กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 34 ได้ยินว่าเจ้าจะฟ้องงั้นหรือ

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 34 ได้ยินว่าเจ้าจะฟ้องงั้นหรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหวินเป่าเดินทำหน้าเศร้าไปพบแม่นางเชียนฮู่พร้อมผู้ช่วยของเขาทั้งสองคน ขณะเดียวกัน หวังลู่และเยวี่ยซินเหยาก็ออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปสร้างปัญหาให้จูฉิน

“ศิษย์พี่หวังลู่ ข้า…”

ระหว่างทางเยวี่ยซินเหยาต้องการอธิบายบางอย่าง แต่หวังลู่ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ข้าดีใจที่ได้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยมาช่วยทันเวลา”

เยวี่ยซินเหยาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ศิษย์พี่หวังลู่ก็คือศิษย์พี่หวังลู่วันยังค่ำ นางยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็รู้ทันทีว่านางต้องการจะพูดอะไร หนำซ้ำยังชิงพูดจาปลอบประโลมนางอีกต่างหาก

เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขายังอยู่บนเขา หวังลู่ในตอนนี้ดูผอมลงแต่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน นางคงนึกไม่ออกว่าเขาจะกล่าวอะไรเช่นนี้ออกมาได้ด้วย เพราะหวังลู่ในตอนนั้นช่าง…

“ศิษย์พี่ แล้วนี่เราจะบอกศิษย์พี่จูฉินว่าอย่างไร ข้าเกรงว่า… ผลที่ได้จะไม่ดีเท่าไรนัก”

หวังลู่กล่าวตอบ “ข้ารู้ เช่นนั้นแล้วข้าถึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็แค่ส่งเหวินเป่ามาก็ได้ เจ้าอ้วนเดนตายนั่นทนอยู่ต่อหน้าหญิงสาวไม่ได้นาน เพราะเขาจะใจอ่อน แต่หากอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม เขานับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง”

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่วิหารประทีป ตอนที่เหวินเป่าผู้รู้ตื่นสามารถกำราบความโอหังของรัชทายาทจูฉินลงได้ เยวี่ยซินเหยาก็อดปิดปากหัวเราะไม่ได้ “แปดเดือนให้หลังมานี้ ความก้าวหน้าของศิษย์พี่เหวินเป่าถือว่ารวดเร็วนัก ท่านชี้แนะเขาได้ดีมากศิษย์พี่”

หวังลู่ตบอกตัวเองอย่างภูมิใจ “กองกำลังปฏิวัติย่อมปลุกปั่นผู้คนให้ฮึกเหิมขึ้นได้”

“กองกำลังอะไรนะ”

“เปล่าหรอก… อ้า เรามาถึงกันแล้ว”

ขณะพูดคุยกัน คนทั้งคู่ก็มาถึงจวนของจูฉิน ซึ่งความจริงแล้วก็คือวังหลวงของประเทศต้าหมิงนั่นเอง

ในเมื่อที่นี่คือวังหลวงของประเทศต้าหมิง การรักษาความปลอดภัยย่อมหนาแน่นกว่าที่วิหารประทีปมาก ที่สองฝั่งของประตูทางเข้ามียามยืนเรียงสองแถวแถวละสิบกว่าคน หนำซ้ำพวกนั้นยังไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ละคนมีตบะขั้นสร้างฐาน บนตัวสวมเกราะและถือหอกตามเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งล้วนเป็นอาวุธวิเศษระดับกลางที่มีมูลค่าไม่น้อย

เยวี่ยซินเหยาอดถอนหายใจไม่ได้ “ในแคว้นธาราคราม ประเทศต้าหมิงเป็นเพียงประเทศระดับกลางๆ แต่วังหลวงก็ยังโอ่อ่าถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่แปลกใจเลยหากจะมีปรมาจารย์เทพเซียนตบะขั้นสร้างแกนคอยกำกับสิ่งต่างๆ อยู่ในวังหลวง”

ทว่าหวังลู่กลับไม่ได้มีท่าทีประทับใจ “พวกเขาอาจจะเป็นแค่ยามที่จ้างมาจากหอนภาเร้นลับก็ได้ ไม่แน่ว่าข้างในอาจจะมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนอยู่จริงๆ แต่ความสามารถของเขาอาจจะเทียบได้แค่ตบะขั้นพิสุทธิ์”

เยวี่ยซินเหยาฉงน “จะเป็นไปได้อย่างไร”

“พูดง่ายๆ ก็คือ วังหลวงของประเทศต้าหมิงนั้นไม่ได้มีคนแห่งโลกเซียนเป็นของตนเอง ดูจากสถานการณ์ของวิหารประทีปเอาก็ได้ ดังนั้นเมื่อใดที่วังหลวงของประเทศต้าหมิงต้องการกำลังจากผู้บำเพ็ญเซียน พวกเขาจึงทำได้เพียงจ้างเอา และในเมื่อตอนนี้ธุรกิจของหอนภาเร้นลับพัฒนาขึ้นไม่น้อย ตราบใดที่พวกเขามีเงินจ่าย พวกเขาจะจ้างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนก็ย่อมได้”

เยวี่ยซินเหยาเอียงคอนิ่งคิด “เช่นนั้นก็นับว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่เลวสำหรับประเทศต้าหมิง หากฝึกกองกำลังของตัวเองเป็นเรื่องยาก จ้างเอาจากคนอื่นก็ไม่นับว่าแย่อะไร”

หวังลู่โบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วย “หากเป็นประเทศเล็กๆ อย่างประเทศชางหลาน การจ้างกองกำลังย่อมดีกว่าสร้างขึ้นเอง แต่อย่างไรเสียประเทศต้าหมิงก็เป็นประเทศระดับกลาง พวกเขาจะไม่ทะเยอทะยานก็ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการจ้างผู้บำเพ็ญเซียนตบะสร้างแกนไว้ในวังหลวง แล้วหากวันหนึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนจากลัทธิมารมาก่อความวุ่นวายในเมืองนี้ เจ้าว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนที่จ้างมาจะอุทิศตนต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนจอมชั่วร้ายนั่นหรือ อย่างมากเขาก็แค่ประมือสองสามกระบวนท่าแล้วก็หนีไป กลายเป็นว่าก็ไม่ต่างจากจ้างผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ ประเทศใหญ่ๆ ที่มีประชากรมากถึงสิบล้านคน แต่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนดูแลเพียงแค่คนเดียว เจ้าว่ามันจะพอหรือ”

เยวี่ยซินเหยาพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมากที่ชี้ข้อเท็จจริงให้ข้าเห็น”

พวกเขาพูดคุยกันขณะเดินตรงไปยังประตูวัง แน่นอนว่าเหล่ายามต้องสังเกตเห็นการปรากฏกายของคนทั้งสองและเริ่มตื่นตัว ทว่าเห็นได้ชัดว่าคนทั้งคู่มีพื้นเพไม่ธรรมดา อีกทั้งยังไม่ได้ก้าวล้ำไปยังพื้นที่ต้องห้าม จึงไม่มีเหตุผลที่จะไล่ตะเพิดไป

ทว่าอึดใจถัดมา หวังลู่ก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายเปลวไฟขึ้นมาและส่งมันขึ้นฟ้าก่อนที่ไฟจะมอดไหม้ลง การกระทำนี้ทำให้พวกยามลำบากใจ เพราะตามกฎแล้ว การร่ายอาคมบริเวณวังหลวงถือเป็นเรื่องต้องห้าม และผู้ที่ฝ่าฝืน…

เคราะห์ดีที่ก่อนที่พวกยามจะจัดการกับผู้ที่ฝ่าฝืน บุคคลหนึ่งก็ออกมาจากในวังอย่างรวดเร็วเพื่อต้อนรับแขกไม่ได้รับเชิญทั้งคู่

ใบหน้าของจูฉินอาบด้วยรอยยิ้มแฝงชัยชนะอย่างที่คาดเอาไว้ ฝีเท้าของเขารวดเร็วอย่างยิ่งราวกับว่าอดรนทนไม่ได้

เมื่อวาน หลังจากได้เห็นการแสดงที่น่าสะพรึงและน่าหวาดหวั่นของเหวินเป่าผู้รู้ตื่น เมื่อกลับมายังวังหลวง จูฉินก็ถึงกับนอนไม่หลับ ระหว่างที่กำลังตาแข็งอยู่นั้น เบาะแสหนึ่งก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด เขาไม่ได้มีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมอย่างเยวี่ยซินเหยา ทั้งยังไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าญาณทิพย์หยกอยู่ เขารู้เพียงว่าโดยเนื้อแท้แล้วเหวินเป่าเป็นเพียงแค่เศษสวะ แม้เจ้านั่นจะมีความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่จะมีสักกี่เรื่องที่เหวินเป่าค้นเจอได้ด้วยตนเอง ตอนที่พวกเขาอยู่บนเขา เหวินเป่าไม่เอาไหนสุดๆ ต้องยกความดีความชอบให้หวังลู่ที่ช่วยให้การบำเพ็ญเซียนของเหวินเป่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และตอนนี้ หลังจากที่ลงเขามาแปดเดือน บุคลิกของเหวินเป่ากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง… เห็นได้ชัดว่าหวังลู่ต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หนำซ้ำสำนักภูมิปัญญาอะไรนั่นย่อมเป็นสิ่งที่หวังลู่คิดขึ้นแน่ เมื่อคืนเขาได้รับรายงานจากสายลับของวังหลวง ว่าหากดูตามจำนวนผู้ติดตามซึ่งมีเกินหนึ่งล้านคน สำนักภูมิปัญญาถือว่าน่ากลัวยิ่ง! ท่ามกลางบุคคลที่มีปัญญาเฉียบแหลมในประเทศต้าหมิง เขาก็นึกถึงใครไม่ออกแล้วที่จะสามารถพัฒนากองกำลังให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ในเวลาเพียงครึ่งปีกว่า ทว่าหากเขาใส่หวังลู่ลงในสมการนี้ ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ความจริงเรื่องนี้ แม้ว่าจูฉินจะไม่อยากยอมรับมากเท่าไรก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีว่าเมื่อเทียบกันตามความสามารถ หวังลู่ที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดนั้นดีกว่าเขาหลายเท่านัก

เวลานี้ หากเขาต้องเผชิญหน้ากับเหวินเป่า เขายังรู้สึกว่าตนเองเหนือชั้นกว่าเล็กน้อย ทว่าหากเป็นหวังลู่แล้ว นับว่าเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว เขากับหวังลู่ไม่ได้มีความเกลียดชังต่อกัน ทว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่โต้เถียงและถากถางกันไปมา จนความสัมพันธ์ก็ไม่ถือว่ากลมเกลียวเช่นเดียวกัน ในสองปีแรกของการบำเพ็ญเซียน หวังลู่มีดีแค่เพียงการเป็นนักเรียนแถวหน้า จูฉินจึงยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก ทว่าหลังจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามเล็ก จูฉินกลับรู้สึกสั่นกลัวทุกครั้งที่ทั้งคู่พบกัน

ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เมื่อจูฉินแน่ใจว่าหวังลู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักภูมิปัญญา จูฉินก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาจับหวังลู่ได้คาหนังคาเขา แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะไม่เคร่งกฎกับศิษย์ผู้สืบทอดนัก แต่ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยย่อมไม่ยอมให้ลูกศิษย์ตั้งสำนักนอกรีตที่มีผู้ติดตามเกินหนึ่งล้านคนแน่! ความคิดนี้ย่อมออกมาจากหวังลู่ไม่ผิดแน่ เขาเองก็ไม่ต่างจากผู้อาวุโสห้าแห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ที่มักภาคภูมิใจกับความไม่มีขื่อมีแปของตน ทว่าจูฉินไม่ใช่ผู้อาวุโสห้า หนำซ้ำแม้แต่ผู้อาวุโสห้าเองก็มักเข้าตาจนอยู่บ่อยๆ ทุกคราที่แหกกฎของสำนัก แล้วหวังลู่เป็นใครกันถึงจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษไปได้

แน่นอนว่าจูฉินไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมที่จะใช้พิสูจน์ว่าหวังลู่เป็นแกนนำของสำนักภูมิปัญญา ความจริงแล้ว แม้สายลับวังหลวงของประเทศต้าหมิงจะลงทุนลงแรงไปขนาดไหน พวกเขาก็แทรกซึมเรื่องการจัดการของสำนักภูมิปัญญาไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้นกำเนิดที่ลึกลับของเจ้าสำนักภูมิปัญญายังคงเป็นความลับอยู่ ทว่าจูฉินไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เรื่องนี้ให้กระจ่าง แค่เพียงเขาส่งรายงานกลับไปที่สำนัก เหล่าผู้อาวุโสย่อมต้องถูกส่งลงเขามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน

ดังนั้นทันทีที่ก้าวออกมาจากวังหลวงและได้เห็นหน้าหวังลู่ หัวใจของจูฉินก็ท่วมท้นด้วยความปรีดา พลางคิดว่าวันที่เขาถือแต้มต่อได้มาถึงแล้ว ‘ฮ่า! เขาอาจขอให้ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและไม่รายงานผู้อาวุโส พูดก็พูดไปในฐานะศิษย์ผู้น้องข้าไม่ควรตีคนตอนล้ม แต่ใครใช้ให้ข้าเป็นศิษย์ตัวอย่างที่ยึดมั่นในกฎระเบียบกันเล่า ฮ่าๆๆ!’

“ฮ่ะๆๆ ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าคิดแล้วเชียวว่าต้องเป็นท่าน ข้ากำลังอยากพบท่านอยู่พอดี”

หวังลู่หยุดเดินพลางยิ้ม “ย่อมได้ศิษย์น้อง”

จูฉินกระแอมและแสร้งพูด “เรื่องมันอย่างนี้ ข้าได้ยินมาว่าไม่กี่เดือนมานี่ มีสำนักหนึ่งก่อตั้งขึ้นในประเทศต้าหมิง ทั้งยังพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ครึ่งปีกว่ามานี้ พวกเขามีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน…”

หวังลู่ขัดขึ้น “สำนักภูมิปัญญาสินะ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน”

“ใช่แล้ว สำนักภูมิปัญญา” จูฉินกัดฟัน มองไปยังใบหน้าสงบสุขุมของหวังลู่ พลางร้องอุทานในใจ ‘เจ้านี่ตีหน้าซื่อเก่งนักนะ!’

“แล้วสำนักภูมิปัญญามันทำไมหรือ เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้ากันเล่า” หวังลู่มองหน้าจูฉินอย่างใคร่รู้ราวกับว่าสำนักภูมิปัญญากับเขาไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน

จูฉินเหยียดยิ้ม “เป็นเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ศิษย์น้องเหวินเป่าเข้าไปอยู่ในสำนักนอกรีตนั่นแล้วได้เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนัก… ข้าเลยนึกได้ว่าแต่ไหนแต่ไรท่านก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ไม่แน่ว่าท่านอาจจะรู้อะไรบ้าง”

หวังลู่เลิกคิ้วพลางหุบยิ้ม “เจ้าอ้วนเดนตายนั่นไม่ใช่ลูกนอกสมรสของข้าเสียหน่อย เขาจะไปเป็นอาวุโสที่ไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า ไม่แน่ว่าตอนอยู่บนเขาเขาอาจเบื่อการเป็นลูกไล่ ดังนั้นพอลงเขามา เขาอาจอยากเรียนรู้ประสบการณ์น่าตื่นเต้นของการได้เป็นหัวหน้าก็ได้”

จูฉินเพ่งมองหวังลู่ “หรือก็คือ ศิษย์พี่หวังลู่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

หวังลู่ผายมือออกแต่กลับไม่พูดอะไร

ท่าทีไม่แยแสนี้ทำให้จูฉินรู้สึกรำคาญไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนจะพูดจายั่วยุหวังลู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะถูกยั่วกลับเสียเอง! จูฉินคิดในใจ ‘ดี ข้าเองก็เบื่อจะเล่นแล้ว มาพูดเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า!’

“ข้าว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แต่ก็ชี้ชัดไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน เพื่อความปลอดภัยของเหวินเป่าและเพื่อชื่อเสียงของสำนักกระบี่วิญญาณ ข้าคิดว่าจะเขียนรายงานไปยังผู้อาวุโส ขอให้พวกเขาลงมาตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงแก่น”

คำพูดนี้เหมือนเป็นไม้ตายของจูฉิน เขาหงายไพ่มาแล้ว ตอนนี้เขาก็แค่รอดูว่าหวังลู่จะตอบสนองอย่างไร

ทว่าหวังลู่ทำเพียงหัวเราะขำ “ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะเขียนรายงานถึงผู้อาวุโสหรือ”

“ใช่ ข้าต้องการให้ผู้อาวุโสตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพื่อที่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะได้ไม่อาจเอาชื่อของสำนักกระบี่วิญญาณไปทำเรื่องเลวทรามได้”

จูฉินกล่าวอย่างมีชัย ทันใดนั้นสายตาของเขากลับเห็นเยวี่ยซินเหยาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หวังลู่ขมวดคิ้ว

เขาคิดในใจ ‘…เดี๋ยวก่อนนะ หรือข้าพูดอะไรผิดไป’

โชคร้ายที่ก่อนที่จูฉินจะมีเวลาคิดเรื่องนี้ให้กระจ่าง หวังลู่ก็หัวเราะขำออกมาอีกรอบ จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องจูฉิน เจ้าอยากเป็นพวกขี้ฟ้องงั้นหรือ”

จูฉินคำรามลั่นในใจ ‘เดี๋ยวก่อนนะ หมายความว่าอย่างไรที่ว่าข้าเป็นคนขี้ฟ้อง ข้าห่างไกลจากคำคำนั้นตั้งหลายพันลี้!’

ทว่าก่อนที่จูฉินจะมีโอกาสได้พูด หวังลู่ก็หันศีรษะพลางทำหน้า ‘คร่ำครวญต่อฟ้าดิน’ แล้วเอ่ยปาก “ศิษย์น้องเยวี่ย ศิษย์น้องจูฉินบอกว่าเขาอยากเป็นพวกขี้ฟ้อง”

คิ้วของศิษย์น้องเยวี่ยขมวดมุ่นเข้าไปอีก

จูฉินโกรธมากเสียจนแทบกระอักเลือดออกมา เขาคิดในใจ ‘เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการเป็นพวกขี้ฟ้องเนี่ย!?’

“ศิษย์พี่หวังลู่ ข้าว่าท่านเข้าใจผิด ข้าไม่ได้จะ…”

หวังลู่เมินจูฉินและเอาแต่มองศิษย์น้องเยวี่ย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจราวกับว่ากำลังเวทนาคนที่ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ “ศิษย์น้องเยวี่ย ศิษย์น้องจูฉินคิดจะแฉคนอื่นต่อหน้าหญิงสาว!”

จูฉินรู้สึกสับสนในทันใด “อะไรเนี่ย…”

หวังลู่กล่าวต่อ “ทำเรื่องต่ำช้าต่อหน้าหญิงสาวเช่นนี้! เฮ้อ… น่าละอายจริงๆ!”

จูฉินคำรามในใจ ‘เจ้าต่างหากสมควรละอาย ตระกูลเจ้าต่างหากที่สมควรละอาย!’

“ศิษย์น้องเยวี่ย ข้าจำไม่ได้ว่ามีผู้อาวุโสของเราคนใดเคยสอนให้เหล่าศิษย์เป็นคนขี้ฟ้อง แล้วเจ้าล่ะ” หวังลู่ถามศิษย์น้องเยวี่ยซ้ำ

เยวี่ยเสี่ยวเหยาส่ายศีรษะเบาๆ

“ศิษย์น้องเยวี่ย เจ้าว่านิสัยขี้ฟ้องนี้เป็นสิ่งที่คนเราสมควรภูมิใจหรือ”

ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยนิ่งคิดพักใหญ่ “ข้าว่านั่นไม่ใช่เรื่องดี”

“ใช่แล้ว คนขี้ฟ้องสมควรถูกรังเกียจ จริงไหม”

“นี่…เป็นสิ่งที่เหล่าศิษย์ต้องวิพากษ์วิจารณ์แน่”

“เช่นนั้นหากบรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงของเจ้ารู้ว่ามีใครบางคนเป็นพวกขี้ฟ้อง พวกนางจะดูถูกเขาไหม”

“อืม ก็ไม่แน่”

“ไม่ใช่แค่บรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงของเจ้าเท่านั้น แม้แต้ผู้อาวุโสฮว๋าอี้ที่เปิดเผยจริงใจเองก็ย่อมไม่ชอบคนขี้ฟ้องเช่นกัน เจ้าว่าไหม”

“ใช่ ผู้อาวุโสฮว๋าอี้เป็นคนเช่นนั้น”

“ถูกผู้อาวุโสฮว๋าอี้รังเกียจ คนผู้นั้นคงจะอยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณอย่างไม่เป็นสุขเสียกระมัง”

“ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่”

“หากคนผู้นั้นไม่อาจอยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณอย่างเป็นสุข ข้าก็เกรงว่าเขาจะไม่มีที่ยืนในองค์กรใหญ่อย่างพันธมิตรหมื่นเซียน… ช่างน่าสมเพชจริงๆ ทั้งชีวิตของข้า ข้านึกไม่ออกเลยว่าคนเราอยากจะเป็นคนขี้ฟ้องไปทำไม”

ขณะที่หวังลู่และเยวี่ยซินเหยาต่อถ้อยคำกันอย่างสนุกสนาน จูฉินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็แทบจะหลั่งน้ำตา เขาคิดในใจ ‘ระยำ! เจ้านี่มันชั่วร้ายชัดๆ ใช้วิธีบิดคำพูดงอตรรกะชัดๆ!’ ทว่าต่อหน้าสายตาอ่อนโยนของศิษย์น้องหญิงเยวี่ย เขาไม่อาจผรุสวาทถ้อยคำระคายหูอย่าง ‘แล้วไง ข้าก็จะเขียนรายงานอยู่ดี!’ ออกไปได้

เขาได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ ‘หวังลู่ เจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว! เจ้ากล้าใช้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยเป็นอาวุธ เมื่อเทียบกับการเป็นคนขี้ฟ้องแล้ว เจ้ามันหน้าไม่อายกว่าเป็นร้อยๆ เท่า!’

ทว่าภาษิตว่าไว้ คนที่ไร้ยางอายก็คือผู้ไร้เทียมทาน เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น จูฉินจึง

จำต้องก้มหัวให้

“ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น เพราะงั้นท่านอย่าได้พูดเรื่องนี้อีกเลย…”

หวังลู่ยิ้มกว้าง “เป็นอันตกลง!”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วพูดกับเยวี่ยซินเหยา “เช่นนั้นวันนี้พอเท่านี้ก่อน!”

จูฉินยืนอยู่ตรงหน้าประตูวังหลวง มองเหม่อไปยังแผ่นหลังของหวังลู่และเยวี่ยซินเหยาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกสายลมแห่งความสิ้นหวังพัดกระหน่ำ

…………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด