กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 33 ชื่อของข้าคือน้ำตาแห่งความขื่นขม

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 33 ชื่อของข้าคือน้ำตาแห่งความขื่นขม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          “หวังลู่ เจ้านั่นมันอะไรน่ะ”

          บนลานเมฆา กรรมการจากทางฝั่งสำนักกระบี่วิญญาณคิ้วขมวดถาม

          หวังลู่ก้มมองเจ้าตัวที่กำลังฉีกยิ้มอยู่ จากนั้นก็เงยหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สุนัข”

          “…เหลวไหล ข้าถามว่าเจ้าพามันขึ้นมาทำไม”

          หวังลู่กล่าว “แน่นอนว่าต้องเอามาสู้ด้วย ไม่ใช่ให้ท่านมาชิมเนื้อของมันแน่นอน”

          เมื่อได้ยินคำว่า ‘เนื้อของมัน’ เจ้าสุนัขจอมทึ่มก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที “โฮ่ง!?”

          หลิวเสี่ยนถาม “เจ้าจะให้สุนัขร่วมต่อสู้กับเจ้าด้วยงั้นหรือ”

          หวังลู่ถามกลับ “มีกฎข้อไหนห้ามนำสุนัขศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแข่งด้วยหรือ แม้สุนัขตัวนี้จะทึ่มแต่มันก็ทำข้อตกลงยอมเป็นสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ของข้าแล้ว หนำซ้ำระดับของมันก็ไม่สูงไปกว่าที่กำหนดเอาไว้ ท่านวางใจได้”

          “อืม” หลิวเสี่ยนหันหน้าไปปรึกษากับกรรมการอีกคน

          หยวนฉาวเหนียนไม่คาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาไม่เคยได้ยินว่าสำนักกระบี่วิญญาณสันทัดในเรื่องควบคุมสัตว์ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจที่หวังลู่พาสุนัขขึ้นมาบนลานประลอง ทว่าในเมื่อคนและสุนัขต่างมีพลังวิญญาณขั้นปฐมเชื่อมโยงกัน มันจึงช่วยยืนยันตัวตนของสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ และทั่วไปแล้วไม่มีกฎห้ามผู้แข่งขันนำสัตว์เลี้ยงวิญญาณมาด้วย แต่แน่นอนว่าย่อมมีการควบคุมระดับของสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นมันจะไม่ยุติธรรมกับสำนักอื่น ยกเว้นเหล่าสำนักที่เชี่ยวชาญด้านควบคุมสัตว์ร้ายเป็นพิเศษ

          “เอาละ ในเมื่อศิษย์ผู้นี้ต้องการแสดงให้เห็นวิชาควบคุมสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามของสำนักกระบี่วิญญาณ เช่นนั้นเราก็อยากจะเห็นเหมือนกัน”

          หลิวเสี่ยนยิ้มหยันอยู่ในใจ พลางคิดว่าเหตุใดเขาที่เป็นผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลกลับไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีวิชาควบคุมสัตว์ร้ายในสำนักกระบี่วิญญาณด้วย ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็พยักหน้า “เอาละ การแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ผู้แข่งขันทั้งสองขึ้นมาบนเวทีได้”

——

          หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายประจำตำแหน่งแล้ว ผู้อาวุโสก็เริ่มตรวจสอบสถานะของผู้บำเพ็ญเซียน

          การตรวจสอบนี้เพื่อยืนยันว่าผู้แข่งขันไม่ได้ใช้วิชาลับอื่นใดเพื่อเพิ่มขั้นตบะของตน ครอบครองสิ่งของและโอสถที่มีระดับเกินกว่าที่กำหนดไว้ หรือถอดสลักของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออก… แน่นอนว่าต่อหน้ากรรมการตบะขั้นกำเนิดใหม่และขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ไม่มีศิษย์คนใดทึ่มถึงขั้นพยายามจะโกง

          หลิวเสี่ยนกวาดสายตามองเจ้าเจียงยวันจากนั้นก็พยักหน้า ทว่าเมื่อหยวนฉาวเหนียนใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมกวาดดูหวังลู่บ้าง เขาก็เห็นบางอย่างในย่ามสีเหลืองหม่นของหวังลู่ที่ทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย… ทว่าในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้ละเมิดกฎ เขาจึงพยักหน้าเพื่อให้รู้ว่าการตรวจสอบสิ้นสุดแล้ว

          ดังนั้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชม ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองก็เตรียมตัวครั้งสุดท้ายอยู่บนลานเมฆา พวกเขาเห็นเจ้าเจียงยวันถือคฑารู่อี่ [1] ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างถือกระจกทองแดง ปากขมุบขมิบร่ายอาคม จากนั้นที่ช่องทั้งเจ็ดของร่างกาย (ตาสอง หูสอง รูจมูกสอง ปากหนึ่ง) ก็มีหมอกสีขาวออกมาปกคลุมทั่วร่างดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

          ผู้ฝึกเซียนรุ่นพี่ของสำนักกระบี่วิญญาณคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่คนดูกล่าวขึ้น “นั่นมันมนตร์ดำนี่ ทว่าความสนใจเรื่องมนตร์ดำของอาณาจักรนภาฝั่งใต้หมดไปตั้งแต่ก่อนกลียุคแล้ว ทุกวันนี้มนตร์ดำแทบจะสูญสิ้นไปหมดแล้วแท้ๆ… สมเป็นสำนักเซียนหมื่นเวทจริงๆ อุตส่าห์ไปเสาะหาวิชาชั่วร้ายเช่นนี้มาจนได้”

          อีกคนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเจอคนที่มีความสามารถเหมาะจะเรียนวิชานี้ด้วย ไม่ง่ายเลยจริงๆ! ข้าไม่แน่ใจว่าหวังลู่จะรับมือได้หรือไม่ มนตร์ดำนั้นแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ ทั้งยังยากที่จะตั้งรับ เราจะได้เห็นกันสักทีว่าวิชาไร้ลักษณ์ของเขาจะต้านทานสิ่งนี้ได้ไหม”

          “เหอะ การตั้งรับที่สุดยอดของอาวุโสห้านั้นเป็นตำนานเลื่องลือ ดังนั้นวิชาของนางย่อมดีแน่… ทว่าขั้นตบะของหวังลู่ออกจะต่ำไปเสียหน่อย”

          ขณะที่ผู้ชมที่อยู่ข้างใต้กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ หวังลู่กลับไม่สนใจมนตร์ดำของฝั่งใต้ที่อยู่ตรงหน้า เขายั่วเจ้าสุนัขด้วยเนื้อหมูสามชั้นชิ้นนุ่ม ดูแล้วช่างกวนโทสะไม่น้อย

          ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็ไม่รั้งรออีกต่อไป “เริ่มได้!”

          เจ้าเจียงยวันก็หายตัวไปเกือบจะในทันที ร่างของเขาเคลื่อนไปข้างหน้าราวกับเป็นกระแสไฟ ทิ้งกระจกทองแดงและคฑารู่อี่ที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธวิเศษไว้ ในมือถูกแทนที่ด้วยกระบี่ที่คมปลาบอย่างน่าทึ่ง

          “ผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่!?”

          ทันใดนั้นผู้คนจำนวนมากที่ด้านใต้เวทีก็ตะโกนขึ้นมา ตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงสำนักกระบี่วิญญาณ จากทั้งคำพูดและพฤติกรรม เจ้าเจียงยวันคนนี้มักให้ความรู้สึกว่ามีพรสวรรค์ด้านมนตร์ดำ ดังนั้นทุกคนจึงคาดเดาไว้ว่าแก่นวิชาบำเพ็ญเซียนของเขาย่อมเป็นอาคมมนตร์ดำแน่ ทว่าไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนั้นมีไว้เพื่อปกปิดความสามารถที่แท้จริงของเขาเท่านั้น

          เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่ เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด เพลงกระบี่ทะลวงทุกกระบวนท่าและอาคมของวิชากระบี่แห่งสำนักเซียนหมื่นเวท!

          หากคิดว่าเขาจะใช้มนตร์ดำในการต่อสู้เพื่อเอาชนะหวังลู่อย่างช้าๆ เช่นนั้นก็ถือว่าคิดผิดมหันต์ เจ้าเจียงยวันไม่คิดจะต่อสู้ยืดเยื้อกับหวังลู่ จากการวิเคราะห์ก่อนการประลอง หากจะชนะ เขาต้องจัดการอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

          และเจ้าเจียงยวันในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่ ก็เก่งกาจด้านกลวิธีบั่นคอฝ่ายตรงข้าม วิชากระบี่ของเขาคือวิชากระบี่ระดับเซียน ซึ่งสามารถจับทุกรายละเอียดการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างฉับพลัน มองหาช่องโหว่และแทงตรงเข้าไปภายในกระบวนท่าเดียว นี่คือทักษะระดับสูงในการเอาชนะศัตรู นอกจากพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาจะมากกว่าหวังลู่แล้ว พลังของเขาก็มากกว่าเช่นกัน!

          ด้วยร่างที่วูบไหวไปมาราวกระแสไฟและจิตที่นิ่งราวกับน้ำ… เจ้าเจียงยวันก็ชี้กระบี่ไปเบื้องหน้า ประสาทสัมผัสทั้งห้าและพลังวิญญาณขั้นปฐมจดจ่อไปที่อีกฝ่าย ทำให้การเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากการรับรู้ของเขา ภายในพริบตาเขาก็ได้พบช่องโหว่มากมาย!

          “รับกระบี่ของข้าไปซะ!’

          ในขณะเดียวกัน หวังลู่ทำเพียงโยนชิ้นเนื้อไปเบื้องหน้า พยายามปิดกั้นการมองเห็นของเจ้าเจียงยวัน

          เจ้าเจียงยวันยังคงไม่ไหวติง จิตของเขาจดจ่ออยู่แค่เพียงหวังลู่ ไม่วอกแวกและไม่สนใจชิ้นเนื้อที่เข้ามาบดบังการมองเห็น ภายใต้การโจมตีของกระบี่ของเขา ขยะนั่นจะกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตาพร้อมกับหวังลู่

          ทว่าอึดใจถัดมา เจ้าเจียงยวันกลับรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงที่ข้อมือทำให้การโคจรพลังอิทธิฤทธิ์ถูกขัดจังหวะ แรงส่งของกระบี่ไร้ขอบเขตของเขาจึงสะดุดลง!

          ขณะกำลังอึ้งอยู่ กระบี่แห่งเขาคุนของหวังลู่พร้อมเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ที่ลึกลับก็ไสตรงไปด้านหน้าอย่างเหมาะเหม็งจนทำให้กระบี่ไร้ขอบเขตต้องถอยร่น เจ้าเจียงยวันเซถอยหลัง และรู้สึกเจ็บหนึบที่หน้าอก

          เมื่อกลับมายืนท่าเดิมได้ เจ้าเจียงยวันก็เห็นว่าข้อมือของตนเองนั้นเต็มไปด้วยเลือด รอยฟันสองแถวประทับแน่นอยู่บนนั้น

          “วิชาเปลี่ยนร่าง?”

          สายตาของเจ้าเจียงยวันเย็นเยียบขึ้นทันทีเมื่อเขาตระหนักได้ว่าหวังลู่เพิ่งจะใช้เล่ห์กลใดลงไป หวังลู่ใช้วิชาเปลี่ยนร่างกับชิ้นเนื้อและเจ้าสุนัขลายด่าง เพื่อให้พวกมันเปลี่ยนตำแหน่งกัน เจ้าสุนัขคือเนื้อ และเนื้อคือเจ้าสุนัข! ตอนที่เขาขว้างชิ้นเนื้อออกไป มันเหมือนเขาตั้งใจจะใช้ชิ้นเนื้อบังสายตาของอีกฝ่าย แต่ความจริงแล้วเป็นเจ้าสุนัขต่างหากที่เข้าขว้างไป และจุดประสงค์ก็เพื่อให้ไปกัดเจ้าเจียงยวัน ตอนที่เจ้าเจียงยวันพุ่งมาข้างหน้าพร้อมกระบี่ไร้พ่ายในมือ ใจของเขาจดจ่ออยู่กับหวังลู่ จึงไม่ได้เอะใจถึงเล่ห์กลของฝ่ายตรงข้าม หนำซ้ำเจ้าสุนัขนี่ยังเป็นคนละประเภทกับสัตว์ร้ายศักดิ์สิทธิ์ แม้จะดูระดับไม่สูง มันกลับมีฟันที่แหลมคมจนสามารถกัดทะลุแรงส่งกระบี่ที่ล้อมรอบข้อมือข้างที่กำกระบี่อยู่ และยังสามารถทำอันตรายเนื้อและกระดูกของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานได้ด้วย… ระดับของเจ้าสุนัขลายด่างนี่ไม่เกินกว่าที่กฎกำหนดจริงหรือ

          ทว่าคำถามที่สำคัญกว่าก็คือ ฝ่ายตรงข้ามเองก็ใช้กระบี่อย่างมั่นใจ ซึ่งนั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายรู้จักวิชาของเขาแต่เก็บงำความพลังไว้เพื่อรอคอยเวลา ทว่าแม้แต่ในสำนักเซียนหมื่นเวทเอง วิชาของเขาก็ยังไม่แพร่หลายนัก เช่นนั้นแล้วฝ่ายตรงข้ามอ่านเขาออกได้อย่างไร

          ในการเดินทางมายังเขากระบี่วิญญาณ หยวนฉาวเหนียนและผู้อาวุโสคนอื่นได้สร้างการป้องกันที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมตรวจสอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวทได้ ดังนั้นเจ้าเจียงยวันจึงมั่นใจเต็มร้อยว่าความสามารถด้านกระบี่และวิชาของเขาจะเป็นความลับยิ่งยวด ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย แต่ทว่า…

          หวังลู่ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าแม้เจ้าเจียงยวันจะซ่อนความสามารถที่ตนเองเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีจนแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณยังมองไม่เห็น ทว่าแม่ครัวคนหนึ่งกลับรู้ได้ทันทีที่ได้เห็นเขาเพียงปราดเดียว ตอนนั้นเองแม่ครัวคนนั้นก็เอ่ยขึ้นกับเขาอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมรอยยิ้ม “ดูนั่นสิ มีผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่ด้วยละ~”

          ดังนั้น ไพ่แห่งชัยชนะของเจ้าเจียงยวันจึงล้มเหลวตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้นเรื่องชัยชนะตั้งแต่กระบวนท่าแรกที่ตระเตรียมมาอย่างมั่นใจก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ ทว่าหลังจากที่ล้มเหลว เจ้าเจียงยวันก็ไม่ได้หมดกำลังใจ กลับกันเขากลับก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและหยิบกระบี่ไร้ขอบเขตขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะสู้กับหวังลู่ในระยะประชิด

          “เฮ้ เจ้าคิดว่ากระบี่ไร้ขอบเขตของตัวเองวิเศษขนาดนั้นเลยหรือ หากเจ้าอยากจะเข้ามาก็เอาเถิด ยิ่งเข้าใกล้แค่ไหน เจ้าก็ยิ่งมองเห็นได้น้อยเท่านั้น”

          หวังลู่พูดพลางโบกกระบี่แห่งเขาคุนไปมาช้าๆ และใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์สร้างเกราะกระบี่ตั้งรับสามชุ่นที่ไม่อาจเจาะทะลวงได้ขึ้นมา

          ปราการที่แข็งแกร่งค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาต่อหน้าเจ้าเจียงยวัน และสุดท้ายมันก็สมบูรณ์แบบโดยที่ไม่เผยชอ่งโหว่ใดๆ ให้เห็น… หากเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง คงยากที่จะจินตนาการออกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณระดับสูงกระจอกๆ ผู้นี้จะมีการตั้งรับที่ทรงพลังถึงเพียงนี้

          ใจของเจ้าเจียงยวันหนักอึ้งขึ้น แผนในการใช้กระบวนท่าแรกทำให้คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัวและเอาชนะในกระบวนท่าเดียวไม่อาจทำอันตรายฝ่ายตรงข้ามได้สักนิด! กลับกันเป็นเขาต่างหากที่ถูกขัดขวางกลางทาง การโคจรพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาหยุดชะงัดลงจากรอยกัดซึ่งทำให้เขาไม่อาจสำแดงพลังขั้นสุดออกมาได้ และตอนนี้ปราการตั้งรับของหวังลู่ก็ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งอีกฝ่ายยังมีสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่รู้ความสามารถ แม้เขาจะมั่นใจว่าสามารถเจาะทะลวงการตั้งรับของหวังลู่ได้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น กลยุทธ์ในการปิดการแข่งขันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ล้มเหลวไม่เป็นท่าเสียแล้ว

          และทันที่เขาถูกลากเข้ามาในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ มันก็จะไม่ต่างจากที่ศิษย์พี่เขาบอกก่อนหน้านี้ว่านี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะมันจะเปิดช่องมากมายให้ฝ่ายตรงข้ามได้ฉวยโอกาส…

          ‘ดังนั้นเจ้าควรจะใช้กระบี่บั่นศีรษะที่ล้มเหลวเมื่อกี้เสียตั้งแต่ตอนนี้’

          เจ้าเจียงยวันยิ้มหยันให้ตัวเองขณะเปลี่ยนกระบี่ไปที่มือซ้าย ชักมือขวาไปด้านหลังและปล่อยหมอกขาวออกมาหุ้มมัน พยายามที่จะรักษาบาดแผล

          ขณะเดียวกัน จิตของเขาก็ตั้งมั่นไปที่ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ตอนนี้ จิตเซียนกระบี่ไร้ขอบเขตในวิหารหยกเริ่มโคจรเร็วจี๋ พยายามมองหาจุดอ่อนของปราการที่ไม่อาจทะลวงเข้าไปได้

          หาไม่เจองั้นหรือ ก็ไม่เป็นไร! แม้ปัจจัยต่างๆ จะดูไม่เข้าทางเขา แต่ผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่จากสำนักเซียนหมื่นเวทจะตาขาวในการต่อสู้ได้อย่างไร

          กระบวนท่าที่สองมาพร้อมความโกรธเกรี้ยว ครั้งนี้กระบี่บั่นศีรษะพลิกแพลงและรุนแรงกว่าเดิม และครั้งนี้เจ้าเจียงยวันก็ระมัดระวังอย่างดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่กลสุนัขกัดจะทำอะไรเขาได้อีก เจ้าสุนัขวิ่งอย่างร้อนรนไปทั่วลานประลอง แต่ก็ไม่อาจหาโอกาสเข้าไปทำลายจังหวะการโจมตีของกระบี่ไร้ขอบเขตได้

          ตู้ม!

          กระบี่ไร้ลักษณ์และกระบี่ไร้พ่ายประสานกันส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เหล่าเมฆที่อยู่บนลานเมฆากระเพื่อมไปมา หลังจากการปะทะกัน รอยยิ้มบบนในหน้าของหวังลู่ยังคงอยู่ เพียงแค่ว่ามือข้างที่เขาถือกระบี่ไว้อยู่กลับสั่นไม่หยุด เจ้าเจียงยวันขมวดคิ้วแน่น เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถสกัดกระบี่ไร้พ่ายของตนได้

          การจู่โจมเต็มกำลังของกระบี่ขั้นสร้างฐานระดับต้นถูกสกัดได้จริงๆ หรือ!?

          ความจริงแล้วกระบี่ไร้ขอบเขตของเขายังไม่ได้ปล่อยพลังเต็มความสามารถของมัน แต่อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงวิชากระบี่ชั้นเซียนที่มีพลังทำลายร้างรุนแรง แล้วนี่ฝ่ายต้องข้ามเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงเท่านั้น แต่กลับสามารถสกัดมันไว้ได้!? นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างสำนักระดับสูงกับผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาที่คนจากสำนักระดับสูงจะสามารถท้าประลองข้ามขั้นได้ แต่ทั้งสองสำนักมาจากห้าวิเศษ ซึ่งทำให้ความแตกต่างของขั้นตบะของคนทั้งคู่นั้นไม่ต่างจากคูน้ำตามธรรมชาติ ทว่าช่องว่างที่ไม่ควรจะข้ามผ่านมาได้นี้กลับถูกพิชิตได้ง่ายๆ ด้วยการกวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุน… ความสามารถในการตั้งรับของวิชาไร้ลักษณ์นั้นแข็งแกร่เพียงใดกันแน่

          ไม่จำเป็นต้องพูดเขาก็รู้ว่าไม่แน่อาจเป็นเพราะเขาเลือกวิธีผิด กระบี่ในกระบวนท่าที่สามกวัดแกว่งไปมาราวสายเมฆที่ลายผ่านและสายน้ำที่หลั่งไหล ขณะที่รอคอยให้กระบี่ของอีกฝ่ายมาถึงตัว หวังลู่ก็กวัดแกว่งกระบี่ในมือเตรียมพร้อม ไม่ยอมอยู่ในท่าที่เสียเปรียบแม้แต่น้อย

          เสียงโลหะปะทะกันดังต่อเนื่องมากกว่าสิบครั้งจากที่ลานเมฆา แรงส่งของกระบี่ไร้ขอบเขตนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันหนาแน่นขึ้นราวกับเป็นตาข่ายที่โอบรอบหวังลู่ไว้ทุกทิศทาง ทว่ากระบี่ตั้งรับของหวังลู่ก็ไม่ได้อ่อนกำลังลงแม้แต่น้อย มันยังคงปัดป้องกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามให้ห่างจากตัวเขาออกไปสามชุ่น

          ผ่านไปพักใหญ่ เสียงการปะทะกันของกระบี่นับพันๆ ครั้งก็ค่อยๆ ซาลง สีหน้าของเจ้าเจียงยวันดูแปลกไปขณะที่เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

          จากนั้นเขาก็เห็นหวังลู่กระอักเลือดออกมา ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดราวกระดาษ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นบาดเจ็บภายในรุนแรง

          ใต้เวทีประลอง ศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณต่างพากันจ้องมองไปที่พวกเขาด้วยสายตายากจะเชื่อ คนจากสำนักเซียนหมื่นเวทถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ใจของพวกเขาสงบลง ทันทีที่มันถูกเจาะได้ พลังตั้งรับโล่กระดองเต่าเช่นนี้ย่อมเผยช่องโหว่ไปทั่ว… ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณระดับสูง การที่สามารถต้านทานการโจมตีของกระบี่ไร้ขอบเขตได้ยาวนานขนาดนี้ อาจกล่าวได้ว่าหวังลู่เองก็ฝ่ามติสวรรค์มาไกลแล้ว ทว่าสุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้จนได้!

          ทว่าในตอนนั้นเอง สีหน้าของเจ้าเจียงยวันที่อยู่บนเวทีก็แปรเปลี่ยนเป็นขื่นขม อึดใจถัดมา เขาเองก็กระอักเลือกออกมาเช่นกัน เป็นสัญญาณว่ามีการบาดเจ็บภายใน!

          “นั่นมันเพลงกระบี่อะไรกัน” เจ้าเจียงยวันถามเสียงแหบแห้ง เป็นเรื่องยากที่จะเปิดปากพูดเพราะเขายังคงกระอักเลือดออกมาไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจเก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจได้

          หวังลู่เองยิ้ม เปิดปากตอบได้อย่างยากเย็นเช่นกัน “โล่หนาม”

…………………………………….

 [1] รู่อี่ (ภาษาจีน 如意 แปลว่า ตามปรารถนา ตามที่ต้องการ) เป็นวัตถุรูปทรงโค้งมนใช้เป็นคฑาในการประกอบพิธีพุทธของจีน หรือยันต์สัญลักษณ์ด้านอำนาจและโชคดีตามความเชื่อของจีน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด