิงเยียน? ไม่เจอกันนานเลยนะ”

พอได้เห็นรอยยิ้มเป็นมิตรของชายผู้นั้น หลิงเยียนก็ก้าวถอยหลังอย่างสั่นกลัว ในอดีตทุกครั้งที่อาเซี่ยเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา มันหมายถึงว่าได้เวลาที่นางจะต้องเจ็บตัวแล้ว

เมื่อเห็นเหตุการณ์ผิดปกติตรงหน้า ราชาพยัคฆ์ก็ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ที่แคว้นทักษิณสวรรค์ พวกเจ้าสองคนเคยเป็นศิษย์อาจารย์กัน ดังนั้นพวกเจ้าน่าจะรู้จักกันดีและเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง หนำซ้ำความพยายามร่วมกันในอดีตของพวกเจ้าก็ถือว่าไม่เลว ดังนั้นข้าจึงเรียกตัวเขามาที่นี่ หลิงเยียนเจ้ามีปัญหาอะไร”

หลิงเยียนเบิกตากว้าง นางอยากเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจใจแทบขาด แต่เมื่อได้เห็นสายตาฉุนเฉียวที่เคลือบไว้บนใบหน้าของราชาพยัคฆ์ นางก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาได้แม้สักคำ

ราชาพยัคฆ์อาจจะรู้เรื่องในอดีตของนางแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ อย่างที่อีกฝ่ายพูด พวกเขาเคยเป็นศิษย์อาจารย์กัน ต่างเข้าใจอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้ ทั้งยังพยายามร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ… ถือเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบโดยแท้ หากไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดที่หลิงเยียนเคยเผชิญในอดีต

แล้วความเจ็บปวดของหลิงเยียนนั้น ราชาพยัคฆ์จำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือ

“ข้าไม่มีปัญหาอะไร” หลิงเยียนกำหมัดแน่นขณะพูดกับตัวเอง ‘ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายและไม่เกรงกลัวอาเซี่ยที่มีตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางอีกต่อไป อาเซี่ยบำเพ็ญเซียนมาสองร้อยปีแล้ว เขาไม่มีทางไปได้ไกลกว่านั้น… เขาไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าข้า!’

ทว่าขณะนางกำลังครุ่นคิดอยู่ เสียงของอาเซี่ยก็ดังมาจากด้านหลัง “อืม เราไม่ได้เจอกันมาสามสิบปีแล้ว แต่ตอนนี้ตบะของเจ้ากลับอยู่ในขั้นสร้างแกนช่วงปลาย ถือเป็นพรสวรรค์ที่น่าอิจฉาจริงๆ”

ระหว่างพูด นิ้วมือเย็นๆ ของอีกฝ่ายก็ไต่อยู่ที่ต้นคอของหลิงเยียน พลังด้านลบก็กระจายออกมาในทันทีราวกับว่ามันพยายามแช่แข็งวิหารหยกทั้งหลังของหลิงเยียนเด็กสาว

หลิงเยียนตื่นกลัว ขณะพยายามเพิ่มระดับพลังอิทธิฤทธิ์ในกายเพื่อต้านทาน พลังดังกล่าวก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าอาเซี่ยเองกลับไม่ได้ขยับออกไปแม้เพียงครึ่งก้าว เขายังคงยืนข้างๆ ราชาพยัคฆ์อยู่เช่นนั้น

เด็กสาวสับสนหนักจนเหงื่อเย็นๆ ไหลจากศีรษะเป็นทาง

ทว่ากลับไม่มีใครสนใจท่าทีผิดธรรมดาของเด็กสาว หลังจากที่ราชาพยัคฆ์ออกคำสั่งเรื่องนักบวชเซนเนื้อสุนัขแล้ว เขาก็เริ่มสั่งการให้คนอื่นๆ ในเขาอวิ๋นไท่ดำเนินการวางค่ายกล หลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์และจับภูตจันทราให้ได้ ทุกคนต่างพากันกลั้นใจด้วยเกรงว่าจะฟังคำสั่งแม้เพียงคำเดียวพลาดไป

ตอนนี้ก็เกือบจะถึงเดือนเจ็ดแล้ว ใกล้จะถึงช่วงเวลาสำคัญนั่นเต็มที ภารกิจที่ราชาพยัคฆ์วางกำหนดการไว้เริ่มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีใครมีเวลาว่างมาใส่ใจสถานการณ์ของคนอื่น

ผ่านไปพักใหญ่ ราชาพยัคฆ์ก็สั่งการสิ่งต่างๆ จนลุล่วง เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันแยกย้ายไป ยกเว้นคนหนึ่งที่มีสีหน้าซีดเผือดยิ่งนัก

คนผู้นั้นคือฉือโฮ่ว หลังจากที่เขาสูญเสียเจ้าหลังเงินและเจ้าเขี้ยวขาว ซึ่งเป็นสัตว์ภูตในการต่อสู้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์หลักถูกชิงไป ขั้นตบะลดฮวบจน เขาก็แทบไม่อาจคงอยู่ในตบะขั้นสร้างแกนได้… ในสายตาของใครหลายๆ คน ผู้อาวุโสหนุ่มคนนี้หมดคุณค่าไปแล้ว แล้วก่อนหน้านี้ในการแจกจ่ายภารกิจ ราชาพยัคฆ์ก็ให้ภารกิจเดิมที่เป็นของฉือโฮ่วกับอาวุโสคนอื่นไปเรียบร้อย

เมื่อถูกละเลยและไม่มอบภารกิจให้ เจตนาของราชาพยัคฆ์ที่มีต่ออีกฝ่ายถือว่าชัดเจนเพียงพอ ทว่าฉือโฮ่วไม่ต้องการมีจุดจบเช่นนี้

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้า…”

ราชาพยัคฆ์ไม่ใส่ใจอีกฝ่าย เขาหมุนตัวออกจากห้องโถงไปโดยไม่ปรายตามองคนที่เอ่ยเรียกด้วยซ้ำ

ฉือโฮ่วรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก เขาพลันหายใจได้ไม่ต่อเนื่อง หมอกหนาหลายชั้นเข้าปกคลุมแกนทองคำที่อยู่ในวิหารหยก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าวิหารหยกของเขากำลังจะแตกออกจากกัน

ทว่าในตอนนั้นเองพลังด้านลบก็แทรกซึมเข้ามาด้านหลังเขา และบรรเทาความยุ่งเหยิงภายในวิหารหยกจนเสถียรขึ้น ฉือโฮ่วหันกลับมาอย่างแปลกใจแล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย

อาเซี่ย?

ฉือโฮ่วไม่รู้เรื่องของผู้ฝึกสัตว์จากแคว้นทักษิณสวรรค์ผู้นี้มากนัก เขารู้เพียงว่าตบะขั้นของอีกฝ่ายอยู่เพียงขั้นสร้างแกนระดับกลางและไม่พัฒนาขึ้นเลยภายในระยะเวลาห้าสิบปีมานี้ เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนของชายผู้นี้ถือว่าจบสิ้นแล้ว ทว่าสำหรับเส้นทางในการทำให้สัตว์ภูตเชื่อง เขากลับได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสระดับสูงในแคว้นทักษิณสวรรค์ และไม่มีใครรู้ว่าราชาพยัคฆ์ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเขาอวิ๋นไท่ใช้วิธีใดในการทำให้อีกฝ่ายย้ายมาที่นี่เพื่อเข้าคู่กับหลิงเยียนได้

พูดสั้นๆ ก็คือคนทั้งคู่ห่างเหินกันมากทั้งที่อยู่ในสำนักเดียวกัน อย่างไรเสียแม้อีกฝ่ายจะเป็นขยะไร้ค่าบนเส้นทางของการบำเพ็ญเซียน แต่ก็เป็นขยะไร้ค่าขั้นสร้างแกนระดับกลาง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าฉือโฮ่วมากนัก แล้วคนเช่นนี้คิดจะทำอะไรกับเขากันแน่

อาเซี่ยยิ้มออกมา ทำให้ใบหน้าสีเข้มของอีกฝ่ายดูเย็นชาน่ากลัวในสายตาของฉือโฮ่ว

“มีบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าช่วย เมื่อครู่ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้มอบหมายงานใดให้เจ้า ดังนั้นข้าจึงอยากใช้ประโยชน์จากเวลาว่างของเจ้าสักหน่อย… เราอาจต้องเดินทางไปยังทะเลสาบวารีสวรรค์กัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด