กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 38.2 กระบี่แห่งสัจจะ (2)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 38.2 กระบี่แห่งสัจจะ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

พลังปราณฟ้าดินในอาณาจักรเก้าแคว้นไม่ได้คงที่ในทุกๆ จุด แต่จำนวนโดยรวมนั้นคงที่ พลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ยก็เช่นเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่าง ‘เจ้ามีเยอะข้าจึงมีน้อย หรือเจ้ามีน้อยส่วนข้ามีเยอะ’ ตราบใดที่มีการจัดการที่ดี พลังปราณฟ้าดินในสถานที่หนึ่งสามารถเพิ่มมากขึ้นได้ ทำให้จากสถานที่ธรรมดากลายเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อหนึ่งพันปีก่อน พื้นที่เซิ่งจิงในภาคกลางที่สำนักเซิ่งจิงตั้งอยู่ก็เป็นเพียงที่ราบธรรมดาที่พบได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นเท่านั้น

แน่นอนว่าในโลกนี้ทุกสิ่งไม่อาจสมบูรณ์แบบได้เช่นนั้น ส่วนใหญ่แล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ควรปลีกตัวสันโดษก็ยังเคยชินกับการแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวมากกว่าการบำรุงรักษา อย่างไรเสียด้วยความกว้างใหญ่ของอาณาจักรเก้าแคว้น สิ่งมีชีวิตย่อมไม่อาจถูกใช้ประโยชน์ไปจนหมดสิ้นแน่นอน

ดังนั้นในมุมมองของหลิวเสี่ยนแล้ว สำนักภูมิปัญญาจึงไม่ต่างอะไรจากลัทธิ ทั้งที่มีเวลาในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เพียงหนึ่งปี แต่หวังลู่กลับต้องการทำในสิ่งที่ต้องใช้เวลานานเช่นนี้… จึงยากที่จะเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำเพื่ออำนาจและเงินทอง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนจึงถามออกไป “เจ้าให้ข้ามาที่นี่เพื่อดูความสำเร็จของเจ้างั้นหรือ” ขณะพูด สายตาก็ยังหยุดอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหวัง เห็นได้ชัดว่าเขาประทับใจกับภาพที่เห็นไม่น้อย

หวังลู่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากแท่นบูชากลางหมู่บ้านที่ข้าได้มาเพราะโชคช่วย ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดในหมู่บ้านตระกูลหวังให้โอ้อวดได้ สำนักภูมิปัญญายังมีหมู่บ้านเช่นนี้อีกอย่างน้อยสิบแห่ง ที่สภาพตามธรรมชาติย่ำแย่ ผังของหมู่บ้านก็จำกัด”

หลิวเสี่ยนคำราม เขาไม่เปิดโอกาสให้หวังลู่ได้โอ้อวดอีก “ข้าให้เวลาเจ้าสามวันจัดแจงในสิ่งที่เจ้าต้องการ ศิษย์น้องสามกับข้าจะเฝ้ามองอยู่ที่นี่ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าปรารถนา ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะหนึ่งร้อยลี้จากตรงนี้”

หวังลู่ไม่ได้กล่าวตอบ หวังลู่เรียกประชุมพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาในหมู่บ้านตระกูลหวังและรีบตระเตรียมการอย่างรวดเร็ว

——

ตามที่หลิวเสี่ยนคิด ในทางทฤษฎี การที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจะร้องขอให้ใช้กระบี่แห่งสัจจะนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ต่อให้คนผู้นั้นจะมีวิชาไร้ลักษณ์และรากวิญญาณนภาก็ตามที

ดังนั้นกุญแจสำคัญในการเอาชนะความเป็นไปไม่ได้จึงอยู่ที่การเตรียมการในสามวันนี้ การเตรียมการของหวังลู่นั้นเกินธรรมดา มันเป็นการดำเนินการที่มีขนาดใหญ่โตมาก

หากหวังลู่ไม่ได้บอกกล่าวพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญาและตระเตรียมกำลังพลไว้แล้วเมื่อหลายวันก่อน มันคงจะสายเกินไปหากเขาคิดจะทำแผนนี้ให้สำเร็จ

แม้กระนั้นก็ตาม หากดูจากกำลังคนของสำนักภูมิปัญญาที่มีอยู่ในปัจจุบัน การจะได้ในสิ่งที่หวังลู่ต้องการเป็นไปได้ยาก เหล่าพวกระดับสูงของสำนักภูมิปัญญามารวมตัวกันที่หมู่บ้านก่อนหน้านี้หนึ่งวันเพื่อเตรียมตัวขั้นต้นอย่างเร่งรีบ พอหวังลู่มาถึง เขาจึงเปิดเผยแผนการทั้งหมด เมื่อได้ยินแผนที่ว่า เหล่าพวกที่คุ้นเคยกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสำนักภูมิปัญญาอย่างรองเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็เบิ่งตากว้าง

เย่ชูเฉิน ผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจที่สุดของหวังลู่พึมพำเบาๆ “เจ้าสำนัก… โครงการที่ท่านว่ามันจะไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ นอกจากความยากด้านกลยุทธ์แล้ว จำนวนทรัพยากรที่ต้องการนั้นก็…”

“ฮ่าๆๆ พี่เย่ ท่านจะบอกว่าท่านไร้ความสามารถ ไม่อาจทำงานที่เจ้าสำนักมอบหมายได้เช่นนั้นหรือ”

ผู้ที่กล่าวประโยคนี้ออกมาคือปรมาจารย์หมิงหยุนซึ่งเป็นรองเจ้าสำนักอีกคน ปรมาจารย์ผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรเก้าแคว้น ขั้นตบะของเขาคือขั้นพิสุทธิ์ระดับต่ำ บุคลิกไม่อยู่กับร่องกับรอย ความประพฤติบางครั้งก็ดีบางครั้งก็แย่ สร้างความปวดหัวให้กับคนจำนวนไม่น้อย เมื่อห้าเดือนก่อนปรมาจารย์หมิงหยุนมาที่หมู่บ้านตระกูลหวังโดยไม่ได้รับเชิญ ในตอนนั้นเหย่ชูเฉินคิดว่าคนผู้นี้จะมาสร้างความปั่นป่วน แต่เขากลับต้องประหลาดใจที่พบว่าคนผู้นี้นิยมชมชอบใครบางคนจึงต้องการเข้าร่วมสำนักด้วย! ส่วนบุคคลที่คนผู้นี้ชื่นชอบแน่นอนว่าก็คือเจ้าสำนักหวังลู่! ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์หมิงหยุดผู้นี้ร่ำเรียนวิชามารสายใดมาจึงทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาบิดเบี้ยวเช่นนี้ เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขั้นพิสุทธิ์ แต่กลับชื่นชอบในตัวหวังลู่ซึ่งเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ไม่ช้าเขาก็กลายมาเป็นผู้ติดตามที่ภักดีของหวังลู่ หวังลู่เองนั้นก็ไร้มารยาท แต่งตั้งปรมาจารย์หมิงหยุนเป็นรองเจ้าสำนักดูแลด้านการต่อสู้และอื่นๆ โดยไม่ปรึกษาใคร แม้ตบะขั้นของปรมาจารย์หมิงหยุนต่ำกว่าเย่ชุนเฉินเล็กน้อย แต่ความสามารถในการต่อสู้กลับสูงกว่าหลายเท่า นับได้ว่าเป็นอันธพาลอันดับหนึ่งของสำนักโดยแท้!

ดังนั้นเมื่อได้ยินวาจาของปรมาจารย์หมิงหยุน เย่ชุนเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด ชายผู้นี้เหมือนสุนัขบ้า ไม่ฟังใครหน้าไหนทั้งนั้นนอกจากหวังลู่ เป็นคนที่ไร้เหตุผลโดยแท้ แถมชอบพ่นคำพูดหยาบช้า ภายในสำนักภูมิปัญญา ตำแหน่งจอมเฮงซวยอันดับหนึ่งย่อมไม่พ้นคนผู้นี้

ดังนั้นเย่ชูเฉินก็ไม่คิดสุภาพด้วย “เจ้ามันคนหยาบช้าที่รู้จักแต่ฆ่าฟัน พูดส่งๆ น่ะมันง่าย แต่การจะทำให้สำเร็จมันคนละเรื่องกัน แถมนี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะอวดรู้”

หวังลู่ยิ้ม “รองเจ้าสำนัก ท่านกล่าวผิดแล้ว หมิงหยุนเพียงแค่ต้องการแสดงความคิดเห็น ตราบใดที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน ทุกคนที่อยู่ที่นี่ย่อมออกความเห็นได้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หน่วยใดก็ตาม”

เย่ชุนเฉินแปลกใจไม่น้อย “หมิงหยุนรังแต่จะสร้างเรื่องสิไม่ว่า!”

หมิงหยุนถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เมื่อถูกสุนัขบ้าผู้นี้จ้องมอง เย่ชุนเฉินก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้

หวังลู่หัวเราะ “ฮ่าๆๆ แน่นอนว่างานนี้เหมาะกับหมิงหยุนมาก” พูดจบ หวังลู่ก็โยนกระดาษไปยังหมิงหยุน พออีกฝ่ายปรายตามองก็สะดุดตากระดาษใบนี้ในทันที ขณะพินิจมองกระดาษหมิงหยุนก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว

เมื่อส่งหมิงหยุนไปทำภารกิจเรียบร้อยแล้ว หวังลู่ก็กล่าวกับคนที่เหลือ “โครงการในครั้งนี้ใหญ่โตผิดธรรมดา จำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้ก็เกือบทำให้สำนักล้มละลาย ทว่าโครงการนี้เป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้เราต้องหมดกำลังไปกับมัน แต่ก็ต้องทำให้สำเร็จเข้าใจไหม”

พอได้เห็นว่าเจ้าสำนักลงมาจัดเตรียมโครงการอย่างเอาจริงเอาจังซึ่งเป็นเรื่องหายาก ทุกคนที่อยู่ในที่นั่นก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงจัง แม้พวกเขาจะไม่เห็นผู้อาวุโสสองคนลอยอยู่กลางอากาศเหนือหัวพวกเขา แต่ทุกคนก็รู้สึกได้รางๆ ว่าสำนักภูมิปัญญากำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญ

หากพวกเขายังเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระอยู่ คงแตกกระจายราวนกหรือสัตวป่ายามต้องเผชิญกับวิกฤตไปแล้ว ทว่า ณ ตอนนี้ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของสำนักภูมิปัญญา วิญญาณนักสู้ที่มุ่งมั่นก็เอ่อท้นจิตใจของพวกเขา

——

สามวันผ่านไปราวกับกะพริบตา

สามวันนี้อาจเป็นสามวันที่ยุ่งที่สุดของสำนักภูมิปัญญา โดยเฉพาะขุมกำลังหลักอย่างเย่ชูเฉินและหน่วยเจ็ดดาราที่อยู่ใต้อาณัติของเขา คนพวกนี้ยุ่งมากจนแทบจะขาดใจตาย ในหมู่พวกเขา ตาแก่ลามกเหอหยุนน่าเวทนาที่สุด เป็นเพราะต้องทำงานดึกดื่นติดต่อกัน เมื่อต้องการฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ด้วยการบำเพ็ญตบะคู่ เขากลับพบว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนนกเขาไม่ยอมขัน! ตาแก่ลามกถึงกับสะอึกสะอื้นจนเป็นลมไป ณ ตรงนั้นนั่นเอง

ในสามวันนี้ เย่ชูเฉินต้องควบถึงสองตำแหน่ง นั่นคือหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐานและหัวหน้าหน่วยของตนเอง เขานำคนจากหน่วยเจ็ดดาราออกจัดการงานขนาดมหึมา นั่นคือการติดตั้งค่ายกลบนภูเขาโดยรอบหมู่บ้านตระกูลหวังเพื่อเตรียมรับมือกับกระบี่แห่งสัจจะ หวังลู่เป็นคนวาดแบบร่างค่ายกลให้ แบบร่างนี้เต็มไปด้วยความคิดหลุดโลกชวนตะลึงที่เค้นมาจากมันสมองของศิษย์แถวหน้าแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ ครั้งแรกที่เย่ชูเฉินได้รับแบบร่างนี้มา คางของเขาก็แทบจะลงไปแตะเท้า! ในแบบร่างมีค่ายกลรวมวิญญาณระดับเก้าที่ซ้อนกันกว่าสามร้อยค่ายกลเป็นโครงภายนอก ตรงกลางเชื่อมต่อด้วยค่ายกลแปรรูประดับแปดทั้งหมดหกสิบค่ายกล จนกลายเป็นค่ายกลขนาดมหึมา

นอกจากนั้นยังมีประทีปไร้ล้ม เจดีย์ชำระล้าง ตำหนักรู้ตื่น… และสิ่งก่อสร้างนับร้อยๆ แห่งซึ่งตั้งอยู่ภายใต้ค่ายกล แต่ละแห่งเชื่อมต่อกันอย่างยอดเยี่ยม แม้ระดับของสิ่งก่อสร้างจะไม่ได้สูงส่ง แต่ก็ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาดและน่าจะสำแดงผลที่มหัศจรรย์ไม่น้อย

ในขณะเดียวกัน สามวันมานี้หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างซ่อนตัวอยู่บนฟ้า เฝ้ามองการเตรียมการของหวังลู่อยู่เงียบๆ พวกเขาได้ประจักษ์ว่าคนของสำนักภูมิปัญญาสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายราวเมืองหนึ่งเมืองภายในเวลาเพียงสามวัน!

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เมืองใหญ่ พื้นที่ว่างระหว่างภูเขาไม่ได้กว้างขวางนัก ทว่าปริมาณงานในการสร้างอาคารนับร้อยๆ แห่ง รวมถึงการวางค่ายกลที่หนาแน่นนั้นมีมากกว่าปริมาณงานในเมืองใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ!

เพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จในสามวัน สำนักภูมิปัญญาต้องใช้แรงงานมากถึงสามหมื่นคน นี่คือจำนวนคนงานทั้งหมดที่สำนักกะเกณฑ์มาได้จากพื้นที่ใกล้ๆ ท่ามกลางคนพวกนี้ มีผู้ฝึกเซียนตบะขั้นฝึกปราณมากกว่าหนึ่งพันคน! ขณะเดียวกันสำนักภูมิปัญญายังจ้างคนงานฝีมือเยี่ยมตบะขั้นสร้างฐานจากหอนภาเร้นลับอีกมากกว่าหนึ่งร้อยคน ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกมากโข แน่นอนว่าหน่วยที่สำคัญที่สุดคือเย่ชูเฉินกับคณะ ที่ต้องลงแรงให้กับงานที่ยากที่สุด หนักที่สุดและเหนื่อยที่สุด พวกเขาสร้างขวัญและกำลังใจและกระตุ้นประสิทธิภาพของเหล่าแรงงานที่เหลือได้อย่างเยี่ยมยอด

ปรมาจารย์หมิงหยุนรองเจ้าสำนักอีกคนก็ไม่ได้รับงานที่เบาไปกว่ากัน ตลอดสามวันเขานำเหล่าอันธพาลตัดภูเขาขุดแม่น้ำ ปลดปล่อยความต้องการในการทำลายล้าง! หวังลู่ตามติดคนเหล่านี้ไปอย่างใกล้ชิด ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ในทุกร่องรอยของการทำลายล้างนี้

สามวันให้หลัง หวังลู่ให้ผู้ติดตามทั้งหมดถอยออกไป ทิ้งเขาไว้ลำพังใน ‘เมืองใหม่’ บนภูเขา เขายืนอยู่บนแท่นบูชาสูงที่สร้างมาเพื่อเขาเองโดยเฉพาะ หลิวเสี่ยนที่ลอยอยู่เหนือหัวของหวังลู่ มองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเมินเฉย

“เจ้าพร้อมหรือยัง” หลิวเสี่ยนถาม

หวังลู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ลืมตาขึ้นจากนั้นก็เปิดปากออกช้าๆ

ทว่าก่อนที่เสียงของเขาจะหลุดออกมา เสียงฟ้าร้องก็คำรามลั่นไปทั่วภูเขา สภาพอากาศพลันแปรเปลี่ยน ภายในเสี้ยววินาที ท้องฟ้าสนสดในระยะหลายพันลี้ก็กลับกลายเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก! กลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน! สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงฟาดลงมาจากท้องฟ้าราวสวรรค์ลงทัน!

หวังลู่ชิงลงมือโจมตีก่อน!

………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด