จอมศาสตราพลิกดารา 23 วิชาธนู

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 23 วิชาธนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จะกินมันเยิ้มเยอะไปไม่ได้” ชิงเฟิงแสดงท่าทางราวกับใต้เท้าตัวน้อย เอ่ยสั่งสอนอย่างจริงจัง “อาหารควรจะจัดสรรให้เหมาะสม หมิงเยวี่ยช่วงนี้เจ้ากินเยอะไปแล้วนะ เพลาลงหน่อยเถิด เดี๋ยวจะโตไวเกินไป…”

หลี่มู่ขบขันอยู่ในใจ

ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ เขาเข้าใจถึงธรรมชาติของเด็กรับใช้บัณฑิตสองคนนี้อย่างถ่องแท้แล้ว

สำหรับเด็กชายตัวน้อยชิงเฟิงบรรยายได้ด้วยสี่คำว่า ‘คนแก่รุ่นเยาว์’ เขามักทำท่าทางเหมือนคนแก่ เวลาทำอะไรจะวางแผนและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งเขายังอ่านโครงกลอนและหนังสือ เชี่ยวชาญกฎหมายของจักรวรรดิฉิน มนุษย์ศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ลำดับขุนนาง มีพรสวรรค์มากมาย สมควรแก่การเรียกว่า ‘ข้ารับใช้ของบัณฑิต’ อย่างแท้จริง

กลับกันเด็กหญิงหมิงเยวี่ยเป็นเด็กโง่เขลาที่เน้นกินหนักเล่น นอกจากเรื่องกินและเล่น บางครั้งสนใจเรื่องหลี่มู่ผู้เป็นนายบ้างก็นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว อีกทั้งมีหลายครั้งที่หลี่มู่ค้นพบโดยบังเอิญว่าเด็กคนนี้มีพลังเหลือล้น วิ่งเร็วราวลมคลั่ง เป็นตัวประหลาดโดยกำเนิด

แต่อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยสองคนนี้นับว่าเป็นคนสนิทที่สุดของหลี่มู่หลังจากมายังดวงดาวนี้

หลังจากอาหารเที่ยง ยามหลี่มู่เดินออกมาจากโถงด้านหน้า หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่แบกคันธนูรออยู่ที่ประตูห้องโถงแล้ว

“ใต้เท้า สนามฝึกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าไปฝึกยิงธนูได้ตลอดเวลา” หม่าจวินอู่ตอบด้วยความเคารพ

หลี่มู่ตั้งใจที่จะเรียนธนู จึงออกคำสั่งไปเมื่อคืนให้มือธนูอันดับหนึ่งแห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์อย่างหม่าจวินอู่เตรียมพร้อมมาสอนเขา สำหรับหม่าจวินอู่แล้ว นี่เป็นโอกาสสร้างสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าขุนนางนางเมืองที่หาได้ยากยิ่ง เขาตื่นเต้นมาก เตรียมตัวอยู่ทั้งคืน และตัดสินใจที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้

“ดี เตรียมม้า ไปที่สนามฝึกกัน” หลี่มู่อารมณ์เบิกบาน

ช่วงแรกที่มายังดาวดวงนี้ เขาตัดสินใจที่จะเป็นสไนเปอร์สาย ADC[1] จัดการคู่ต่อสู้จากระยะไกล นี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เพิ่งมาถึงประตูของที่ว่าการอำเภอ นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงก็เดินเข้ามารับหน้าเขา กล่าวด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม “ใต้เท้าจะไปสนามฝึกเพื่อฝึกธนูหรือขอรับ หน้าประตูใหญ่ตอนนี้มีสิ่งกีดขวางอยู่ หากใต้เท้าอยากออกไปก็ใช้ประตูหลังเถอะ”

ท่านขุนนางเมืองได้ยินดังนั้นก็โมโห “มันผู้ใดกล้าขวางประตูใหญ่ของที่ว่าการ? บทเรียนของพรรคเสินหนงยังไม่เพียงพอหรือ?”

เฝิงหยวนซิงตกตะลึง ตอบออกไปว่า “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว มีผู้มีชื่อเสียงเช่นพวกคหบดีในอำเภอเมืองมาเยี่ยมเยือนใต้เท้าขอรับ เพื่อแสดงความยินดีที่ท่านแสดงอำนาจกำจัดพรรคเสินหนงได้ จึงนำบรรณาการหลากหลายอย่างมามอบให้ และยังมีคนยากไร้ได้ยินเรื่องความซื่อสัตย์ยุติธรรมของใต้เท้าจึงมาร้องทุกข์ ตอนนี้ประตูใหญ่ที่ว่าการเต็มไปด้วยผู้คน นี่เป็นเพราะชื่อเสียงของท่านแท้ๆ ซื้อใจประชามีประโยชน์นัก…”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

สีหน้าหลี่มู่เปลี่ยนจากอึมครึมเป็นสดใส ความภูมิใจฉายชัดจนยากที่จะซ่อนไว้

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

แล้วตอนนี้ต้องออกไปแสดงตัวหน้าประตูใหญ่หรือไม่ล่ะ?

นึกไปนึกมาเขาก็ปล่อยให้แล้วๆ ไป เวลามีน้อยต้องรีบฝึกฝน มีเพียงเพิ่มความแข็งแกร่งถึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้

หลี่มู่ไม่ได้โง่ เขารู้ว่าการฆ่าโจวอู่และเจิ้งหลงซิงจะมีอันตราย สกุลโจวเป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ ผูกสัมพันธ์กับผู้คนสามลัทธิเก้าสำนัก[2] รับประกันยากว่าจะไม่มีคนช่วยเหลือ อีกทั้งเจิ้งหลงซิงเป็นผู้ช่วยประมุขพรรคจันทราโลหิต ตอนที่เขามายังดวงดาวนี้แรกๆ เขาก็ผูกปมแค้นกับพรรคนี้แล้ว ไม่แน่ชัดว่าจะมาแก้แค้นเมื่อไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถละเลยได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน

“เอาแบบนี้แล้วกัน เจ้าไปที่ศาล ใครถูกก็ว่าถูก ใครผิดก็ว่าไปตามผิด จัดการทีละเรื่องตามกฎหมายของจักรวรรดิ” หลี่มู่หันกายมุ่งหน้าไปประตูหลัง เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับมองเฝิงหยวนซิงแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นนายทะเบียน น่าจะมีพรสวรรค์อะไรบ้าง จงอย่าทำผิดให้เป็นชอบ ต้องเป็นกลาง เข้าใจรึไม่?”

เฝิงหยวนซิงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

นี่หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าใต้เท้าขุนนางเมืองไว้ใจเขามากอย่างไรเล่า

ให้อำนาจขนาดนี้กับเขาโดยตรง เท่ากับเป็นตัวแทนของอำนาจขุนนางเมืองแล้ว

เลือดในกายของเฝิงหยวนซิงเดือดพล่าน เพียงรู้สึกว่าเขาอดทนมาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับรางวัลแล้ว จึงคุกเข่าทำความเคารพ พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามารถ จะตัดสินทุกคดีความอย่างเป็นธรรม จะไม่ให้ชื่อเสียงเรื่องซื่อตรงและเที่ยงธรรมของท่านต้องมัวหมองเป็นอันขาด”

หลี่มู่โบกมือเป็นสัญญาณ จากนั้นเดินมุ่งหน้าไปทางประตูหลังกับหม่าจวินอู่

เฝิงหยวนซิงพลันคิดอะไรขึ้นมาได้จึงไล่ตามไป พูดออกมาเสียงดังว่า “ใต้เท้า อยากให้ข้าน้อยส่งเครื่องบรรณาการจากเหล่าคหบดีกลับไปในนามของท่านหรือไม่?” เฝิงหยวนซิงรู้แจ้งว่าเหล่าคนร่ำรวยและผู้มีชื่อเสียงคิดอะไรอยู่ หากรับของแล้วเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงเรื่องความซื่อตรงเที่ยงธรรมของใต้เท้าจะเสียหายได้

หลี่มู่ได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดิน และหันมามองเฝิงหยวนซิงราวกับมองคนโง่

“ส่งกลับคืน? ทำไมต้องส่งกลับคืนด้วย?”

“เอ๊ะ? ก็….” เฝิงหยวนซิงอึกอัก สับสนเล็กน้อย

 เกิดอะไรขึ้น ทำไมใต้เท้าถึงทำสีหน้าเช่นนั้นกัน

เขาเอ่ยเสนอไปก็เพื่อให้ภาพลักษณ์เที่ยงธรรมไม่เห็นแก่สิ่งของของใต้เท้าโดดเด่นขึ้น หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไป?

หลี่มู่เอามือลูบคาง ยิ้มมุมปากก่อนพูดว่า “จำไว้ อ้อยเข้าปากช้าง ยิ่งมากยิ่งดี มีเคล็ดการต่อสู้ยิ่งดีที่สุด ข้าอยากได้ทักษะการต่อสู้ มิใช่วิธีการฝึก”

ล่อเล่นหรือไงกัน ข้าวของถูกส่งมาให้ถึงที่มิได้ขโมยเขามา เหตุใดต้องส่งคืนด้วย?

อีกทั้งในมุมมองของหลี่มู่ที่ผ่านการล้างสมองของอุดมการณ์แบบสังคมนิยมมา เหล่าคหบดีพวกนี้ไม่รู้ขูดรีดขูดเนื้อชาวบ้านมามากเท่าไหร่ ต้องไม่ใช่พวกดีเด่อะไรแน่ ไม่คว้าโอกาสฆ่าพวกเขาไว้แล้วจะฆ่าใคร?

ผู้ยิ่งใหญ่บนดาวโลกเคยกล่าวว่าต้องระวังกระสุนเคลือบน้ำตาลเอาไว้ ทว่าการรับมือกับกระสุนเคลือบน้ำตาลที่ดีที่สุดไม่ใช่การป้องกันทุกทาง แต่เป็นการแกะน้ำตาลออกมากิน แล้วเหลือลูกปืนไว้เอามาใช้งาน ทำให้ระบบทุนนิยมแพ้ภัยตัวเอง นี่สิถึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด

กว่าเฝิงหยวนซิงจะฟื้นคืนสติ ร่างของหลี่มู่ก็หายเข้าไปทางประตูหลังแล้ว

เขารู้สึกทันทีว่าตัวเองต้องโยนความคิดเก่าๆ เกี่ยวกับตัวใต้เท้าทิ้งไปซะแล้ว

ก่อนนี้เคยคิดว่าท่านขุนนางเมืองน้อยคือคนมือสะอาด แต่ตอนนี้ดูแล้ว…ยากเกินจะเข้าใจจริงๆ

….

พระอาทิตย์แผดเผา ร้อนแรงราวกับไฟสุม

ภายใต้แสงอาทิตย์สองดวงบนต่างดวงดาว อากาศกลับไม่ร้อนเกินไปนัก ไม่ต่างจากบนโลกสักเท่าไหร่

ฟิ้ว!

ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าเสมือนดาวตก

ขนนกปลายธนูสั่นไหวเสียงดัง

หม่าจวินอู่ปรบมืออยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ใต้เท้าช่างปรีชา สอนนิดเดียวก็เข้าใจ พรสวรรค์ด้านธนูเหนือกว่าข้าน้อยไปไกล”

หลี่มู่หัวเราะแหะๆ ตอบว่า “ทำไมรึ คนคิ้วหนาตาโตอย่างเจ้าก็ชอบประจบเหมือนงูแบบเฝิงหยวนซิงหรือ?”

หม่าจวินอู่หน้าแดง รีบโบกมือพยายามอธิบาย “คำข้าน้อยไม่ใช่คำประจบเยินยอ แต่มาจากใจจริงนะขอรับ ข้าน้อยไม่เคยพบใครที่มีพรสวรรค์เหมือนท่านในด้านการยิงธนู ผู้อื่นฝึกหนักมาเป็นปีอาจสู้ท่านที่ฝึกเพียงครึ่งวันมิได้”

หลี่มู่หัวเราะร่า ในใจรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อ

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่หรือที่ใด ของนับหมื่นพันไร้ประโยชน์ได้ แต่คำประจบประแจงใช้ได้เสมอ

แต่หลี่มู่รู้ดีว่าเพราะตัวเองฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’ ทำให้ตาดีหูดี สัมผัสทั้งห้าพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเรียนธนูต้องการเพียงเชี่ยวชาญทักษะพื้นฐาน จากนั้นก็จะสามารถยิงร้อยครั้งเข้าเป้าร้อยครั้ง ในสายตาของหม่าจวินอู่เขาจึงเป็นนักธนูยอดอัจฉริยะ

ฝึกธนูวันนี้ หลี่มู่ใช้ธนูทั่วไปมิใช่ธนูเงินเพื่อจะทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง ธนูสีเงินนั้นแข็งแกร่งเกินไป ยิงลูกธนูไม่กี่ดอกก็เกรงว่าสนามฝึกจะเละเป็นหน้ากลองแล้ว

“ทักษะการยิงธนูของเจ้านับว่าอยู่ในระดับใดของจักรวรรดิ?”

หลี่มู่ยิงลูกธนูสิบดอกติดกัน ทุกดอกล้วนเข้าเป้า เขาถามโดยไม่ได้หันไป

หม่าจวินอู่มีสีหน้าละอาย

“ข้าน้อยเป็นเพียงกุ้งตัวเล็กในสระน้ำใหญ่ ตอนนั้นข้าน้อยเป็นนายพรานบนภูเขา ทักษะการยิงธนูนี้เป็นวิธีการยิงแบบดั้งเดิมของนายพราน ภายหลังข้าน้อยพัฒนาขึ้น ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์จึงนับว่ามีชื่อเสียงเล็กน้อย ทว่าในจักรวรรดิก็เป็นเพียงปลายแถวของปลายแถว

เล่าลือกันว่าในสำนักเทพ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ผู้คุ้มครองจักรวรรดิต้าฉิน มีทหารผู้ควบคุมสายธนูถึงสามพันนาย ไม่เพียงเป็นจอมยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง ยังเป็นนักธนูมือดีที่หายากยิ่ง หัวหน้ากองธนูมีนามว่า ‘ดาวตก’ หานอวี่ เป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในสี่เทพธนูทั่วหล้า นับได้ว่าเป็นนักธนูอันดับหนึ่งในจักรวรรดิต้าฉิน…ข้าน้อยขอไม่ปิดบังใต้เท้า เป็นเพราะสับสนกับความขัดแย้งของเหล่าขุนนางในอำเภอเมือง ข้าน้อยจึงเคยไปสำนักเทพทุ่งปิดภูผาหลายครั้ง ด้วยอยากลองทดสอบเข้ากองธนูของทุ่งปิดภูผา แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว”

หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างใช้ความคิด

ในจิตใจของผู้คนจักรวรรดิฉิน สำนักเทพ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ผู้คุ้มครองจักรวรรดิเป็นถึงหนึ่งในเก้าสำนักเทพ มีฐานะสูงส่งเหนือใคร แต่สำหรับทุ่งปิดภูผา หลี่มู่ไม่เข้าใจว่าทำไมในสำนักเทพเลี้ยงกองทัพพลธนูไว้ด้วย?

“ด้วยคุณสมบัติพรสวรรค์ของใต้เท้า หากไปที่ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ในวันหน้าอาจสามารถเป็นเทพธนูเหมือน ‘ดาวตก’ หานอวี่ก็เป็นได้” หม่าจวินอู่พูดด้วยสีหน้าจริงใจระคนอิจฉา

หลี่มู่หัวเราะ แต่กลับไม่พูดอะไรต่อ

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ดาวอื่นซึ่งมีภารกิจยิ่งใหญ่ในการกู้โลก ปณิธานของเขาจะสำเร็จได้เพราะ ‘ทุ่งปิดภูผา’ เล็กๆ นี่หรือ?

ทั้งกลางวันหลังจากนั้น หลี่มู่ฝึกยิงธนูในสนามฝึกตลอด

ระดับความบ้าระห่ำจริงจังนี้ทำให้หม่าจวินอู่ต้องจ้องมอง

เขาเคยคิดว่าขุนนางเมืองหลี่มาฝึกเล่นๆ เท่านั้น

แต่ท่ามกลางเสียงธนูดังกระหึ่มที่น่าเบื่อและต่อเนื่องกันเช่นนี้ ทักษะการยิงธนูของหลี่มู่พัฒนาขึ้นอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่เกินจริงจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ไม่นานนัก เขาก็เรียนรู้วิชาธนูของหม่าจวินอู่จนถึงแก่น

วิชาธนูแบบนายพรานที่หม่าจวินอู่พัฒนาด้วยตัวเองมาจากความคุ้นชินกับการล่าสัตว์บนภูเขา เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก

ทักษะการยิงธนูล่าสัตว์แบบนี้ ตอนเริ่มต้องนิ่งดั่งภูผา ซ่อนตัวราวกับนักซุ่มยิง ต่อมาเน้นที่ความแม่นยำ ต้องคำนวณทุกอย่าง โดยเฉพาะลูกธนูดอกแรกที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องใส่ใจคือการรวมพลังและจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่ง เพื่อเพิ่มพลังทำลายล้างแก่ศัตรูให้มากที่สุดในดอกแรก ดังนั้นพลังของลูกธนูดอกแรกจึงมากและน่ากลัวที่สุด เมื่อธนูดอกแรกถูกยิงออกไป วิถีของธนูจะเปลี่ยนไปมาก และโดดเด่นเรื่องระดับความเร็วในการยิง ลักษณะของมันคือจะชิงยิงลูกธนูออกไปให้มากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ทีเดียว

………………………….

[1] ADC มาจาก Attack damage carry เป็นตำแหน่งตัวยิงไกลที่ทำดาเมจหลัก

[2] สามลัทธิเก้าสำนัก สามลัทธิคือหรู เต๋า และพุทธ เก้าสำนักคือสำนักปรัชญาในสมัยจีนโบราณ วลีนี้สื่อถึงผู้คนสารพัดอาชีพ มีทุกศาสตร์ทุกแขนง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด