กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ 39.2 ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด (2)

Now you are reading กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ Chapter 39.2 ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

พูดจบเขาก็ยื่นมือไปคว้ากะโหลกที่ใกล้ที่สุดแล้วโยนลงไป ซากศพดังกล่าวบ่นงึมงำพร้อมทิ้งตัวกลิ้งลงไปและจนกลายเป็นเพียงเนื้อและกระดูกระหว่างทางนั่นเอง

ความโหดเหี้ยมของหวังลู่ปลุกเร้าความโกรธแค้นให้ซากศพที่เหลือในทันที พวกมันส่งเสียงโห่ร้องอื้ออึง ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ ภาพลวงตาของกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้เกรงกลัวว่าผู้ใดจะทะลวงผ่านมันไปโดยใช้ความรุนแรง เพราะคนผู้นั้นใช้ความรุนแรงขณะที่ถูกตรวจสอบ ส่วนใหญ่แปลว่าจิตของคนผู้นั้นว่างเปล่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! และความแข็งแกร่งของภาพลวงตาที่กระบี่แห่งสัจจะสร้างขึ้นมาก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจิตใจฝ่ายตรงข้าม หากอีกฝ่ายไม่มั่นใจ พวกเขาก็จะไม่อาจสำแดงความแข็งแกร่งออกมาได้แม้ว่าจะทรงพลังเท่าใดก็ตาม ต่อให้อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ขั้นมหายาน กระบี่แห่งสัจจะก็สามารถฉายภาพเซียนสิบเจ็ดสิบแปดคนออกมาเฉือนเนื้อของอีกฝ่ายเป็นล้านๆ ชิ้นได้

ทว่าเบื้องหลังความโหดเหี้ยมของหวังลู่ ยังมีความมั่นใจแน่วแน่ซ่อนอยู่ “พวกสวะ พวกเจ้ามีคุณสมบัติคู่ควรมายืนแหกปากต่อหน้าข้าด้วยหรือ”

ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของเหล่าซากศพ คำพูดของหวังลู่เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้พวกมันเงียบปากลง

ก่อนที่พวกมันจะขยับตัวอีกครั้ง หวังลู่ก็เลิกคิ้วและชี้นิ้วใส่ “พวกเจ้ามันฝ่ายตรงข้ามที่พ่ายแพ้และตายในสงครามการขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา พวกเจ้าคับแค้นใจ เลยกล่าวหาว่าข้าเป็นต้นเหตุให้พวกเจ้าตาย หนำซ้ำยังอยากทึ้งข้าให้เป็นชิ้นๆ!? แต่ข้าคนนี้ไม่คิดเลี่ยงหรือหลบหนี ข้ายินดีจะรับบาปแห่งการตายของพวกเจ้ารวมทั้งความขุ่นเคืองทั้งหลาย! เพราะความเจ็บปวดของศัตรูคือความยินดีของข้า เสียงก่นด่าของศัตรูคือเสียงเพลงแห่งสวรรค์!

ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะยืนอยู่คนละฝั่งกับข้า ข้าก็มีมโนธรรมที่แจ่มชัดในการสังหารพวกเจ้า!”

พูดจบ เขาก็ชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง “และพวกเจ้า พวกเจ้าคือนักรบของสำนักภูมิปัญญาที่ตายในสงครามขยายอำนาจของสำนัก ตอนนี้พวกเจ้ารู้สึกเสียใจ เจ้าคิดภาพว่าหากเจ้าไม่ได้เข้าร่วมสำนักภูมิปัญญา หากเจ้าไม่มายืนอยู่แถวหน้า เจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นตอนเจ้าตาย เจ้าก็โทษว่าเป็นเพราะข้า! บอกตามตรงในใจข้า ข้าชิงชังพวกเจ้าที่สุด! เพราะยังมีนักรบของสำนักมากกว่าพวกเจ้าเป็นสิบเท่าที่ไม่เสียใจต่ออุดมการณ์ของตนและยอมอุทิศชีวิตให้ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเจ้าก็เป็นเพียงเศษธุลี! นักรบที่แท้จริงย่อมเก็บความเคืองแค้นไว้ให้ศัตรู และเพ่งสายตาไปเบื้องหน้าตลอดกาล! พอตายไป เจ้าควรจะรวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาและกลับไปต่อสู้กับศัตรูในโลกมนุษย์! หากเจ้าเปลี่ยนความขุ่นเคืองในตัวศัตรูให้กลายเป็นความเศร้าโศกเสียใจ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นนักรบ และไม่ควรคู่กับความเกรียงไกรของสำนักภูมิปัญญา! นักรบเช่นพวกเจ้านั้นข้าชิงชังยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น!”

“ส่วนพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ตายเพราะวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา พวกเจ้าคิดว่าตัวเองถูกหลอก รู้สึกคับข้องราวพายุหิมะที่ตกในฤดูร้อน ความชอบธรรมในตัวของเจ้าเชื่อว่าข้าทำลายอนาคตหนึ่งร้อยปีของเจ้า! สำหรับพวกเจ้าข้ารู้สึกชังอย่างยิ่ง นั่นเพราะข้าเป็นผู้ให้โอกาสพวกเจ้าได้เดินบนเส้นทางแห่งเซียน เป็นเพราะข้าที่ให้โอกาสปถุชนเช่นพวกเจ้าได้สืบเท้าไปข้างหน้า เป็นเพราะข้าที่เปลี่ยนพวกเจ้าที่ต้องตายเงียบๆ อย่างมดปลวกให้กลายเป็นผู้บุกเบิกในอาณาเขตเก้าแคว้นที่จะมีส่วนในการเคลื่อนขึ้นสู่สวรรค์ของโลก! นอกจากข้าจะไม่เคยบังคับให้พวกเจ้าใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาแล้ว การตัดสินใจของคนธรรมดาสามัญที่ต้องการเป็นวีรบุรุษที่เปล่งประกายนั้น แม้จะเพียงชั่วขณะเดียว แต่การตัดสินใจนั้นก็อยู่ตัวมือของพวกเจ้าเอง! ในเมื่อเจ้าต้องการเปล่งประกาย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เสียใจกับราคาที่ต้องจ่าย เสียงคร่ำครวญของเจ้าในวันนี้รังแต่จะทำให้เจ้าดูเนรคุณ เจ้าไม่คู่ควรให้เวทนาสักนิด!”

คำพูดยาวเหยียดนี้ทำให้ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนตกตะลึงจนเงียบเสียงลง ในตอนนี้นั้น แรงตอบโต้ของหวังลู่ได้ทะลุถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้แต่ในนรกที่เต็มไปด้วยภูเขาซากศพและทะเลเลือดนี้ พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานต่อคำพูดน่าเกรงขามของหวังลู่ได้! ซากศพนับหมื่นหยุดนิ่ง สายลมแห่งนรกเย็นยะเยือกค่อยๆ อ่อนกำลังลง ท้องฟ้าเบื้องหลังเมฆดำทมิฬค่อยๆ ปรากฏแสงสีทอง ราวกับว่ามวลเมฆถูกชำระล้างและมีแสงอาทิตย์เข้ามาแทนที่

“หึ น่าสนใจ”

ขณะเดียวกัน หลิวเสี่ยนผู้ที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นก็ยิ้มออกมาและพยักหน้า

“น่าสนใจ? ข้าว่าเขาก็แค่พูดจาเล่นลิ้นเท่านั้นละ” ฟางเฮ่อคิดอีกอย่าง

หลิวเสี่ยนกล่าว “ต่อให้เป็นคำพูดล่อลวง แต่ก็ไม่ได้เปนการโอ้อวดฝีปากเพียงอย่างเดียว การที่สามารถโต้เถียงภายใต้การไถ่ถามของกระบี่แห่งสัจจะก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ก้นบึ้งจิตใจของเขา เขาเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมาจริงๆ แม้ต่อหน้าภูเขาซากศพและทะเลเลือด เขายังมีสติรู้แจ้งที่กระจ่างชัด”

ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “สติรู้แจ้งที่กระจ่างชัดยิ่งสะท้อนจิตใจที่บิดเบี้ยวของเขา”

หลิวเสี่ยนกล่าวต่อ “ศิษย์น้องใช้มาตรฐานคนทั่วไปตัดสินเขา แต่อย่าลืมว่าเด็กคนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักด้วย ตามคำกล่าวที่ว่า คนจิตใจเมตตาควบคุมกองทัพไม่ได้ หากเขาไม่มีกรอบความคิดที่บิดเบี้ยวละก็ เขาจะควบคุมสำนักได้อย่างไร หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จคนใดในอาณาจักรเก้าแคว้นที่ไม่มีจิตที่หวาดระแวงและบิดเบี้ยวบ้าง”

ฟางเฮ่อทำเพียงส่ายศีรษะแต่ไม่คิดจะหักล้างคำพูดของหลิวเสี่ยน

หลิวเสี่ยนกล่าวต่อ “วางใจเถอะ ทำราวกับเจ้าไม่รู้ว่าพลังของกระบี่แห่งสัจจะนั้นแข็งแกร่งกว่านี้มากนัก เจ้าเด็กหวังลู่นี่ทดได้แค่การทดสอบบทแรกเท่านั้นละ แต่ข้าแน่ใจว่าเขาไม่อาจผ่านบททดสอบบทต่อไปได้แน่”

คำพูดนี้สำคัญยิ่งยวด เพราะหากมีใครผ่านกระบี่แห่งสัจจะไปเพราะคุณธรรมในใจแล้วละก็ ก็จะไม่มีหลักฐานค้านความบริสุทธิ์นี้ นั่นเพราะหากมีใครสักคนฆ่าผู้บริสุทธิ์ ตราบที่คนๆ นั้นเชื่อว่าการฆ่านั้นถูกต้องเที่ยงธรรม คนๆ นั้นก็สามารถผ่านการทดสอบได้ ต่อให้คนผู้นั้นไม่อาจหาญขนาดหวังลู่ที่กล้าร้องตะโกนอยู่กลางภูเขาซากศพและทะเลเลือดก็ตาม

การมีสติรู้แจ้งที่กระจ่างชัดไม่ได้แปลว่าไร้ยางอาย นั่นเพราะกระบี่แห่งสัจจะไม่ได้ตรวจสอบจิตใจของคนผู้นั้น แต่เป็นจิตแห่งเต๋าต่างหาก

สิ่งที่เรียกว่าจิตแห่งเต๋าคือการตระหนักรู้และความเข้าใจที่ผู้บำเพ็ญเซียนจะได้รับระหว่างเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้ความจริงเส้นทางแห่งเซียนจะแบ่งได้มากมายนับไม่ถ้วน ทว่าแต่ละเส้นทางล้วนมีเป้าหมายและรากฐานของตัวเอง หากต้องการเดินไปบนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง คนผู้นั้นย่อมต้องยอมรับกฎเกณฑ์ของเส้นทางนั้นๆ ให้ได้ ห้ามเอาความคิดของตนเป็นใหญ่เหนือกฎ ห้ามใช้มุมมองที่บิดเบี้ยวเพื่อเข้าถึงเส้นทางหลัก และห้ามทำตัวหน้าละอาย ยกเว้นพวกที่ฝึกวิชามาร หรือพวกที่พลังวิญญาณขั้นปฐมบรรลุไปถึงจุดที่บริสุทธิ์โดยไร้มลทินแม้สักนิด แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง

หวังลู่ไม่ได้ศึกษาวิชามาร หนำซ้ำพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็ห่างไกลจากขั้นบริสุทธิ์ไร้มลทินอยู่มากโข ดังนั้นหากกระบี่แห่งสัจจะสำแดงความสามารถที่แท้จริงของมัน หวังลู่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันที่ทรงพลังนั้นได้

ภายในโลกแห่งภาพลวงตาตรงหน้า ภูเขาซากศพและทะเลเลือดนั้นปลาสนาไปหมดแล้ว เหลือเพียงความดำมืดไม่สิ้นสุด

ผ่านไปพักใหญ่ ขณะที่หวังลู่ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความดำมืดไม่สิ้นสุดกำลังจะสูญเสียการรับรู้เรื่องเวลา น้ำเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังสนั่นขึ้น “เจ้ามีความผิด!”

ตู้ม!

หวังลู่ตกใจจนเจียนเป็นบ้า! เมื่อคำพูดเหล่านั้นกระทบโสตประสาท บรรดาภาพนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจ เขาเห็นภาพผู้บำเพ็ญเซียนผู้ทุกข์ทรมานที่กำลังถูกเข่นฆ่าในสงครามขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา ชาวบ้านธรรมดาที่ตายเพราะพยายามฝึกวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา รวมถึงผู้ติดตามที่ทำงานหนักเพื่อสำนักภูมิปัญญาทั้งวันทั้งคืนและต้องมาตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร รวมถึงภาพเหล่าญาติที่ยืนร่ำไห้อยู่ข้างๆ โลงศพ

นี่คือเหตุและผลของมัน ไม่ว่าเขาจะอยากยอมรับหรือไม่ เลือดที่เปื้อนบนมือเขาก็ไม่อาจล้างให้สะอาดขึ้นได้ หวังลู่รู้ได้ทันทีว่าอุปสรรคครั้งนี้ฝ่าไปได้ยากเพียงใด เขาพลันปกป้องจิตใจให้แน่นหนาขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับแรงกดดันที่กำลังเข้ามา!

เขายังฝึกพลังวิญญาณขั้นปฐมมาไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่อาจเผชิญหน้ากับกระบี่แห่งสัจจะโดยตรงได้ ตอนนี้เสาในเมืองใหม่ที่เหลืออยู่เก้าต้นก็ลอยคว้างไปในอากาศ ไม่เฉพาะเมืองใหม่เท่านั้น ภูเขาในรัศมีโดยรอบเองก็เช่นกัน! ภูเขาเขียวขจีสั่นไหวอยู่ตรงหน้าเสาที่เปล่งประกายเหล่านั้น จากนั้นพลังปราณฟ้าดินที่แล่นไปตามเส้นฮวงจุ้ยก็ถูกบีบอัดหนักขึ้น ภายใต้การทำงานของค่ายกลรวมวิญญาณในเมืองใหม่ พลังปราณฟ้าดินก็พุ่งเข้าสู่หวังลู่ราวกับน้ำในแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเหลืองที่มุ่งตรงสู่ทะเล!

คลื่นพลังปราณในครั้งนี้รุนแรงกว่าคลื่นพลังปราณในคราวที่เขาตั้งแท่นบูชาปฐมกลียุคหลายเท่านัก! หากเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดา ร่างของเขาคงระเบิดไปนานแล้ว ทว่าหวังลู่ผู้ที่ยังสามารถยืนอยู่บนใจกลางแท่นบูชาได้นั้นมั่นคงราวหินผา เมื่อพลังปราณฟ้าดินทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ร่างเขา เพียงชั่วพริบตา ที่ใต้ฐานวิหารของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยสายฝนเชี่ยวกรากสีทองคำขาว! มันคือพลังปราณฟ้าดินที่ถูกคุณสมบัติแสนประหลาดของรากวิญญาณนภาเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ ซึ่งไม่มีเวลาให้ระเหยออกไปด้วยซ้ำ!

แน่นอนว่าตัวเอกของเรื่องก็คือของเหลวสีทองที่กระดูกกระบี่มากกว่าสองร้อยชิ้นกลั่นออกมา ในตอนแรกนั้น การหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าไปในร่างของหวังลู่นั้นให้ผลเพียงของเหลวสีทองไม่กี่หยด ทว่าตอนนี้ราวกับว่าประตูระบายน้ำกว่าสองร้อยแห่งเปิดออก ทำให้ของเหลวสีทองที่ใต้ฐานกลายเป็นทะเลสีทองไป

ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณขั้นปฐมที่อยู่ใต้ฐานซึ่งถูกความมืดมิดห่อหุ้มอยู่ก็ค่อยๆ หมุนวนรุนแรงขึ้นราวกับกระแสน้ำวนในมหาสมุทร อึดใจถัดมา พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็เรืองแสงขึ้น แล้วความมืดมิดค่อยๆ สลายไป!

“ดี!”

ครั้งนี้หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างเอ่ยปากชมพร้อมกัน!

หากไม่ใช่เพราะหวังลู่ดูดซับเอาพลังปราณฟ้าดินจำนวนมหาศาลจากค่ายกล ทั้งยังกินยาอายุวัฒนะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูกกระบี่ และสุดท้ายก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาย่อมไม่มีทางสำแดงฝีมือได้ถึงขนาดนี้แน่นอน!

สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์และพลังวิญญาณขั้นปฐมเป็นเอกเทศต่อกัน พลังวิญญาณขั้นปฐมผลักดันพลังอิทธิฤทธิ์ ส่วนพลังอิทธิฤทธิ์หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณขั้นปฐม ทว่าทั้งสองสิ่งไม่อาจถูกปรับเปลี่ยนอย่างเสรี นอกจากว่า…

นอกจากว่าหวังลู่จะใช้จิตเซียนขั้นสูง จิตเซียนขั้นสูงคือการเปลี่ยนรูปของจิต! ปรมาจารย์ขั้นกำเนิดใหม่เช่นหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อย่อมใช้วิชานี้ได้ แต่หวังลู่เพิ่มฝึกบำเพ็ญเซียนมาเพียงสามปี ตบะของเขายังอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับหก ทว่าเขากลับสามารถใช้วิชาจิตเซียนเปลี่ยนรูปได้… นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!

“วิชาจิตไร้ลักษณ์ฉบับปรับปรุงล่าสุดของศิษย์น้องห้านี่ก้าวหน้าถึงเพียงนี้เลยหรือนี่” อึดใจถัดไป หลิวเสี่ยนก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ทว่าจุดใหญ่ก็ยังเป็นความสามารถของเด็กหวังลู่นี่ ในเมื่อเขาสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นกระบี่แห่งสัจจะ…”

ฟางเฮ่อพ่นลมออกจมูก “ก็ยังไม่ถูกสกัด ขั้นตบะของเด็กนี่ยังตื้นเขินนัก”

หลิวเสี่ยนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีโอกาสเลย… อย่างน้อย ยังมีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นส่วน”

“นอกจากว่าเขาจะยอมทุ่มหมดตัว ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้หนึ่งในหมื่นส่วนก็เป็นไปไม่ได้ ทว่าหากเขาไม่ใช่คนโง่เง่า เขาย่อมรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกระบี่แห่งสัจจะขนาดนั้น ในเมื่อเขาผ่านขั้นแรกมาได้ ใครกันจะกล้าใจร้ายกับเขา เขาย่อมรู้แก่ใจว่าเราไม่ตะแบงให้เขาทดสอบจนจบหรอก”

หลิวเสี่ยนยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ศิษย์น้อง เจ้าเห็นความสามารถเขาเลยใจอ่อนงั้นหรือ”

ฟางเฮ่อผินหน้ากลับมา “ความสามารถที่บิดเบี้ยวเช่นนั้นน่ะหรือ ลืมมันไปเถอะ เว้นแต่เขาจะเป็นได้อย่างหลิวหลีน้อย แบบนั้นข้าถึงจะพอใจ”

รอยยิ้มของหลิวเสี่ยนพลันขมขื่นลง “หากหลิวหลีน้อยได้ความหลักแหลมของหวังลู่ไปเพียงนิด ข้าจึงจะพอใจ”

สองผู้อาวุโสเอาแต่พูดจาโต้ตอบกัน คนทั้งคู่จึงไม่คาดหวังผลของการทดสอบอีก ทว่าในขณะเดียวกัน เมื่อเผชิญกับการตรวจสอบอย่างดุเดือดของกระบี่แห่งสัจจะ พลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ยังคงดิ้นรนอยู่ในความมืดมนอนธการ โดยไม่ถอยหลังกลับแม้เพียงครึ่งก้าว!

หลิวเสี่ยนประหลาดใจยิ่ง “ไม่กลัวตายเลยหรือนี่!”

ฟางเฮ่อขมวดคิ้ว “เจ้านี่คิดอะไรอยู่!?”

ทว่าไม่ว่าเด็กหนุ่มจะคิดอะไรอยู่ ในยามนี้แน่นอนว่าหวังลู่ย่อมเลือกดับเครื่องชน!

กระบี่แห่งสัจจะไม่ได้มีขึ้นเพื่อสร้างความบาดเจ็บ ต่อให้มันแทงทะลุหัวใจของอีกฝ่าย ผลก็คือความพ่ายแพ้และไม่ได้ทิ้งบาดแผลใดๆ ไว้ กระบี่นี้ไม่มีอันตราย ทว่าหวังลู่ใช้จิตเซียนไร้ลักษณ์หนักเกินไป ซึ่งอาจทำให้ร่างกาย ฐานวิหารและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาเป็นอันตรายถึงตาย!

ต่อให้ทุ่มเทถึงเพียงนี้ แต่โอกาสที่เขาจะต้านทานกระบี่แห่งสัจจะได้มากสุดก็เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น!

ไม่ว่าจะหลิวเสี่ยนหรือฟางเฮ่อ ทั้งคู่ต่างไม่ได้คาดคิดว่าหวังลู่จะเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์ เขาถึงกับละเลยชีวิตตัวเองเชียวหรือ!?

ในตอนนั้นเอง หลิวเสี่ยนไม่ได้นึกถึงสิ่งอื่นใด เขาเพียงสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกพลังวิญญาณขั้นปฐมคืนมา ฉับพลันความมืดที่ห่อหุ้มพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ไว้ก็สลายไป การตรวจสอบครึ่งท้ายของกระบี่แห่งสัจจะถูกหลิวเสี่ยนเรียกกลับคืน!

เมื่อรู้สึกว่าแรงกดดันรอบตัวหายไป หวังลู่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขารีบแผ่พลังอิทธิฤทธิ์และพลังปราณฟ้าดิน และหยุดวิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์ ทว่าร่างกายและจิตใจของเด็กหนุ่มบาดเจ็บหนัก เขาเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจ

หวังลู่แทบจะประคองตัวให้ยืนตรงๆ อยู่บนแท่นบูชาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขากำลังจะทรุดตัวลง ทว่าใบหน้ายังอาบด้วยรอยยิ้มสุขุมมั่นใจ

“ท่านลุง ศิษย์…มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด!”

……………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด