กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 5 เหตุใดจึงต้องรับใช้มวลชน

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 5 เหตุใดจึงต้องรับใช้มวลชน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“…”

ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องไม้ไผ่บนยอดเขาประกายดาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเจ้าสำนักเฟิงอิ๋นก็หัวเราะเบาๆ พลางถามออกมา “ศิษย์น้องหญิง เจ้าอ่านจบหรือยัง”

ผู้เป็นศิษย์น้องฮึดฮัดจากนั้นก็เขวี้ยงรายงานกลับไปให้อีกฝ่าย “คิดเสียว่าท่านพบขุมทรัพย์ก็แล้วกัน” เฟิงอิ๋นยิ้มขันพลางส่ายศีรษะ แต่ก็มิได้ปฏิเสธเพราะเขาก็ได้พบขุมทรัพย์จริงๆ ตอนที่เขาได้รับรายงานเล่มนี้เมื่อสองสามวันก่อน ทั้งที่ตัวเขาเองอยู่ในตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง อึดใจถัดมาถึงค่อยๆ กลับเป็นปกติ

รายงานนี้ช่างเป็นงานประพันธ์ที่เยี่ยมยอดอย่างแท้จริง

รายงานนี้ตอบคำถามที่ไม่อาจไขได้มายาวนานของพันธมิตรหมื่นเซียนผ่านทฤษฎีที่ซับซ้อนและละเอียดลออด้วยถ้อยคำนับแสนตัวอักษร

วิธีการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกเซียนและโลกมนุษย์น่ะหรือ

พูดง่ายๆ ก็คือ เพื่อรับใช้ประชาชน

เหตุใดต้องรับใช้ประชาชน ง่ายมาก ข้อแรกสุด พลังของมวลชนนั้นมีอิทธิพลมหาศาล

มันไม่ใช่พลังในการทำลายล้าง ในแง่ของพลังทำลายล้างนั้น ง่ายมากที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณคนหนึ่งจะทำลายประเทศที่มีประชากรนับล้านๆ คน คนนับล้านไม่อาจเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนเพียงคนเดียวได้ ช่องว่างนั้นมหาศาลเกินไป ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยเกิดมาจากประชาชนหลายล้านคนนั้น และท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยคน อาจมีเจ็ดหรือแปดคนที่บรรลุถึงตบะขั้นสร้างแกน และท่ามกลางคนพวกนี้ อาจมีสักคนที่โชคดีพอจะเอาชนะกำแพงอุปสรรคและบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ได้ ขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งคน ขั้นสร้างแกนเจ็ดถึงแปดคน ขั้นพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งและขั้นสร้างฐานอีกไม่น้อย หากเทียบกับขั้นเปลี่ยนวิญญาณเพียงคนเดียวแล้ว ช่องว่างของพละกำลังก็ลดลงโขมิใช่หรือ นี่ยังไม่นับรวมว่าปัจจุบันนี้มีการใช้รากวิญญาณเทียมอย่างแพร่หลาย ประชากรนับล้านอาจกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีศักยภาพนับล้านได้เช่นกัน

นอกจากนั้นคนนับล้านก็สามารถเพิ่มจำนวนเป็นคนนับร้อยล้านได้ ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ต่อให้สามารถสืบพันธุ์ได้ราวกับอาชาหนุ่ม เขาจะมีทายาทได้สักกี่คนเชียว หนำซ้ำอัตราส่วนที่ทายาทจะกำเนิดมาพร้อมรากวิญญาณตามธรรมชาติก็มีพอๆ กับการเกิดมาเป็นปุถุชนธรรมดา เช่นนั้นแล้วการให้กำเนิดทายาทจึงไม่มีความหมาย

ยังไม่นับรวมว่าตลอดชีวิตของผู้คนนับล้าน พวกเขาสามารถปลูกข้าว ทอผ้า ตีเหล็ก… ย้ายภูเขาถมทะเล โยกย้ายเส้นฮวงจุ้ย ผลาญเลือดของตนด้วยวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา เปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นเซียนได้!

ในจุดนี้ หวังลู่ไม่ได้อ้อมค้อมเรื่องความสำเร็จของเขา ผลสัมฤทธิ์สุดมหัศจรรย์ของสำนักภูมิปัญญาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนอยู่ในรายงานที่เขาเป็นคนเขียนขึ้น สำนักที่ตั้งขึ้นในหุบเขา ภายในเวลาหนึ่งปีสามารถขยับขยายไปทั่วประเทศต้าหมิงและประเทศใกล้เคียง ดึงดูดผู้ติดตามได้มากถึงเกือบสิบล้านคน สิ่งที่น่าชมเชยยิ่งกว่าก็คือ ในช่วงต้นของการพัฒนา พวกเขามีรากฐานซ่อนเร้นที่ดีเพราะมีการแยกช่วงการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภามาเป็นการใช้กำลังคนในการรวบรวมศิลาวิญญาณ และจากศิลาวิญญาณที่ได้มา พวกเขาก็สามารถจัดหารากวิญญาณเทียมได้เป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังสามารถสรรหารากวิญญาณเทียมระดับสูงได้อีกด้วย

และในเมื่อมีรากวิญญาณเทียมระดับสูงและรากฐานที่มั่นคงคอยค้ำจุนสำนักที่ผลกำไรไหลมาเทมารอบด้านเช่นนี้ ดังนั้นแล้วความแตกต่างระหว่างสำนักที่เกิดจากความคิดเพ้อฝันของหวังลู่กับสำนักทั่วไปที่เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนอยู่ที่ตรงไหนกัน

ในขณะเดียวกัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นช่องโหว่ในการถูกโจมตี หวังลู่ก็ได้จัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบของอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในสำนักภูมิปัญญาขึ้นมา แม้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจะเป็นสาเหตุหลักของการตาย แต่เพราะมีการจัดระเบียบสังคม รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์ของพลังปราณฟ้าดินและยาลูกกลอน ภายในหนึ่งปี อายุขัยของคนในสำนักกลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง!

ภายในหนึ่งปี การที่เริ่มจากเศษธุลีจนได้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนแสดงให้เห็นถึงพลังของมวลชน แม้พันธมิตรหมื่นเซียนไม่คิดจะใช้พลังมวลชน แต่ก็มีคนอื่นที่ใช้มันอยู่ดี!

ข้อสองคือจะใช้พลังมวลชนให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

พันธมิตรหมื่นเซียนได้แสดงตัวอย่างให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าการหาประโยชน์ใส่ตัวนั้นไม่ได้ผล

สิ่งเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้คือการรับใช้มวลชน

ปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของสำนักภูมิปัญญาก็คือการมีผู้นำที่ไม่เห็นแก่ตนเอง! ความสามารถในการรวบรวมทรัพย์สมบัติของสำนักนั้นน่าทึ่งอย่างมาก แต่ศิลาวิญญาณที่คนนับล้านๆ รวบรวมมาจากทั้งบนภูเขาและในที่ราบ หวังลู่ไม่เคยเอาเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่เหรียญเดียว! ศิลาวิญญาณทุกเหรียญที่รวบรวมมาได้มีไว้ใช้ดำเนินการในสำนักเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตนเอง แต่รับใช้มวลชน ที่สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในขั้นต้นเป็นเพราะมันไม่เสียแหล่งทรัพยากรเลยแม้สักนิด!

และตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือหวังลู่ แม้เขาจะไม่ได้มีรายรับโดยตรงในหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ที่สำนักภูมิปัญญายังคงอยู่ในร่องในรอยที่ถูกต้อง โดยมีรากฐานที่แข็งแกร่งเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ รายได้ย่อมมีไม่จบไม่สิ้นแน่ จากวิธีการที่หวังลู่ใช้พัฒนาสำนักภูมิปัญญา เขาก็ได้ให้คำตอบที่เป็นสามัญว่าจะใช้ประโยชน์จากพลังมวลชนให้ดีได้อย่างไร

สุดท้ายแล้ว หากมองในอีกมุมมองหนึ่ง โลกของมนุษย์ปุถุชนและโลกบำเพ็ญเซียนนั้นไม่อาจแยกจากกันได้อีกต่อไป ในที่สุดผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องการแทรกซึมเข้าไปในโลกมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น แต่หากพวกเขาไม่ต้องการรับใช้มนุษย์ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการหาผลประโยชน์จากมนุษย์ ในยุคแรกๆ คนมักพูดกันว่ามนุษย์นั้นโง่เง่าและต้องการคำชี้แนะจากผู้บำเพ็ญเซียน โชคร้ายที่ภายหลังกลายเป็นว่าความสามารถของผู้บำเพ็ญเซียนในการหาผลประโยชน์จากมนุษย์นั้นกลับไม่ดีเท่าเหล่าจักรพรรดิของโลกมนุษย์ ความสามารถของฝ่ายหลังในการหาประโยชน์ใส่ตนนั้นเหนือกว่าและน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า

ข้อมูลด้านบนนั้นหวังลู่ตระเตรียมเอกสารประกอบและหลักฐานจำนวนมากมาอย่างดี งานเขียนของเขายอดเยี่ยม แต่เนื้อหาส่วนนี้คิดเป็นสามส่วนของในเล่มเท่านั้น ส่วนที่เหลือต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะชักจูงกำลังคนมหาศาลด้วยผลประโยชน์ ทว่าคนผู้นั้นไม่ควรเอาเพียงหลักการของโลกบำเพ็ญเซียนมาเป็นผลประโยชน์ในการเชิญชวนผู้คน ไม่เช่นนั้นย่อมต้องมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่คิดจะฆ่าไก่เพื่อเอาไข่เป็นแน่

และทางแก้ของปัญหานี้นั้นวิเศษเป็นอย่างมาก

หวังลู่ใช้หลักการผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนเพื่อทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ในการจูงใจผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญา แนวคิดนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทรงพลังมากจนเพียงพอที่จะพลิกโลกได้ ดังนั้นแนวคิดของเขาที่มีให้พันธมิตรหมื่นเซียนก็ทำนองเดียวกัน

นั่นคือยังคงเป็นผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนเพื่อทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์! ทว่าครั้งนี้หวังลู่ขัดเกลาถ้อยคำหลอกลวงมาเป็นอย่างดี!

ทฤษฎีของหวังลู่อิงแนวความคิดที่ว่าจุดประสงค์ของภารกิจของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักเก้าแคว้นคือการเพิ่มจำนวนผลผลิตอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับปรุงการบำเพ็ญเซียนของทั้งโลกบำเพ็ญเซียน สมัยก่อนมีตำราทางประวัติศาสตร์จำนวนมากที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ แม้อาณาจักรเก้าแคว้นจะเคยเผชิญช่วงแห่งกลียุคและมหาสงครามระหว่างเซียนและปีศาจมาก่อน ท้ายที่สุดแล้วโลกบำเพ็ญเซียนก็ยังพัฒนาต่อไป แม้ระหว่างการพัฒนาอาจจะเจอจุดพลิกผันมากมาย และไม่อาจเทียบกับช่วงเวลารุ่งเรืองก่อนกลียุคได้ ทว่าหากเทียบกับยุคที่ดำมืดที่สุด มันก็ถือว่ารุดหน้าและค่อยๆ เข้าใกล้ความรุ่งโรจน์ก่อนกลียุคมากขึ้นเรื่อยๆ

ความก้าวหน้านี้ยังคงดำเนินมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา อาจจะมีเสื่อมถอยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถอยกลับไปเสียทั้งหมด หวังลู่คิดว่าสิ่งนี้คือกฎอมตะของอาณาจักรเก้าแคว้นที่มีต่อผู้บำเพ็ญเซียนนับล้านและปุถุชนนับพันล้านคน

ทว่าจะเป็นหากทั้งสังคมพัฒนาก้าวหน้าไปจนถึงขีดสุด

ในทางทฤษฎีหากทุกคนเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์แปลว่าจะมีเซียนที่แท้จริงอยู่ทุกหนแห่ง! ในทางปฏิบัติ รากวิญญาณหกประสานของปฐมาจารย์ลิ่วเหอไม่ได้หยิบยื่นโอกาสให้คนธรรมดาได้กลายเป็นเซียนหรอกหรือ แม้ปัจจุบันสิ่งนี้จะเป็นเหมือนความฝันแสนไกล แต่หากผลผลิตของคนนับสิบล้านคนถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นเล่า พลังปราณฟ้าดินนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้คนสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว พลังปราณฟ้าดินย่อมต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงย่อมต้องมีมากมาย ในโลกเช่นนี้ จะมีสิ่งใดหยุดยั้งคนนับล้านไม่ให้กลายเป็นเซียนได้เล่า

เช่นนั้นแล้ว การรับใช้มวลชนก็ไม่ได้ทำให้เกียรติของผู้บำเพ็ญเซียนตกต่ำลง และที่สำคัญที่สุด สิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของปุถุชน… แต่เพื่ออนาคตของผู้เบิกทางนับล้านและการเคลื่อนสู่สวรรค์ของอาณาจักรเก้าแคว้นต่างหาก! ผู้บำเพ็ญเซียนภายใต้ชื่อของสำนักภูมิปัญญาปลุกปั่นผู้เบิกทางนับล้าน ผลักดันขั้นตบะของผู้บำเพ็ญเซียน เพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขา ดังนั้นแล้วมีเหตุผลใดจะไม่สนับสนุนความทะเยอทะยานที่สูงส่งเช่นนี้กันเล่า

แต่เหตุใดจึงเพียงหนึ่งล้านไม่เป็นสิบล้าน หวังลู่อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ตามการคำนวณของเขา ผู้เบิกทางเพียงหนึ่งล้านคนก็เพียงพอต่ออาณาจักรเก้าแคว้นในการเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น พลังปราณฟ้าดินของที่นี่จะหนาแน่นมากเสียจนไม่อาจแยกออกจากพลังปราณฟ้าดินของโลกเซียนจริงๆ ได้ นั่นแปลว่าทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นได้กลายเป็นโลกเซียนที่แท้จริง ทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นได้เคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์!

ส่วนขั้นตอนการคำนวณนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอิ๋นหรือหวังอู่ พวกเขาต่างไม่เข้าใจแม้แต่น้อย สองในสามส่วนหลังของรายงาน หวังลู่สร้างต้นแบบ สร้างสูตร และเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลในโลกให้กลายเป็นตัวเลขจนได้คำตอบที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจขั้นตอนที่จำเพาะนี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แค่คำตอบเรื่องผู้เบิกทางนับล้านที่กินเนื้อที่มหาศาลในรายงานเล่มนี้ก็ถือว่าไร้สาระพอแล้ว

แม้ในส่วนของผลประโยชน์ที่ดูล่อตาล่อใจก่อนหน้านี้ก็ถือว่าไร้สาระ ตัวอักษรนับแสนตัวในรายงานเล่มนี้นับว่าเป็นขยะโดยแท้ ทว่าตอนนี้สิ่งที่พันธมิตรหมื่นเซียนต้องการมากที่สุดก็คือรายงานไร้สาระเช่นนี้ล่ะ ถ้อยคำของหวังลู่น่าดึงดูดขนาดที่ว่ามันสามารถล่อลวงผู้คนที่เริ่มอ่านให้อ่านจนจบได้!

สำหรับเฟิงอิ๋นแล้ว รายงานฉบับนี้มาถึงในเวลาที่เหมาะเหม็งเป็นอย่างยิ่ง

เหมาะเหม็งสำหรับอะไรกันเล่า สำนักเซิ่งจิงและสำนักชั้นนำสองสามสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนกำลังเผชิญปัญหาที่ว่าจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกมนุษย์และโลกบำเพ็ญเซียนอย่างเหมาะสมได้อย่างไร ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองโลกนั้นไม่มั่นคงและทุกคนก็มองออก ทว่าการจะจัดการกับการแทรกแซงที่หยั่งรากลึกในโลกมนุษย์โดยที่ไม่มีการเข้าถึงอย่างเหมาะสมนั้น ผลก็คือเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนที่สันโดษกลับถูกลากลงน้ำตามๆ กันลงไปและกลายเป็นผู้ล่าที่ชั่วร้ายเสียเอง นี่จึงเป็นเหตุผลของคำกล่าวหนึ่งในโลกแห่งเซียนที่ว่า เส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของปุถุชน คำกล่าวนี้ตั้งใจที่จะแยกโลกบำเพ็ญเซียนออกจากโลกมนุษย์ ก่อนหน้านี้ในสำนักโบราณเมื่อหมื่นปีก่อน มีผู้บำเพ็ญเซียนสามร้อยห้าสิบคนปลีกวิเวกอยู่ตามภูเขา ฝึกบำเพ็ญเซียนอย่างหนัก.. แต่ปัจจุบันการกระทำเช่นนั้นถูกตีว่าไร้ประโยชน์ สมาชิกของสำนักกระบี่วิญญาณที่ปลีกตัวอยู่อย่างวิเวกนั้นนับว่าน้อยนิด สำนักใหญ่ๆ ต่างก็มีรากฐานในโลกเซียนของตนเอง ซึ่งก่อร่างเป็นพีระมิดที่มั่นคง ทว่าคำกล่าวที่ว่าเส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของปุถุชนนั้นทำให้เกิดคูน้ำลึกอยู่รอบๆ พีระมิดที่มั่นคงนั้น สิ่งนี้บังคับให้ผู้คนต้องวนเวียนอยู่ที่ชั้นล่างของพีระมิดเพื่อค้ำจุนแรงกดจากชั้นที่อยู่เหนือตัวเองขึ้นไป แต่ในขณะเดียวกัน แรงต้านที่อยากจะเป็นอิสระก็ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ

โลกบำเพ็ญเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักใหญ่โตอย่างสำนักเซิ่งจิง ต้องการทฤษฎีใหม่อย่างเร่งด่วนเพื่อจัดการกับข้อขัดแย้งของโครงสร้างระหว่างโลกมนุษย์และโลกบำเพ็ญเซียนนี้

ทว่าแล้วมันจะมีประโยชน์อย่างไร รายงานนี้เกิดขึ้นจากสำนักกระบี่วิญญาณ แต่มันกลับไม่มีตราประทับของสำนักกระบี่วิญญาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน แม้หวังลู่จะโฆษณารายงานนี้สักเท่าไร เขาก็ยังไม่อาจสร้างความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนได้ และหากเขาไม่ได้มาจากสำนักกระบี่วิญญาณ แน่นอนว่าด้วยชื่อของเขาเพียงลำพัง การพัฒนาสำนักภูมิปัญญาจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่อาจเอาชนะได้มากมายแน่

สำนักกระบี่วิญญาณคือตัวหนุนหลังที่ยอดเยี่ยมของหวังลู่

ส่วนมวลชนนั้นเล่า ยิ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ก่อนที่หวังลู่จะจากสำนักภูมิปัญญามา พวกเขาก็มีผู้ติดตามมากถึงสิบล้านคนที่กระหายความเป็นอมตะและโหยหาความรักจากสำนักภูมิปัญญา! หากไม่เรียกว่ามวลชนแล้วจะเรียกว่าอะไร

เงื่อนไขที่เหมาะสมทั้งหมดการใช้รายงานเล่มนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่คิดใช้ประโยชน์จากมันก็จะถือว่าเสียของ!

“แล้วท่านจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้”

เฟิงอิ๋นมีคำตอบให้คำถามนี้ของหวังอู่แล้ว

“บทความนี้ไม่ควรออกไปในชื่อของหวังลู่เพียงลำพัง อิทธิพลของเขายังไม่มากพอ เนื้อหาก็ยังต้องมีการปรับปรุง สองวันนี้ข้าจะแก้ไขมันอย่างละเอียดรอบคอบจากนั้นก็จะลงนามตัวเองลงไปด้วยแล้วค่อยส่งไปยังคณะกรรมการการศึกษาของพันธมิตรหมื่นเซียน รายงานเช่นนี้ย่อมได้คะแนนชื่อเสียงเป็นพันคะแนน และคะแนนด้านวิชาการอีกเป็นหมื่นคะแนน นอกจากจะบรรลุในส่วนที่คณะกรรมการต้องรับผิดชอบแล้ว ยังมากพอที่จะยกระดับการศึกษาของสำนักกระบี่วิญญาณให้ขึ้นไปเป็นระดับเก้าอีกด้วย”

……………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด