กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 5 ช้าก่อนสหาย เจ้าสิ่งนี้มีชะตาต้องกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเรา

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 5 ช้าก่อนสหาย เจ้าสิ่งนี้มีชะตาต้องกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          จากร้านขายเนื้อ หวังลู่ก็เดินไปหาสหายทั้งสองจากนั้นก็เข้าสู่กลางเมืองไปด้วยกัน หลังจากตรวจสอบสภาพพื้นฐานของเมืองแล้ว หวังลู่ก็คลายใจลงเมื่อได้รู้ว่าอิทธิพลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในเมืองสว่างธรรมยังมีจำกัด ซึ่งอาจคิดได้ว่าคนพวกนั้นไม่ได้มองว่าเมืองนี้เป็นเมืองสำคัญ และกองกำลังหลักยังคงปักหลักอยู่ที่บริเวณเขาอวิ๋นไท่ ผู้ที่ตั้งตัวเป็นมังสวิรัติที่นี่เป็นเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ที่มีตบะขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานเท่านั้น

          ปัญหาเดียวก็คือการที่ศิษย์รุ่นเยาว์พวกนี้สามารถสร้างเรื่องโดยบังคับประชาชนให้ทำตามพวกเขาได้ชี้ให้เห็นว่าอำนาจท้องถิ่นหรือแม้กระทั่งอำนาจของพันธมิตรหมื่นเซียนของที่นี่กำลังเสื่อมถอยลง… ไม่แน่ว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องเหล่านี้อาจปิดตัวไปแล้วก็เป็นได้

เมืองขนาดประมาณเมืองสว่างธรรมมักมีสำนักท้องถิ่นใหญ่ๆ ไม่ก็พันธมิตรหมื่นเซียนมาตั้งสาขาย่อยเพื่อรับผู้บำเพ็ญเซียนพเนจร ที่ใจกลางเมืองหวังลู่เห็นบ้านลอยได้มากกว่าสิบหลัง ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโลกบำเพ็ญเซียนอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญเซียนก็มีให้เห็นขวักไขว่ เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมมีสาขาของสำนักต่างๆ อยู่มากมายแน่ และหากคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์คิดจะก่อปัญหาที่นี่ ก็ย่อมไม่อาจทำได้อย่างราบรื่นนัก

          หลังจากเดินหาอยู่นับชั่วโมงทั้งยังต้องถามทางหลายต่อหลายครั้ง หวังลู่ก็พบที่ทำการของพันธมิตรหมื่นเซียนในเมืองสว่างธรรม มันเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กที่ซับซ้อนและแปลกตา ที่หน้าประตูแขวนแผ่นโลหะซึ่งเขียนไว้ว่า ที่ทำการพันธมิตรหมื่นเซียนเมืองสว่างธรรม หออวิ๋นไท่ สาขาแคว้นสายหมอก… ดูเหมือนว่าที่ทำการแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากภาษาท้องถิ่นไม่น้อยทำให้ตัวหนังสือที่อยู่บนป้ายนั้นอ่านง่ายมาก

เห็นได้ชัดว่าผู้คนในเมืองสว่างธรรมต้องรู้จักที่ทำการแห่งนี้เป็นอย่างดี แม้มันจะตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง แต่ก็อาจถูกมองข้ามได้ง่ายเพราะบริเวณนั้นไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปผ่านมาเท่าไร ทั้งยังไม่มียามเฝ้าอยู่หน้าประตู หวังลู่เดินเข้าประตูไปและได้เห็นห้องโถงขนาดใหญ่ หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสองถึงยี่สิบสามปีนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย เมื่อเห็นหวังลู่และคนอื่นๆ เดินเข้ามา นางก็ผุดรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกระตือรือร้นออกมาทันที “สหายบำเพ็ญเซียน ยินดีต้อนรับสู่เมืองสว่างธรรม โปรดลงทะเบียนตรงนี้ตามกฎ จากนั้นก็รับหนังสือนำเที่ยวและรับบริการที่เหมาะสมได้ตามความต้องการของท่าน…”

          นี่เป็นกฎสากลที่ใช้กันทั้งโลก หวังลู่หยิบเอกสารของเขาและหลิวหลีออกมาจากย่ามสีเหลืองตุ่นจากนั้นก็ยื่นให้อีกฝ่ายและรอการยืนยันตัว

          “โอ้ ท่านคือเยวี่ยลู่และเยวี่ยเซียนแห่งตระกูลเยวี่ยจากทะเลสาบวารีสวรรค์ของแคว้นสายหมอกอย่างนั้นหรือ” หลังจากอ่านข้อมูลในเอกสารผ่านอาคม หญิงสาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับก็ได้เห็นตราประทับลายทะเลสาบวารีสวรรค์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของตระกูลเยวี่ย จากนั้นนางก็พยักหน้า

          ทะเลสาบวารีสวรรค์ ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่สูงศักดิ์นี้แม้จะไม่มีอำนาจมากมาย แต่ก็มีสมบัติพัสถานไม่น้อย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นตระกูลที่มีเกียรติ อย่างน้อยก็สำหรับคนในท้องถิ่น ขั้นตบะของคนทั้งสองดูปานกลาง แต่ในเมื่อมีต้นกำเนิดสูงส่ง อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องรู้กฎและมารยาท เช่นนั้นจึงย่อมไม่สร้างปัญหาแน่

          ทว่านางย่อมคิดไม่ถึงว่าบุคคลที่น่าเชื่อถือทั้งสองนี้เยวี่ยซินเหยาเป็นคนอุปโลกน์ขึ้นมาตามคำสั่งของหวังลู่… ในการเดินทางมายังแคว้นสายหมอกครั้งนี้ อย่างน้อยในช่วงแรกๆ หวังลู่วางแผนที่จะทำตัวสามัญธรรมดา ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขามาถึงพรมแดนของแคว้นสายหมอก พวกเขาอำพรางเรือคลื่นเมฆาจนสีเงินที่ฉาบเอาไว้ดูเป็นเพียงเรือเหาะมือสองเท่านั้น ทว่าก็ยังใช้ชื่อของผู้บำเพ็ญเซียนตระกูลเยวี่ย

          “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยรับหนังสือนำเที่ยวสองเล่มนี้ไปด้วย ในนี้มีรายละเอียดสภาพทั่วๆ ไปและข้อควรระวังในเมืองสว่างธรรมรวมถึงพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้…”

          หวังลู่ไม่รอให้หญิงสาวเจ้าหน้าที่ต้อนรับพูดจบ เขาวางศิลาวิญญาณสามชิ้นลงบนโต๊ะ “ข้าขอคู่มือฉบับเจาะลึก”

          เมื่อเห็นศิลาวิญญาณเหล่านี้ ใบหน้าของหญิงสาวก็เป็นประกายขึ้น จากนั้นนางก็รีบดึงเอาหนังสือนำเที่ยวเล่มหนาที่เห็นชัดว่าเนื้อหาครอบคลุมมากกว่าขึ้นมา ที่สำคัญคือหนังสือเล่มนี้ต้องเสียเงินซื้อ ทว่ามันก็มีราคาเพียงสองศิลาวิญญาณเท่านั้น นางจึงจะถือเอาหนึ่งศิลาวิญญาณที่เหลือเป็นเงินพิเศษของนาง

          หวังลู่หยิบคู่มือฉบับเจาะลึกขึ้นมาจากนั้นก็วางเงินไปอีกหนึ่งศิลาวิญญาณ “ข้าต้องการตามหาคน”

          ตอนแรกหญิงสาวมีท่าทีตกใจ แต่จากนั้นก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา “เอ่อ ข้าไม่ได้จะหลอกท่านนะ แต่ถ้าเป็นเมื่อสองสามปีก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตามหาคน หากเงินที่ได้รับนั้นเหมาะสม จะให้ซื้อคนให้ยังทำได้เลย ทว่าตอนนี้พันธมิตรหมื่นเซียนกำลังถอนตัวออกจากเมืองสว่างธรรม… แม้สำนักงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่ทั่วไปจะยังอยู่ แต่ก็ไม่มีคนประจำการที่นั่น ดังนั้นต่อให้ท่านจ่ายล่วงหน้า เราก็ไม่อาจหาข้อมูลมาให้ท่านได้ง่ายๆ”

          แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สายตาของหญิงสาวก็ยังคงจับจ้องที่ศิลาวิญญาณก้อนนั้นอยู่

          หวังลู่พยักหน้าพลางกล่าว “ข้าก็พอจะมองออกว่าเมืองสว่างธรรมแห่งนี้กำลังตกต่ำลง”

          “ถึงแม้เราจะทำเรื่องต่างๆ ให้ท่านไม่ได้แล้ว แต่ข้าเองก็อยู่ที่นี่มาหลายปี หากเป็นข่าวทั่วๆ ไป ข้าก็น่าจะช่วยท่านได้อยู่” ดวงตาของนางเปล่งประกายขณะพูดประโยคเหล่านี้ออกมา

          หวังลู่หัวเราะขำจากนั้นก็ยื่นศิลาวิญญาณห้าก้อนให้ “คนที่ข้าอยากพบคือนักบวชเซนโกวรั่ว”

          “นักบวชเซนโกวรั่ว?” หญิงสาวขมวดคิ้วทันที “เอ่อ… ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนักบวชเซียนชื่อดังแถบนี้เลย”

          หญิงสาวกำศิลาวิญญาณห้าก้อนในมือแน่น ไม่อยากจะคืนมันไป ทว่านางคิดไม่ออกว่ามีนักบวชเซนคนใดที่ชื่อโกวรั่วบ้าง ซึ่งทำให้นางเริ่มกระวนกระวายใจ แม้ชายหนุ่มรูปงามจากตระกูลเยวี่ยผู้นี้จะค่อนข้างมือเติบ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนโง่ การฉกฉวยประโยชน์จากเงินเล็กๆ น้อยๆ นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากนางทำให้เขาขุ่นเคืองใจ… ก็ไม่มีใครในสำนักงานจะช่วยนางได้ในวันนี้

          ขณะที่นางกำลังกังวลอย่างหนักอยู่นั้น หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นเจ้าสุนัขลายด่างซึ่งกำลังแทะกระดูกอยู่ที่เท้าของหวังลู่ ดวงตาของนางก็สดใสขึ้นมา

          “ข้าไม่รู้จักผู้ชายที่ท่านตามหา แต่ข้าให้ข่าวเรื่องหนึ่งกับท่านได้” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทางภูมิใจ “ในเมืองสว่างธรรมและแม้แต่บริเวณรอบๆ เขาอวิ๋นไท่ จะเป็นการดีกว่าหากท่านไม่ไปไหนมาไหนกับสัตว์ภูตในที่สาธารณะ โดยเฉพาะถ้าสัตว์ภูตของท่านคือสุนัข”

          หวังลู่ถามกลับ “ทำไม”

          หญิงสาวโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังจากนั้นก็กระซิบเสียงแผ่ว “เพราะสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ท่านรู้จักสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไหม เมื่อไม่นานนี้พวกเขาออกรวบรวมสัตว์ภูตหลากหลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ภูตที่เป็นสุนัข เมื่อไรที่พวกเขาพบเจอ ก็จะนำตัวไปทันที มีทั้งใช้กำลังบังคับไม่ก็ใช้เล่ห์กลลวงไปด้วย”

          หวังลู่ยิ้มและใช้เท้าเตะขาหลังของเจ้าสุนัขหน้าโง่ “รวบรวมสุนัข? แต่พวกเขาคงไม่สนตัวด่างๆ อย่างเจ้านี่หรอกมั้ง”

          หญิงสาวส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ก็บอกยาก ข้าได้ยินมาว่าตราบใดที่มีมันสมอง มันก็จะถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์ภูตชั้นเยี่ยม และพวกเขาก็จะจับพวกมันไปทั้งหมด ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะคิดการใหญ่อะไรอยู่ก็ได้”

          หวังลู่ถามกลับ “พวกเขาวางแผนจะจัดเทศกาลเนื้อสุนัขนับร้อยหรือเปล่า”

          หญิงสาวตื่นตกใจ “อย่าพูดคำเหล่านั้นออกมาเชียว”

          ทว่าคำเตือนของนางนั้นช้าเกินไป ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฮึดฮัดดังมาจากภายนอกอาคาร ซึ่งมีหญิงสาวหน้าตาเย็นชาในชุดขาวสองคนยืนอยู่

          หญิงสาวเจ้าหน้าที่ต้อนรับของพันธมิตรหมื่นเซียนตัวสั่นขึ้นมาทันใด นางรีบกล่าวขึ้น “วันนี้ที่ทำการปิดไว ข้าต้องรีบปิดประตูแล้ว”

          หวังลู่ไม่ใส่ใจหญิงสาวอีก เขาตบศีรษะหลิวหลีที่กำลังกินขนมและเตะเจ้าสุนัขลายด่าง “ไปกันได้แล้ว”

——

          ที่ด้านนอกประตู หญิงสาวทั้งสองยืนปิดทางพวกเขาเอาไว้ ดวงตาของพวกนางแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตร

          หวังลู่เองก็มองหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าคนเหล่านี้มาจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ พวกนางอายุราวยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดปี มีตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง เช่นนี้แล้วใครๆ ก็สันนิษฐานได้ว่าความสามารถของพวกนาง แม้ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ด้วยกันเอง ก็อยู่ในระดับกลางๆ เท่านั้น อย่างไรเสียแม้พวกนางจะดูอายุราวยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดปี แต่ความจริงพวกนางอายุมากกว่าสามสิบแล้ว แม้แต่วิชาชะลอวัยก็ยังไม่อาจช่วยพวกนางได้ เช่นนั้นแล้วจะบอกว่าพวกนางมีความสามารถได้อย่างไร

          เมื่อเทียบกับหลิวหลีที่บำเพ็ญเซียนมากว่าสิบปีและมีอายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี แต่รูปร่างหน้าตาของนางนั้นราวกับวัยรุ่นอายุสิบห้าสิบหก นี่ยังไม่พูดถึงว่าตลอดทั้งชีวิตหน้าตาของนางแทบจะไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ความแตกต่างนี้ช่างใหญ่หลวงนัก

          หญิงสาววัยกลางคนสองคนจ้องมองหวังลู่อยู่พักใหญ่จนกระทั่งคนที่มีใบหน้ากลมใหญ่กล่าวเตือนขึ้น “ระวังคำพูดของเจ้าด้วย เจ้าเองก็มีสัตว์ภูตในครอบครอง ดังนั้นไม่ควรพูดจาล้อเล่นน่ารังเกียจพรรค์นั้นออกมา!”

          จากนั้นทั้งสองก็หลีกทางให้เพราะก่อนหน้านี้พวกนางเองก็ได้ยินเรื่องตัวตนของหวังลู่และหลิวหลี แม้ตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่สูงศักดิ์ ดังนั้นจึงไม่ควรก่อเรื่องเพราะคำพูดล้อเล่นของอีกฝ่าย

          ทว่าขณะที่นางกำลังจะหมุนตัวไปอีกทาง หญิงสาวอีกคนก็ดึงแขนเสื้อเอาไว้ หญิงสาวที่มีใบหน้ากลมใหญ่มึนงงอยู่ครู่หนึ่งแต่พอนางมองตามนิ้วของศิษย์น้องหญิงไป นางก็พลันตื่นตระหนกในทันที

          ตอนนั้นหวังลู่เองก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะฟังคำพูดไร้สาระของหญิงสาววัยกลางคนทั้งสองและทำท่าจะเดินจากไป ทว่าทันทีที่ก้าวขา เขาก็ได้ยินหญิงสาวที่มีใบหน้ากลมใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น

          “สหายบำเพ็ญเซียน โปรดรอสักครู่”

          “ระยำอะไรเนี่ย!?” หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย ยัยผู้หญิงคราวป้าหน้าตาไม่น่าพิสมัยสองคนนี้คิดจะล่อลวงเขากลางวันแสกๆ อย่างนั้นหรือ

          พวกเจ้ามาจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์หรือสำนักหยินหยางกันแน่ เหตุใดถึงดูเข้าตาจนขนาดนี้!?

          ทว่าอึดใจถัดมา หญิงสาวที่มีใบหน้ากลมใหญ่ก็ชี้ไปที่เจ้าสุนัขลายด่างด้านหน้าหวังลู่ “ข้าขอถาม เจ้าสุนัขตัวน้อยนี่เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าใช่ไหม จะเป็นอะไรไหมหากเจ้าต้องถูกพรากของรักไป”

          หวังลู่ขมวดคิ้ว “ถูกพราก…ของรัก?”

          จากนั้นเขาก็ใช้เท้าเตะเบาๆ ที่เจ้าสุนัขหน้าโง่ “เฮ้ พวกเขาบอกว่าจะจับเจ้าตอนแน่ะ เจ้าคิดว่าไง”

          “โฮ่ง!” เจ้าสุนัขตื่นตกใจ กระดูกหมักซอสชิ้นที่แข็งเป็นพิเศษถูกกรามของมันบดขยี้จนแหลกในทันที

          หญิงสาวใบหน้ากลมใหญ่เลิกคิ้ว “ข้าหมายถึงว่าเจ้านี่มีชะตาต้องกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เราจึงอยากจะซื้อมัน”

          หวังลู่ยิ้ม “เจ้าคิดจะจ่ายเท่าไรล่ะ”

          หญิงสาวใบหน้ากลมลังเลเพราะนางรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนยากจนจึงไม่อาจเสนอราคาถูกๆ ได้

          “ข้าให้เจ้าหนึ่งพันศิลาวิญญาณ!” ขณะตะโกน หญิงสาวใบหน้ากลมก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง เพราะเงินจำนวนนั้นคือเงินที่นางเก็บออมมาหลายปี!

          หวังลู่เผยรอยยิ้มของ ‘พวกที่ชอบดูหมิ่นคนจน’ ออกมาจากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

          “เดี๋ยวก่อน! ไม่งั้นก็สองพัน!” ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องหญิงของนางจะเสนอราคาที่สูงขึ้น

          ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แม้ขั้นตบะของพวกนางจะไม่สูง แต่สายตาที่มีต่อสัตว์ภูตนั้นนับว่าไม่เลว แม้ภายนอกเจ้าสุนัขลายด่างของหวังลู่จะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ร่างกายของมันกลับซ่อนพลังที่น่าทึ่งเอาไว้ แม้พวกนางจะไม่อาจจำแนกสายพันธุ์ของเจ้าสุนัขนี่ได้ แต่ก็มั่นใจว่ามันย่อมไม่ใช่สุนัขธรรมดาแน่นอน!

          จะเป็นการเสียเปล่าที่สัตว์ภูตเช่นนี้ตกอยู่ในมือของคนตระกูลเยวี่ย ทว่าหากได้ตัวมันไปให้ผู้อาวุโสของสำนัก พวกนางย่อมได้ผลตอบแทนมากมายแน่ เงินสองพันศิลาวิญญาณที่พวกนางต้องลงทุนไปในครั้งนี้ ในอนาคตพวกมันจะต้องกลับคืนมาอย่างน้อยที่สุดสิบหรือยี่สิบเท่าแน่นอน!

          เคราะห์ร้ายที่เงินเพียงหนึ่งพันหรือสองพันศิลาวิญญาณไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับหวังลู่ เขาก้าวยาวๆ จากไปโดยไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย

          ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองมองหน้ากันด้วยความผิดหวัง ทว่าขณะกำลังครุ่นคิดว่าตัวเองมีของมีค่าอื่นๆ ในตัวอีกหรือไม่ พวกเขาก็เห็นหวังลู่หยุดเดิน หันหลังกลับมาพร้อมถามว่า “ข้าไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ข้าต้องการหาตัวคนคนหนึ่ง”

          ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ต่างยินดีเป็นอย่างยิ่งรีบกล่าวขึ้นทันใด “วางใจได้ พื้นที่โดยรอบเขาอวิ๋นไท่อยู่ในความครอบครองของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มานานแล้ว แม้แต่แมลงข้าก็หามาให้ได้!”

          “ข้ากำลังตามหานักบวชเซนโกวรั่ว”

          “นักบวชเซนโกวรั่ว?” สีหน้าของหญิงสาวใบหน้ากลมเจื่อนลง เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้จักนักบวชที่ว่านี่ ด้านศิษย์น้องของนางกลับกรอกตา กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ข้าให้ข้อมูลเจ้าได้”

          หวังลู่เลิกคิ้ว “โอ้?”

          “ข้าเคยได้ยินอาจารย์กล่าวว่าคนผู้นี้เป็นผู้มีประสบการณ์ไม่น้อย”

          ขณะที่นางเผยข้อมูล ผู้เป็นศิษย์น้องก็สำรวจท่าทีของหวังลู่อย่างละเอียดรอบคอบ โชคร้ายที่หวังลู่กลับนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดเหล่านั้น

          “พูดที่นี่คงไม่สะดวกนัก เราไปหาที่จิบน้ำชาคุยกันดีกว่า”

          พูดจบนางก็พยายามทำท่าทางยั่วยวน ความจริงแล้วศิษย์น้องผู้นี้งามกว่าศิษย์พี่ของนางมากนัก

          ในขณะเดียวกัน นางก็ไม่อาจปกปิดความชั่วร้ายที่แว่บขึ้นมาในดวงตาได้ ในเมืองสว่างธรรมแห่งนี้ มีหลายพื้นที่ที่คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ

          หวังลู่ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง

          จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปโอบไหล่ของหลิวหลีทันที

          “เสียใจด้วย ข้ามีคนในใจแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด