จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 333 เรียกท่านอา

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 333 เรียกท่านอา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่ามกลางพายุหิมะ เทพธิดาสงครามใส่เกราะแสงสีเทาอ่อนนางหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา

ผมยาวสีทองของนางปลิวไสวกลางสายลม ราวกับแสงทองกำลังกระโดดโลดเต้น เสื้อคลุมกันลมสีแดงเลือดดุจเปลวไฟเผาไหม้อยู่ด้านหลัง สีหน้านางขาวซีดเล็กน้อย ลมหายใจไม่คงที่ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในมือกำธนูคันใหญ่สีเหลืองทอง ทอประกายดั่งแสงตะวัน ขับไล่พายุหิมะที่อยู่รอบๆ ออกไป กลิ่นอายชั่วร้ายแรงกล้าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไหลวนจากเสื้อเกราะของนาง สายตาเย็นเยือกเสมือนลูกธนูแหลมคมสองดอก จับจ้องไปยังร่างเล็กเตี้ยบนหลังแมงมุมหิมะยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปราวสามสิบจั้ง

เสียงน้ำจับตัวแข็งดังขึ้น

เกล็ดหิมะมากมายรวมตัวกัน กรงเล็บของแมงมุมยักษ์ที่ถูกยิงระเบิดไปจับตัวแข็งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“ก็แค่การดิ้นรนของเดรัจฉานที่ถูกมัดไว้” น้ำเสียงเย็นชาของจ้าววิหารเทพแมงมุมปานเสียงภูตผีวิญญาณที่ลอยออกมาจากใต้นรกขุมที่เก้า “ส่งวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ มา แล้วจะเหลือศพเจ้าไว้ครบถ้วน”

“เจ้า ไม่คู่ควร” เทพธิดาสงครามพูดสั้นได้ใจความ ก่อนค่อยๆ ง้าง ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ขึ้นอีกครั้ง

เมื่อกลับมาที่ราบทุ่งหญ้า นางหอบเอาปณิธานอันยิ่งใหญ่กลับมาด้วย นางอยากจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนเลี้ยงสัตว์แห่งท้องทุ่งหญ้า

ตอนแรกเริ่ม ทุกอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก ทว่าจากการที่แผนการร้ายของวิหารเทพแมงมุมเริ่มแผลงฤทธิ์ และเพราะความคิดกับจุดยืนเป็นสาเหตุ นางและบรรดาองครักษ์เทพหมาป่าของนาง ในที่สุดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับวิหารเทพแมงมุมได้ จากการกระทบกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นสงคราม สุดท้ายจ้าววิหารเทพแมงมุมออกหน้าลงมือเอง องครักษ์เทพหมาป่าหญิงของนางล้วนเจ็บหนักล้มตายด้วยน้ำมือของจ้าววิหารเทพแมงมุม

ไม่ว่าอย่างไร ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ กับวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ก็จะตกไปอยู่ในมือของวิหารเทพแมงมุมไม่ได้เด็ดขาด

ฟิ้วๆๆ!

ธนูเหลืองทองสามดอก ควบรวมพลังฟ้าดิน ยิงแหวกผ่านพายุหิมะอันไร้ที่สิ้นสุดพุ่งตรงเข้าสังหารจ้าววิหารเทพแมงมุม

“โง่เขลาเบาปัญญา” จ้าววิหารเทพแมงมุมยกมือขึ้น

ใยแมงมุมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปพันรัดกลางอากาศ ประหนึ่งงูเหลือมพิษล้อมพันธนูยักษ์สีเหลืองทองสามดอกจนสลายไป จากนั้นกำลังของมันไม่ได้ถดถอยลง ยังคงพุ่งแหวกอากาศตรงไปพันรัดเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียน

กัวชิงเยียนกระโดดตัวขึ้น คันธนูเหนี่ยวตะวันหักออกตรงกลาง กลายเป็นดาบโค้งสีทองสองเล่ม แสงดาบวิบวับฟันออกไปปานแม่น้ำทองคำบนสวรรค์รั่วลงมา แหวกพายุหิมะเต็มฟ้าออกและตัดใยแมงมุมสีเขียวขาดไป

ภาพฉากนี้ ทำเอาบรรดานักรบของเผ่ายิงจันทรารอบๆ ส่งเสียงฮือฮาอย่างอดไม่อยู่

เถี่ยมู่เจินที่ถูกช่วยออกมาแล้ว ในใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

มุมปากของจ้าววิหารเทพแมงมุมยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมโหด

พริบตาต่อมา ใยแมงมุมที่ขาดไปฟื้นกลับคืน ก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงดุจสายฟ้า แทงทะลุหัวไหล่ของเทพธิดาสงคราม เลือดสดสีเขียวสาดกระจายทันใด ใยแมงมุมนั้นมีพิษแฝงไว้ เพียงพริบตาครึ่งใบหน้าของเทพธิดาสงครามก็เปลี่ยนเป็นสีดำหมึกแล้ว

“ช่วยคนเร็ว”

เถี่ยมู่เจินร้อนรน

นักรบเผ่ายิงจันทร์พุ่งเข้าไปราวกระแสน้ำขึ้น

ทว่า ความห่างชั้นทางพลังต่างกันมากเกิน

แมงมุมหิมะยักษ์สะบัดกรงเล็บน้ำแข็งคร่าชีวิตคน

จ้าววิหารเทพแมงมุมยืนตระหง่านอยู่บนแมงมุมหิมะยักษ์ กำลังบีบเข้ามาอย่างช้าๆ

เถี่ยมู่เจินชิงตัวเทพธิดาสงครามกลับคืนมา เมื่อมองไปก็พบว่าการกระจายตัวของพิษสีเขียวถูกนางใช้ปราณแท้สกัดไว้แล้ว แต่หากจะขับมันออกมานั้นเป็นไปไม่ได้ สถานการณ์ตรงหน้าคับขันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้ามากมายเท่าไรถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของวิหารเทพแมงมุม เผ่ายิงจันทร์ถึงแม้เป็นหนึ่งในชนเผ่าใหญ่แห่งทุ่งหญ้า แต่ก็เหมือนยากจะหนีรอดแล้ว

“ใครก็ได้ พาธิดาเทพชิงเยียนหนีไป”

เถี่ยมู่เจินตะโกนขึ้น ให้องครักษ์คนสนิทพาเทพสงครามหญิงออกจากสนามรบโดยเร็วที่สุด

ส่วนตัวเขาดึงดาบยาวออกมา ร้องคำรามพลางพุ่งตรงไปปะทะกับจ้าววิหารเทพแมงมุม

เขาให้คนไปส่งกัวชิงเยียนได้ แต่ตัวเขาเองหนีไปไม่ได้

บนที่ราบทุ่งหญ้า ไม่มีหัวหน้าเผ่าคนไหนที่หนี

เขาเป็นถึงหัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ เขาจะต้องอยู่ที่นี่ ร่วมเผชิญหน้าภัยพิบัติใดๆ กับนักรบและประชาชนของตนเอง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับพลังคุกคามแห่งความตายก็ตาม

เลือดสดแย้มบานท่ามกลางพายุหิมะ

นักรบเผ่ายิงจันทร์ล้มลงทีละคนๆ

ใยแมงมุมสีเขียวพันรัดที่ต้นคอของเถี่ยมู่เจิน…

ดาบยาวในมือเขาหลุดร่วงลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

ลำคอที่แข็งแกร่งที่สุดบนที่ราบทุ่งหญ้านี้ถูกใยแมงมุมรัดจนเลือดไหลซึม ท้ายสุดศีรษะก็หลุดลอยออกมา…

หัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ดับดิ้นลง

ขณะที่ศีรษะของเขาลอยอยู่กลางอากาศ หันมองไปยังทิศทางที่เทพธิดาสงครามถูกพาออกไป

ผมยาวสีทองกับผ้าคลุมสีแดงค่อยๆ เลือนรางท่ามกลางพายุหิมะ

นั่นคือหญิงสาวที่ทำให้เขาลุ่มหลงจนเก็บไปฝัน เพื่อนางแล้ว เขาเคยฝ่าอันตรายบุกเข้าไปในจักรวรรดิศัตรู เพื่อนางแล้ว เขายอมมอบทุกอย่างให้…ทว่าใจของเขาเข้าใจดี ชีวิตนี้ตนไม่มีทางได้ใจของนางมา เพราะการเดินทางไปฉินตะวันตกครั้งนั้น นางได้พบกับคนอีกคนหนึ่ง

เขาเห็นทหารเดนตายเผ่ายิงจันทร์ตายไปทีละคน

สายลมหนาวแห่งท้องทุ่งหญ้าวันนี้ช่างหนาวเหน็บเหลือเกิน

ศีรษะของเถี่ยมู่เจินร่วงหล่นลงมา

ภายใต้อากาศที่หนาวจัด ศพและศีรษะของเขาถูกแช่แข็งไป

จ้าววิหารเทพแมงมุมบังคับแมงมุมหิมะยักษ์ตามไปไล่ล่าสังหาร

ทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์ที่คุ้มกันเทพธิดาสงครามวิ่งหนีไปคอยหันกลับมาต้านทานศัตรูอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนกับตั๊กแตนที่หมายจะขวางรถเอาไว้…

เพียงไม่นาน ทั้งหมดก็ถูกไล่จนทัน

กรงเล็บน้ำแข็งของแมงมุมหิมะยักษ์มีประกายแสงแห่งความตายอันหนาวเหน็บ ฟันไปที่พวกเทพธิดาสงคราม

เทพธิดาสงครามพยายามกำ ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ไว้ แต่ไม่อาจใช้งานได้ นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะทำศึกไปแล้ว

“สังหารเจ้าแล้ว ข้ายังสามารถรับเอาวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ออกมาจากสมองและวิญญาณของเจ้าได้ เหอะๆ..ตายไปเสียให้หมด” น้ำเสียงเย็นชาของจ้าววิหารเทพแมงมุมแฝงการดูถูกต่อชีวิตและความหนาวเยือกจากความตาย ยังคงไล่สังหารไม่หยุด

สุดท้าย กรงเล็บน้ำแข็งพุ่งแทงเข้าหาเทพธิดาสงคราม

เทพธิดาสงครามถูกพิษรัดร่างไว้ ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว

นางปล่อยพลังเทพที่อยู่ในมือออกไปแล้วก้มหัวลง ลมพัดผมยาวสีทองปลิวไสว

สู้จนถึงที่สุด ในใจไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว

ทว่าขณะที่ปลายผมแฉลบผ่านเบื้องหน้า ในหัวนางก็ปรากฏภาพของใบหน้าที่เดิมทีคิดว่าลืมเลือนไปแล้ว

ที่แท้ ก็ยังจำรูปโฉมใบหน้าของหนุ่มน้อยคนนั้นได้อย่างชัดเจนนี่

นี่เป็นสิ่งที่ในชีวิตนี้จะไม่ได้พบอีก

เช่นนั้นก็ให้ทั้งหมดถูกฝังอยู่ในหิมะกับกองเลือดนี้แล้วกัน

นางนิ่งรอความตายที่กำลังเข้ามา

ตอนนี้เอง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

แสงรางๆ ส่องวูบวาบ

ลำแสงสีชาดที่เงียบงันสายหนึ่งพลันยิงพุ่งมาจากที่ขอบฟ้าไกลลิบ

ฟ้ากับดิน หิมะกับเลือด ถูกแสงเส้นนี้ผ่าออกในพริบตา ราวกับถูกฉีกขาดอย่างไรอย่างนั้น

กระทั่งจ้าววิหารเทพแมงมุมก็ยังตั้งตัวไม่ทัน กรงเล็บทั้งแปดของแมงมุมหิมะยักษ์ถูกตัดขาดหมดเหมือนกับหั่นเต้าหู้

จากนั้นลำแสงสีชาดวาดเส้นโค้งสวยงามแปลกประหลาดขึ้นกลางอากาศ ประดุจสวรรค์สรรค์สร้าง งดงามอย่างไร้คำบรรยาย พุ่งฟันมาทางเขาพร้อมกับปราณเพลิงและปราณดาบที่แหลมคม

“อะไรน่ะ?” ตาดำของเขาหดลงทันควัน ความเร็วของลำแสงนี้มากเกินไปแล้ว ตาเนื้อแทบจะไม่มีทางจับได้ทัน มีเพียงพลังจิตวิญญาณกับเขตแดนพลังฟ้าดินจึงจะมีปฏิกิริยาต่อพลังทำลายล้างขุมนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นลำแสงน่าพรั่นพรึงในความคิดเขา

เขาอ้าปากพ่นใยแมงมุมสีเขียวราวหยกเส้นหนึ่งออกไปฝืนต้านไว้ตามสัญชาตญาณ

ตูม!

ท่ามกลางการปะทะ ใยแมงมุมกลายเป็นฝุ่นปลิดปลิวไป

เวลาเดียวกัน ลำแสงสีชาดกลายเป็นระเบิดเผาไหม้กลุ่มหนึ่ง

จุดที่เปลวไฟไปถึง แมงมุมหิมะยักษ์ใต้เท้าจ้าววิหารเทพแมงมุมร้องเสียงแหลมระหว่างถูกเผาจนสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

ท่ามกลางเปลวไฟที่ตีเกลียว ดาบบินเล่มหนึ่งบินพุ่งกลับไป

จ้าววิหารเทพแมงมุมเร่งปราณแท้ ขจัดเปลวไฟที่ขยายลุกลามรอบๆ ออกไปจนหมด ในใจพลันโล่งอก เพราะเปลวไฟระดับนี้เป็นเพียงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ได้รวดเร็วจนน่าตกใจเหมือนลำแสงสีชาดก่อนหน้า ดังนั้นจึงไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อเขา

“ใครกัน?” เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไป

กลับเห็นว่าข้างกายของเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียน นอกจากบรรดาทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์แล้ว ยังมีร่างสองร่างหเพิ่มเข้ามา

คนหนึ่งคือหนุ่มอายุน้อยผมสั้นในชุดประหลาดสีขาว อีกคนหนึ่งคือชายกลางคนรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วเข้มตาโต สวมชุดคลุมธรรมดาๆ

บนตัวของเด็กหนุ่มมีกลิ่นอายขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ดาบบินเล่มหนึ่งลอยวนอยู่ข้างกายเขา ชัดเจนว่าเป็นคนที่ลงมือเมื่อครู่ ส่วนกลิ่นอายของชายวัยกลางคนค่อนข้างคล้ายกับชาวที่ราบทุ่งหญ้า แต่ไม่มีคลื่นพลังแข็งแกร่งอะไรนัก ดูเหมือนเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาขั้นต่ำกว่าฟ้าประทาน น่าจะเป็นข้ารับใช้ของหนุ่มผมสั้นคนนั้น?

ในสมองของจ้าววิหารเทพแมงมุมมีข้อมูลมากมายแวบเข้ามา กลับไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสองคนนี้เลย

และตอนนี้เอง เทพธิดาสงครามกลับจำหลี่มู่ได้เพียงครั้งแรกที่เห็น

ในดวงตาคู่งามของนางมีความตกใจยินดีอย่างยากจะเชื่อแวบผ่าน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความสงสัย

ทำไมเขาจึงปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้?

ทำไมทุกครั้งที่ตนตกอยู่ในอันตราย เขามักจะปรากฏตัวขึ้น?

ขณะที่สายตาของเทพธิดาสงครามผละจากร่างของหลี่มู่ ไปตกอยู่ที่ร่างชายวัยกลางคนใบหน้าเหลี่ยม หลังจากสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ราวกับคิดถึงอะไรได้ นางตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ดวงตาเปล่งแสงประกายที่ยากจะพรรณณาออกมา ความตื่นเต้นขนานใหญ่ ทำเอาตัวนางถึงกับสั่นระริกเบาๆ จนลืมสกัดกั้นพิษแมงมุมมารที่อยู่ในร่าง

กัวอวี่ชิงย่อมสังเกตเห็นเทพธิดาสงครามแล้ว

เขาถอนหายใจ เพียงขยับร่างกาย

ทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์ที่เหลืออยู่ไม่มีใครตั้งตัวทัน มือข้างหนึ่งของกัวอวี่ชิงพาดลงบนหัวไหล่ของกัวชิงเยียน พิษแมงมุมมารสีเขียวที่กระจายไปตามใบหน้า แขนซ้าย และลำคอของนางแล้วถูกขจัดด้วยความเร็วระดับเห็นได้ด้วยตาเปล่า ท้ายที่สุดก็ลอยออกมาจากบาดแผลบนหัวไหล่ กลายเป็นใยแมงมุมสีเขียวดิ้นไปมาเส้นหนึ่ง ราวกับหนอนแมลงพิษก็ไม่ปาน

สีหน้ากัวชิงเยียนแดงเรื่อขึ้นในพริบตา

บาดแผลบนตัวนางก็หายไปหมดในพริบตาเช่นกัน ทั่วทั้งร่างฟื้นฟูขึ้นถึงระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ท่านอา…” เทพธิดาสงครามคุกเข่าลงด้านหน้ากัวอวี่ชิง เมื่อเปิดปากก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก น้ำตาของสตรีผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยร้องไห้ ตอนนี้กลับพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะควบคุมได้ “ท่าน…ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”

หลี่มู่เห็นฉากนี้ ไพล่คิดไปถึงรอยสักนั้นบนหัวไหล่ของกัวชิงเยียนก็เข้าใจ ระหว่างนางกับพี่ใหญ่กัวเป็นเผ่าเดียวกันจริงดังคาด

“เด็กน้อย เฮ้อ…ลำบากเจ้าแล้ว” มือของกัวอวี่ชิงลูบเบาๆ บนศีรษะของเทพธิดาสงคราม ในปีนั้นขณะที่นางยังเด็กและไปเข้าร่วมเทศกาลคบเพลิงของชนเผ่า เขาก็เคยอุ้มนางอยู่ ยามนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยไม่ประสีประสาอายุสามขวบอยู่เลย ยามนี้กลับต้องมาแบกรับหน้าที่และความยากลำบากที่เดิมทีไม่ควรต้องรับไว้เช่นนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 333 เรียกท่านอา

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 333 เรียกท่านอา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่ามกลางพายุหิมะ เทพธิดาสงครามใส่เกราะแสงสีเทาอ่อนนางหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา

ผมยาวสีทองของนางปลิวไสวกลางสายลม ราวกับแสงทองกำลังกระโดดโลดเต้น เสื้อคลุมกันลมสีแดงเลือดดุจเปลวไฟเผาไหม้อยู่ด้านหลัง สีหน้านางขาวซีดเล็กน้อย ลมหายใจไม่คงที่ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในมือกำธนูคันใหญ่สีเหลืองทอง ทอประกายดั่งแสงตะวัน ขับไล่พายุหิมะที่อยู่รอบๆ ออกไป กลิ่นอายชั่วร้ายแรงกล้าที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไหลวนจากเสื้อเกราะของนาง สายตาเย็นเยือกเสมือนลูกธนูแหลมคมสองดอก จับจ้องไปยังร่างเล็กเตี้ยบนหลังแมงมุมหิมะยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปราวสามสิบจั้ง

เสียงน้ำจับตัวแข็งดังขึ้น

เกล็ดหิมะมากมายรวมตัวกัน กรงเล็บของแมงมุมยักษ์ที่ถูกยิงระเบิดไปจับตัวแข็งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“ก็แค่การดิ้นรนของเดรัจฉานที่ถูกมัดไว้” น้ำเสียงเย็นชาของจ้าววิหารเทพแมงมุมปานเสียงภูตผีวิญญาณที่ลอยออกมาจากใต้นรกขุมที่เก้า “ส่งวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ มา แล้วจะเหลือศพเจ้าไว้ครบถ้วน”

“เจ้า ไม่คู่ควร” เทพธิดาสงครามพูดสั้นได้ใจความ ก่อนค่อยๆ ง้าง ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ขึ้นอีกครั้ง

เมื่อกลับมาที่ราบทุ่งหญ้า นางหอบเอาปณิธานอันยิ่งใหญ่กลับมาด้วย นางอยากจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนเลี้ยงสัตว์แห่งท้องทุ่งหญ้า

ตอนแรกเริ่ม ทุกอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก ทว่าจากการที่แผนการร้ายของวิหารเทพแมงมุมเริ่มแผลงฤทธิ์ และเพราะความคิดกับจุดยืนเป็นสาเหตุ นางและบรรดาองครักษ์เทพหมาป่าของนาง ในที่สุดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับวิหารเทพแมงมุมได้ จากการกระทบกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นสงคราม สุดท้ายจ้าววิหารเทพแมงมุมออกหน้าลงมือเอง องครักษ์เทพหมาป่าหญิงของนางล้วนเจ็บหนักล้มตายด้วยน้ำมือของจ้าววิหารเทพแมงมุม

ไม่ว่าอย่างไร ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ กับวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ก็จะตกไปอยู่ในมือของวิหารเทพแมงมุมไม่ได้เด็ดขาด

ฟิ้วๆๆ!

ธนูเหลืองทองสามดอก ควบรวมพลังฟ้าดิน ยิงแหวกผ่านพายุหิมะอันไร้ที่สิ้นสุดพุ่งตรงเข้าสังหารจ้าววิหารเทพแมงมุม

“โง่เขลาเบาปัญญา” จ้าววิหารเทพแมงมุมยกมือขึ้น

ใยแมงมุมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปพันรัดกลางอากาศ ประหนึ่งงูเหลือมพิษล้อมพันธนูยักษ์สีเหลืองทองสามดอกจนสลายไป จากนั้นกำลังของมันไม่ได้ถดถอยลง ยังคงพุ่งแหวกอากาศตรงไปพันรัดเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียน

กัวชิงเยียนกระโดดตัวขึ้น คันธนูเหนี่ยวตะวันหักออกตรงกลาง กลายเป็นดาบโค้งสีทองสองเล่ม แสงดาบวิบวับฟันออกไปปานแม่น้ำทองคำบนสวรรค์รั่วลงมา แหวกพายุหิมะเต็มฟ้าออกและตัดใยแมงมุมสีเขียวขาดไป

ภาพฉากนี้ ทำเอาบรรดานักรบของเผ่ายิงจันทรารอบๆ ส่งเสียงฮือฮาอย่างอดไม่อยู่

เถี่ยมู่เจินที่ถูกช่วยออกมาแล้ว ในใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

มุมปากของจ้าววิหารเทพแมงมุมยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมโหด

พริบตาต่อมา ใยแมงมุมที่ขาดไปฟื้นกลับคืน ก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงดุจสายฟ้า แทงทะลุหัวไหล่ของเทพธิดาสงคราม เลือดสดสีเขียวสาดกระจายทันใด ใยแมงมุมนั้นมีพิษแฝงไว้ เพียงพริบตาครึ่งใบหน้าของเทพธิดาสงครามก็เปลี่ยนเป็นสีดำหมึกแล้ว

“ช่วยคนเร็ว”

เถี่ยมู่เจินร้อนรน

นักรบเผ่ายิงจันทร์พุ่งเข้าไปราวกระแสน้ำขึ้น

ทว่า ความห่างชั้นทางพลังต่างกันมากเกิน

แมงมุมหิมะยักษ์สะบัดกรงเล็บน้ำแข็งคร่าชีวิตคน

จ้าววิหารเทพแมงมุมยืนตระหง่านอยู่บนแมงมุมหิมะยักษ์ กำลังบีบเข้ามาอย่างช้าๆ

เถี่ยมู่เจินชิงตัวเทพธิดาสงครามกลับคืนมา เมื่อมองไปก็พบว่าการกระจายตัวของพิษสีเขียวถูกนางใช้ปราณแท้สกัดไว้แล้ว แต่หากจะขับมันออกมานั้นเป็นไปไม่ได้ สถานการณ์ตรงหน้าคับขันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้ามากมายเท่าไรถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของวิหารเทพแมงมุม เผ่ายิงจันทร์ถึงแม้เป็นหนึ่งในชนเผ่าใหญ่แห่งทุ่งหญ้า แต่ก็เหมือนยากจะหนีรอดแล้ว

“ใครก็ได้ พาธิดาเทพชิงเยียนหนีไป”

เถี่ยมู่เจินตะโกนขึ้น ให้องครักษ์คนสนิทพาเทพสงครามหญิงออกจากสนามรบโดยเร็วที่สุด

ส่วนตัวเขาดึงดาบยาวออกมา ร้องคำรามพลางพุ่งตรงไปปะทะกับจ้าววิหารเทพแมงมุม

เขาให้คนไปส่งกัวชิงเยียนได้ แต่ตัวเขาเองหนีไปไม่ได้

บนที่ราบทุ่งหญ้า ไม่มีหัวหน้าเผ่าคนไหนที่หนี

เขาเป็นถึงหัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ เขาจะต้องอยู่ที่นี่ ร่วมเผชิญหน้าภัยพิบัติใดๆ กับนักรบและประชาชนของตนเอง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับพลังคุกคามแห่งความตายก็ตาม

เลือดสดแย้มบานท่ามกลางพายุหิมะ

นักรบเผ่ายิงจันทร์ล้มลงทีละคนๆ

ใยแมงมุมสีเขียวพันรัดที่ต้นคอของเถี่ยมู่เจิน…

ดาบยาวในมือเขาหลุดร่วงลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

ลำคอที่แข็งแกร่งที่สุดบนที่ราบทุ่งหญ้านี้ถูกใยแมงมุมรัดจนเลือดไหลซึม ท้ายสุดศีรษะก็หลุดลอยออกมา…

หัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ดับดิ้นลง

ขณะที่ศีรษะของเขาลอยอยู่กลางอากาศ หันมองไปยังทิศทางที่เทพธิดาสงครามถูกพาออกไป

ผมยาวสีทองกับผ้าคลุมสีแดงค่อยๆ เลือนรางท่ามกลางพายุหิมะ

นั่นคือหญิงสาวที่ทำให้เขาลุ่มหลงจนเก็บไปฝัน เพื่อนางแล้ว เขาเคยฝ่าอันตรายบุกเข้าไปในจักรวรรดิศัตรู เพื่อนางแล้ว เขายอมมอบทุกอย่างให้…ทว่าใจของเขาเข้าใจดี ชีวิตนี้ตนไม่มีทางได้ใจของนางมา เพราะการเดินทางไปฉินตะวันตกครั้งนั้น นางได้พบกับคนอีกคนหนึ่ง

เขาเห็นทหารเดนตายเผ่ายิงจันทร์ตายไปทีละคน

สายลมหนาวแห่งท้องทุ่งหญ้าวันนี้ช่างหนาวเหน็บเหลือเกิน

ศีรษะของเถี่ยมู่เจินร่วงหล่นลงมา

ภายใต้อากาศที่หนาวจัด ศพและศีรษะของเขาถูกแช่แข็งไป

จ้าววิหารเทพแมงมุมบังคับแมงมุมหิมะยักษ์ตามไปไล่ล่าสังหาร

ทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์ที่คุ้มกันเทพธิดาสงครามวิ่งหนีไปคอยหันกลับมาต้านทานศัตรูอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนกับตั๊กแตนที่หมายจะขวางรถเอาไว้…

เพียงไม่นาน ทั้งหมดก็ถูกไล่จนทัน

กรงเล็บน้ำแข็งของแมงมุมหิมะยักษ์มีประกายแสงแห่งความตายอันหนาวเหน็บ ฟันไปที่พวกเทพธิดาสงคราม

เทพธิดาสงครามพยายามกำ ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ไว้ แต่ไม่อาจใช้งานได้ นางหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะทำศึกไปแล้ว

“สังหารเจ้าแล้ว ข้ายังสามารถรับเอาวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ออกมาจากสมองและวิญญาณของเจ้าได้ เหอะๆ..ตายไปเสียให้หมด” น้ำเสียงเย็นชาของจ้าววิหารเทพแมงมุมแฝงการดูถูกต่อชีวิตและความหนาวเยือกจากความตาย ยังคงไล่สังหารไม่หยุด

สุดท้าย กรงเล็บน้ำแข็งพุ่งแทงเข้าหาเทพธิดาสงคราม

เทพธิดาสงครามถูกพิษรัดร่างไว้ ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว

นางปล่อยพลังเทพที่อยู่ในมือออกไปแล้วก้มหัวลง ลมพัดผมยาวสีทองปลิวไสว

สู้จนถึงที่สุด ในใจไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว

ทว่าขณะที่ปลายผมแฉลบผ่านเบื้องหน้า ในหัวนางก็ปรากฏภาพของใบหน้าที่เดิมทีคิดว่าลืมเลือนไปแล้ว

ที่แท้ ก็ยังจำรูปโฉมใบหน้าของหนุ่มน้อยคนนั้นได้อย่างชัดเจนนี่

นี่เป็นสิ่งที่ในชีวิตนี้จะไม่ได้พบอีก

เช่นนั้นก็ให้ทั้งหมดถูกฝังอยู่ในหิมะกับกองเลือดนี้แล้วกัน

นางนิ่งรอความตายที่กำลังเข้ามา

ตอนนี้เอง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

แสงรางๆ ส่องวูบวาบ

ลำแสงสีชาดที่เงียบงันสายหนึ่งพลันยิงพุ่งมาจากที่ขอบฟ้าไกลลิบ

ฟ้ากับดิน หิมะกับเลือด ถูกแสงเส้นนี้ผ่าออกในพริบตา ราวกับถูกฉีกขาดอย่างไรอย่างนั้น

กระทั่งจ้าววิหารเทพแมงมุมก็ยังตั้งตัวไม่ทัน กรงเล็บทั้งแปดของแมงมุมหิมะยักษ์ถูกตัดขาดหมดเหมือนกับหั่นเต้าหู้

จากนั้นลำแสงสีชาดวาดเส้นโค้งสวยงามแปลกประหลาดขึ้นกลางอากาศ ประดุจสวรรค์สรรค์สร้าง งดงามอย่างไร้คำบรรยาย พุ่งฟันมาทางเขาพร้อมกับปราณเพลิงและปราณดาบที่แหลมคม

“อะไรน่ะ?” ตาดำของเขาหดลงทันควัน ความเร็วของลำแสงนี้มากเกินไปแล้ว ตาเนื้อแทบจะไม่มีทางจับได้ทัน มีเพียงพลังจิตวิญญาณกับเขตแดนพลังฟ้าดินจึงจะมีปฏิกิริยาต่อพลังทำลายล้างขุมนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นลำแสงน่าพรั่นพรึงในความคิดเขา

เขาอ้าปากพ่นใยแมงมุมสีเขียวราวหยกเส้นหนึ่งออกไปฝืนต้านไว้ตามสัญชาตญาณ

ตูม!

ท่ามกลางการปะทะ ใยแมงมุมกลายเป็นฝุ่นปลิดปลิวไป

เวลาเดียวกัน ลำแสงสีชาดกลายเป็นระเบิดเผาไหม้กลุ่มหนึ่ง

จุดที่เปลวไฟไปถึง แมงมุมหิมะยักษ์ใต้เท้าจ้าววิหารเทพแมงมุมร้องเสียงแหลมระหว่างถูกเผาจนสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

ท่ามกลางเปลวไฟที่ตีเกลียว ดาบบินเล่มหนึ่งบินพุ่งกลับไป

จ้าววิหารเทพแมงมุมเร่งปราณแท้ ขจัดเปลวไฟที่ขยายลุกลามรอบๆ ออกไปจนหมด ในใจพลันโล่งอก เพราะเปลวไฟระดับนี้เป็นเพียงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ได้รวดเร็วจนน่าตกใจเหมือนลำแสงสีชาดก่อนหน้า ดังนั้นจึงไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อเขา

“ใครกัน?” เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไป

กลับเห็นว่าข้างกายของเทพธิดาสงครามกัวชิงเยียน นอกจากบรรดาทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์แล้ว ยังมีร่างสองร่างหเพิ่มเข้ามา

คนหนึ่งคือหนุ่มอายุน้อยผมสั้นในชุดประหลาดสีขาว อีกคนหนึ่งคือชายกลางคนรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วเข้มตาโต สวมชุดคลุมธรรมดาๆ

บนตัวของเด็กหนุ่มมีกลิ่นอายขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ ดาบบินเล่มหนึ่งลอยวนอยู่ข้างกายเขา ชัดเจนว่าเป็นคนที่ลงมือเมื่อครู่ ส่วนกลิ่นอายของชายวัยกลางคนค่อนข้างคล้ายกับชาวที่ราบทุ่งหญ้า แต่ไม่มีคลื่นพลังแข็งแกร่งอะไรนัก ดูเหมือนเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาขั้นต่ำกว่าฟ้าประทาน น่าจะเป็นข้ารับใช้ของหนุ่มผมสั้นคนนั้น?

ในสมองของจ้าววิหารเทพแมงมุมมีข้อมูลมากมายแวบเข้ามา กลับไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสองคนนี้เลย

และตอนนี้เอง เทพธิดาสงครามกลับจำหลี่มู่ได้เพียงครั้งแรกที่เห็น

ในดวงตาคู่งามของนางมีความตกใจยินดีอย่างยากจะเชื่อแวบผ่าน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความสงสัย

ทำไมเขาจึงปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้?

ทำไมทุกครั้งที่ตนตกอยู่ในอันตราย เขามักจะปรากฏตัวขึ้น?

ขณะที่สายตาของเทพธิดาสงครามผละจากร่างของหลี่มู่ ไปตกอยู่ที่ร่างชายวัยกลางคนใบหน้าเหลี่ยม หลังจากสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ราวกับคิดถึงอะไรได้ นางตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ดวงตาเปล่งแสงประกายที่ยากจะพรรณณาออกมา ความตื่นเต้นขนานใหญ่ ทำเอาตัวนางถึงกับสั่นระริกเบาๆ จนลืมสกัดกั้นพิษแมงมุมมารที่อยู่ในร่าง

กัวอวี่ชิงย่อมสังเกตเห็นเทพธิดาสงครามแล้ว

เขาถอนหายใจ เพียงขยับร่างกาย

ทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์ที่เหลืออยู่ไม่มีใครตั้งตัวทัน มือข้างหนึ่งของกัวอวี่ชิงพาดลงบนหัวไหล่ของกัวชิงเยียน พิษแมงมุมมารสีเขียวที่กระจายไปตามใบหน้า แขนซ้าย และลำคอของนางแล้วถูกขจัดด้วยความเร็วระดับเห็นได้ด้วยตาเปล่า ท้ายที่สุดก็ลอยออกมาจากบาดแผลบนหัวไหล่ กลายเป็นใยแมงมุมสีเขียวดิ้นไปมาเส้นหนึ่ง ราวกับหนอนแมลงพิษก็ไม่ปาน

สีหน้ากัวชิงเยียนแดงเรื่อขึ้นในพริบตา

บาดแผลบนตัวนางก็หายไปหมดในพริบตาเช่นกัน ทั่วทั้งร่างฟื้นฟูขึ้นถึงระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ท่านอา…” เทพธิดาสงครามคุกเข่าลงด้านหน้ากัวอวี่ชิง เมื่อเปิดปากก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก น้ำตาของสตรีผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยร้องไห้ ตอนนี้กลับพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะควบคุมได้ “ท่าน…ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”

หลี่มู่เห็นฉากนี้ ไพล่คิดไปถึงรอยสักนั้นบนหัวไหล่ของกัวชิงเยียนก็เข้าใจ ระหว่างนางกับพี่ใหญ่กัวเป็นเผ่าเดียวกันจริงดังคาด

“เด็กน้อย เฮ้อ…ลำบากเจ้าแล้ว” มือของกัวอวี่ชิงลูบเบาๆ บนศีรษะของเทพธิดาสงคราม ในปีนั้นขณะที่นางยังเด็กและไปเข้าร่วมเทศกาลคบเพลิงของชนเผ่า เขาก็เคยอุ้มนางอยู่ ยามนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยไม่ประสีประสาอายุสามขวบอยู่เลย ยามนี้กลับต้องมาแบกรับหน้าที่และความยากลำบากที่เดิมทีไม่ควรต้องรับไว้เช่นนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+