จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 271 สังหารในหนึ่งกระบวนท่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 271 สังหารในหนึ่งกระบวนท่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ประกายหอกดุจสายฟ้า กระจายเต็มผืนนภาราวหมู่ดาว

จำต้องยอมรับว่าพลังที่แท้จริงของเมิ่งอู่แก่กล้ายิ่งนัก หอกเงินเล่มหนึ่งกลับโลดแล่นราวมังกรเงินเมื่ออยู่ในมือเขา แสงหอกผลุบโผล่กระจายเต็มท้องฟ้า รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อประสานกับพลังฝึกอหังการแล้ว คู่ควรกับคำว่าหอกดุจดาวบนฟ้าอาชาดุจมังกรจริงๆ

แต่ชายหนุ่มอำพรางหน้าในชุดขาว สองมือกำกระบี่มั่น กลับราวห่านป่าเตลิดหนี น้ำไม่อาจผ่าน ฝนไม่อาจต้อง รับมือป้องกันได้อย่างแน่นหนา และแฝงการโต้กลับเอาไว้ เขาแทงสวนกลับในบางจังหวะ ในช่วงที่เมิ่งอู่แรงเก่าหมดลง แรงใหม่ยังไม่ทันมา จึงบีบให้เมิ่งอู่จำต้องหันมาป้องกันได้

ทว่า สิ่งที่ทำให้เมิ่งอู่พูดไม่ออกที่สุดก็คือ พลังแท้จริงของชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวคนนี้ เห็นชัดๆ ว่ายังไม่ถึงขั้นฟ้าประทาน แค่อาศัยวิชากระบี่อันยอดเยี่ยมกับฝีมือในการสู้รบเท่านั้น แต่สามารถรับมือกับการโจมตีราวห่าฝนเช่นนี้ได้

“หลีกไปให้หมด ห้ามเข้ามาสอด ข้าจะจับเป็นพวกสมคบคิดกับตระกูลถังคนนี้”

เมิ่งอู่โมโหจนร้องลั่น สั่งการขึ้นมา

แต่ผ่านไปเพียงชั่วหนึ่งก้านธูป เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบกลแล้ว

พริบตาแรกที่ปะทะกัน อีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะถูกตนแทงตายบนพื้นแล้วแท้ๆ เมื่อโต้กลับด้วยท่าชูกระบี่ชี้นภา หยุดหอกราวสายฟ้าของเขาได้ ก็ทะลวงขั้นพลังเสียแล้ว ทว่าตอนนี้ ระยะเวลาประมือยืดยาวออกไป ท่าทางของฝ่ายตรงข้ามกลับดุดันขึ้นเรื่อยๆ ปราณกระบี่เย็นยะเยือก มีเค้าลางว่ากำลังจะทะลวงขั้นอีกอยู่รำไร

มารดามันเถอะ นี่มันอัจฉริยะด้านต่อสู้จริงหรือนี่?

เมิ่งอู่ทั้งโกรธทั้งโมโห

“ตาย!”

หอกยาวของเขาสะบัด สาดคมหอกออกไป ทันใดนั้น มือซ้ายก็ล้วงเอากระบอกเข็มสีดำราวหมึกกระบอกหนึ่งออกมา มือบิดที่ก้นกระบอก เสียงฟิ้วดังขึ้น เข็มเล็กเท่าขนวัวห่าใหญ่พุ่งหวือสาดตรงไปยังชายหนุ่มในชุดขาวทันที

“เจ้า…” ชายหนุ่มคลุมหน้าชุดขาวคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ลอบกัด เขาวาดกระบี่เพื่อปัดป้อง แต่กระบวนท่าถูกทำลาย หน้าอกเกิดอาการชา ไหล่ซ้ายถูกหอกแทงใส่จนลอยกระเด็นออกไป

เมิ่งอู่ไม่พูดจา เสือกหอกเงินแทงซ้ำอีกครั้ง เป้าหมายอยู่ที่หัวใจ

เมื่อชายหนุ่มปิดหน้าในชุดขาวเห็นว่าตนกำลังจะถูกหอกแทงตาย เขาจึงเลือกหนทางเดียวกับพี่น้องของตนก่อนหน้า กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ก่อนยกมันขึ้นจะกรีดใบหน้าทำลายรูปลักษณ์ ป้องกันหายนะที่จะมาเยือนสำนักและเพื่อนพ้องตน…

ทว่า ในตอนนี้เอง…

ฟิ้ว!

ประกายดาบหนึ่งฟาดฟันเข้ามา

ฉับพลันชายหนุ่มรู้สึกสั่นสะเทือนที่กลางฝ่ามือ กริชถูกกระแทกปลิวออกไป

ในเวลาเดียวกัน หอกเงินที่แทงเข้ามาก็ถูกคมดาบผ่าอย่างรุนแรงเช่นกัน เสียงตูมดังสนั่น หอกเงินโค้งงอจากตรงกลาง เมิ่งอู่เจ้าของหอกร้องขึ้นด้วยความตกใจ ระหว่างที่ตัวหอกยังสั่นสะท้านไม่หยุด ง่ามนิ้วของเขาก็โชกชุ่มด้วยเลือด ไม่สามารถจับยึดมันได้อีก หอกเงินจึงลอยคว้างออกไป

ส่วนคมดาบทั้งสองสายนั้นกลับหมุนตีวงกลางอากาศ และค้างนิ่งอยู่กับที่ราวกับมีชีวิต

มันคือดาบบินประหลาดสีฟ้าอ่อนสองเล่ม

“ใครกัน?” เมิ่งอู่ตะโกนอย่างเดือดดาล จากนั้นรูม่านตาหดลงเล็กน้อย

แสงสีเงินแหวกผ่าท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป

บนตัวดาบมีคนผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ด้านบน

วิชาดาบเหินหาว!

หลี่มู่!

ในเวลาที่สำคัญที่สุด คนที่ลงมือฉับพลันกลับเป็นฝันร้ายที่เขากลัวมากที่สุดในช่วงไม่กี่วันนี้ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่

“จอมยุทธ์สายรัดหมวกไร้ลวดลาย คมดาบเปล่งประกายราวน้ำค้างแข็ง…”

หลี่มู่เหยียบดาบพุ่งเข้ามา ปากก็ร่ายกลอน ราวกับเซียนขี่ลมขี่เมฆลอยมา

ฟิ้ว ฟิ้ว!

เมื่อกลอนสองประโยคนี้จบลง ดาบถลาลมรูปร่างพิลึกทั้งสองก็ประหนึ่งนกนางแอ่นกลับรัง บินย้อนกลับมารวมกับดาบยักษ์สีเงินใต้เท้าของหลี่มู่จนเป็นหนึ่งเดียวกัน

“หลี่มู่ เจ้ากล้าสมคบคิดกับพวกตระกูลถัง…” เมิ่งอู่ลูกตาแทบถลน แผดเสียงออกมาด้วยความเกลียดชัง หนวดเคราผมเผ้าตั้งชัน “สถานการณ์อย่างวันนี้ เจ้ายังกล้ามาปรากฏตัว ก่อนหน้าก็สมคบคิดกับเผ่าปีศาจ ตอนนี้ยังมาข้องเกี่ยวกับตระกูลถังอีก รนหาที่ตายนัก สังหารมันซะ”

บนพื้น หน้าไม้ทลายดาวนับไม่ถ้วนทยอยเล็งไปยังหลี่มู่ จากนั้นพากันยิงออกมา

ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หลี่มู่ราวตั๊กแตน

“ประกายเงินสาดชุดขาว เสียงพุ่งทะยานราวดาวตก!”

บทกลอน ‘การเดินทางของจอมยุทธ์’ จากยอดกวีหลี่ไป๋ที่โลกเดิม หลี่มู่นำมาดัดแปลงและท่องออกมา นัยน์ตาของเขาเผยจิตสังหาร

วันนี้ เขามาเพื่อสังหารคน

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

ดาบวัฏจักรยักษ์สีเงินใต้เท้าเขาแยกออกจากกันอย่างฉับพลัน กลายเป็นดาบยี่สิบสี่เล่มหมุนรอบตัว ระหว่างที่คมดาบหลากสีหมุนวน ศรทลายดาวทั้งหมดถูกฟันสะบั้นสลายกลายเป็นฝุ่น จากนั้นดาบถลาลมทั้งยี่สิบสี่ก็กลับมารวมตัวเป็นดาบวัฏจักร หวนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาอีกครั้ง

ภาพฉากที่เห็นตื่นตาราวอภินิหาร เคล็ดวิชาเยี่ยมยอดของมันทำเอาคนที่เห็นตาลาย เสมือนได้เห็นความสามารถเซียนอย่างไรอย่างนั้น

เหล่าทหารลาดตระเวนสวมเกราะด้านล่างต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

“นี่คือ…ทักษะแห่งเซียน”

“เหนือมนุษย์ นี่ต้องเป็นขั้นเหนือมนุษย์แน่ๆ”

“ต่อกรไม่ไหว”

พวกเขาสูญเสียความกล้าหาญในการรบไปแล้ว

“องค์ชายสองอยู่ที่ไหน?” หลี่มู่ถาม เสียงดังราวสายฟ้า “ออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้!”

วันนั้นที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ คนที่ส่งตราดัชนีทองมาสังหารซ่างกวนอวี่ถิง ก็คือองค์ชายสองนี่เอง

มีแค้นไม่ชำระไม่ใช่ยอดชาย

ดาบวัฏจักรที่ตีขึ้นใหม่ หกดาบวายุเมฆาขั้นต้น วิชาดาบเหินหาวขั้นสูง!

หลี่มู่ในวันนี้ มาเพื่อแก้แค้นโดยเฉพาะ

……

ภายในโถงใหญ่หอบวงสรวง ชายกลางคนรูปงามคนหนึ่งก้าวออกมา

เขารูปงามดั่งหยก คิ้วกระบี่ดวงตาดารา อายุราวสามถึงสี่สิบปี ดูแลตนเองดีมาก บนใบหน้าไม่มีแม้แต่ริ้วรอย และไม่มีคราบสิ่งสกปรกใดๆ ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างดีด้วยปิ่นหยกฝังทอง ผมเผ้าเรียบร้อย อยู่ในชุดแพรสีม่วงอ่อน ข้างเอวประดับหยก รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนเข้ากันดี หว่างคิ้วมีความน่าเกรงขามที่ปิดไม่มิดอยู่ในความสง่างาม แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นผู้สูงส่งที่อยู่มานาน

เมื่อบุคคลนี้ปรากฏตัว พวกของถานเยี่ยนจือพลันตกตะลึง

เจ้าเมืองฉางอันหลี่กัง?

ท่านเจ้าเมือง?!

นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?

ศึกวันนั้นที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ถานเยี่ยนจือและเทพพยากรณ์สองคนก็เคยเห็นเจ้าเมืองคนนี้จากที่ไกลๆ

“ท่านลุงรูปงาม ท่านเป็นใคร?” ดวงตากลมโตของถังมี่อยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา เมื่อเทียบกับเจ้าสำนักยมบาลหน้าผีดิบแล้ว รูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างามของหลี่กังชนะได้ทุกวัยอย่างขาดลอย นางหัวเราะขึ้นมา “ดีเลย ดีเลย ท่านลุง ข้าให้ถังหูลู่ท่าน…แต่ว่าเหลือให้เสี่ยวมี่มี่ลูกหนึ่ง ลูกเดียวก็พอ”

หลี่กังหัวเราะอย่างเบิกบาน

เขารับถังหูลู่มา อ้าปากกัดไปหนึ่งลูก ที่เหลือส่งคืนกลับไป และเอ่ยขึ้นว่า “เหลือให้แม่นางน้อยคนงามสามลูก ฮ่าๆ ท่านลุงรูปหล่อขอแค่ลูกเดียวพอ” เขาเคี้ยวซานจาชุบน้ำตาลในปากทีละนิดๆ จนหมด ท่าทางอร่อยนัก

และตอนนี้เอง เจ้าสำนักยมบาลที่อยู่อีกฝั่งรู้สถานะของหลี่กังจากการเตือนของหัวหน้าทหารชุดเกราะนายหนึ่ง

ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเกรงกลัวแล้ว

เจ้าเมืองเมืองหนึ่ง จักรพรรดิแห่งเมืองฉางอัน ตำแหน่งสูงทรงอำนาจ เป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงแห่งดินแดน นี่น่ากลัวยิ่งกว่าลูกหลานของจักรพรรดิบางคนเสียอีก เขาเป็นหนึ่งในสิบผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของจักรวรรดิฉินตะวันตก แม้แต่เจ้าสำนักระดับหนึ่งยังยากจะเทียบกับบุคคลเช่นนี้ได้

“ใต้เท้าหลี่ ท่านจะปกป้องพวกตระกูลถังหรือ?” เจ้าสำนักยมบาลถามหยั่งเชิง

หลี่กังค่อยๆ เดินลงจากบันไดหิน สีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่”

เจ้าสำนักยมบาลถอนใจโล่งอก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญท่านหลีกทาง ออกจากที่นี่ไปเถิด ข้าได้รับคำสั่งขององค์ชายสองให้มาสังหารพวกเหลือเดนตระกูลถัง…”

หลี่กังตัดบททันใด “เจ้าคือเจ้าสำนักยมบาล?”

เจ้าสำนักยมบาลขมวดคิ้ว ผงกศีรษะ “ไม่ผิด เป็นข้าเอง”

หลี่กังผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นก็ดี…ก่อนหน้านี้ในการแข่งขันนางคณิกาที่หน่วยเลี้ยงรับรอง จอมยุทธ์ของสำนักยมบาลสังหารไช่จือเจี๋ยข้าราชการของจักรวรรดิ มีความผิดมหันต์นัก ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตา ความผิดนี้สมควรตาย เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักยมบาลควบคุมบริวารไม่ดี ก็ต้องรับผิดชอบด้วย ยังไม่ยอมให้จับกุมอีก?”

“อะไรนะ?” เจ้าสำนักยมบาลหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมืองเห็นเช่นนั้นหรือ?”

หลี่กังไม่พูดต่อ ลงมือทันที เขายกมือขึ้นมา สองนิ้วดุจคีบบุปผา ลวดลายค่ายกลดาราสีทองเป็นชั้นๆ แผ่ออกมาเชื่อมต่อกันจากนิ้วโป้งและนิ้วกลาง ก่อนแปรสภาพเป็นค่ายกลดาราขนาดใหญ่ที่กำลังขับเคลื่อน มีอักขระหมุนวน เพียงสะบัดนิ้วดีด คมกระบี่จากปลายนิ้วก็พุ่งออกไป

วูบ!

แสงกระบี่ดุจสายฟ้า

เจ้าสำนักยมบาลหน้าถอดสี ปราณแท้ยมโลกรอบตัวหมุนเวียน จากนั้นจึงสำแดงสุดยอดวิชาต้องห้าม ดูคล้ายกำลังอัญเชิญเทพมรณะจากนรกอเวจีออกมา

ไอเย็นแห่งความตายแผ่ซ่านปกคลุมในพริบตา

กลางอากาศ ราวกับมีเทพมารจากโลกแห่งความตายกำลังหัวเราะเหี้ยมเกรียม ง้างเคียวจะเก็บเกี่ยววิญญาณกลับไป

ทว่าก็ไม่ได้ผล

วิชาสุดยอดของเจ้าสำนักยมบาลถูกใช้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง กลิ่นอายความตายลอยวน รูปกายของพญามัจจุราชที่เย็นเยือกน่ากลัวยังไม่ทันถูกอัญเชิญมา ก็โดนกระบี่แสงทองสายหนึ่งที่หลี่กังดีดมาพุ่งตัดราวหั่นเต้าหู้ ทะลุปราณแท้คุ้มกายไปอย่างสบายๆ ทะลวงรูปกายพญามัจจุราชที่ยังก่อตัวไม่เสร็จ และพุ่งผ่านหน้าผากของเจ้าสำนักยมบาลไป

เลือดพุ่งกระฉูด

ปราณแท้ยมโลกของเจ้าสำนักยมบาลสลายไปในพริบตา ราวกับรูปปั้นทรายที่พังทลายลง รูปกายของพญามัจจุราชกลายเป็นฝุ่นกลางอากาศ หงายหลังล้มตึงไป

กระบวนท่าเดียวก็รู้ผลแพ้ชนะ ตัดสินเป็นตาย

ขั้นเหนือมนุษย์ที่สูงส่งคนหนึ่งตายไปอย่างรวดเร็ว ดับดิ้นในพริบตา ทำเอาคนที่เหลือตั้งตัวไม่ทัน

แต่ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกโรงฝึกยุทธ์

“องค์ชายสองอยู่ที่ไหน? รีบออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้!”

……

ใบหน้าขององค์ชายสองมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

เจ้าสำนักยมบาลตายแล้ว ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วเป็นกำลังสนับสนุนที่ดียิ่ง เพื่อที่จะกล่อมเจ้าสำนักยมบาลมาทำงานให้ เขาเองก็ทุ่มเทความคิดไปพอสมควร น่าเสียดาย พริบตาเมื่อครู่ที่เขาถูกหลี่มู่ดึงความสนใจไป ฝ่ายนั้นก็ถูกสังหารไปเสียแล้ว กระทั่งจะลงมือช่วยเหลือยังไม่ทันกาล

หนำซ้ำผู้ที่สังหารเจ้าสำนักยมบาลก็คือหลี่กัง เจ้าเมืองฉางอันหลี่กัง

นับตั้งแต่เขามาถึงฉางอัน คนผู้นี้นิ่งเงียบเก็บตัวตลอดเหมือนกับคนขี้ขลาด ในจุดที่ไม่มีใครคิดถึง ยามนี้กลับมาปรากฏตัวในที่ที่ไม่ควร และแสดงความแข็งแกร่งดุดันอันน่าเหลือเชื่อออกมา ใช้กระบวนท่าเดียวสังหารขั้นเหนือมนุษย์ลง

เจ้าสำนักยมบาลเป็นคนขององค์ชายสอง

แต่พอเขาตาย องค์ชายสองกลับหัวเราะ

เพราะว่าปลาที่เขารอมางับเหยื่อแล้ว

น่าจะถึงเวลาดึงแหขึ้นแล้วกระมัง

ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงเสียที

องค์ชายสองตื่นเต้นอยู่บ้าง สายตาของเขามองออกไปไกลๆ จับจ้องชายรูปงามวัยกลางคนที่สูงสง่าราวหยกด้านหน้าหอหลังใหญ่ นัยน์ตาเปล่งประกายอยากลงมือเต็มที เขาคิดจะลงมือด้วยตนเอง อยากจะเข้าไปท้าประลองกับตำนานของจักรวรรดิในอดีตคนนี้เสียหน่อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดาราบทที่ 271 สังหารในหนึ่งกระบวนท่า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 271 สังหารในหนึ่งกระบวนท่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ประกายหอกดุจสายฟ้า กระจายเต็มผืนนภาราวหมู่ดาว

จำต้องยอมรับว่าพลังที่แท้จริงของเมิ่งอู่แก่กล้ายิ่งนัก หอกเงินเล่มหนึ่งกลับโลดแล่นราวมังกรเงินเมื่ออยู่ในมือเขา แสงหอกผลุบโผล่กระจายเต็มท้องฟ้า รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อประสานกับพลังฝึกอหังการแล้ว คู่ควรกับคำว่าหอกดุจดาวบนฟ้าอาชาดุจมังกรจริงๆ

แต่ชายหนุ่มอำพรางหน้าในชุดขาว สองมือกำกระบี่มั่น กลับราวห่านป่าเตลิดหนี น้ำไม่อาจผ่าน ฝนไม่อาจต้อง รับมือป้องกันได้อย่างแน่นหนา และแฝงการโต้กลับเอาไว้ เขาแทงสวนกลับในบางจังหวะ ในช่วงที่เมิ่งอู่แรงเก่าหมดลง แรงใหม่ยังไม่ทันมา จึงบีบให้เมิ่งอู่จำต้องหันมาป้องกันได้

ทว่า สิ่งที่ทำให้เมิ่งอู่พูดไม่ออกที่สุดก็คือ พลังแท้จริงของชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวคนนี้ เห็นชัดๆ ว่ายังไม่ถึงขั้นฟ้าประทาน แค่อาศัยวิชากระบี่อันยอดเยี่ยมกับฝีมือในการสู้รบเท่านั้น แต่สามารถรับมือกับการโจมตีราวห่าฝนเช่นนี้ได้

“หลีกไปให้หมด ห้ามเข้ามาสอด ข้าจะจับเป็นพวกสมคบคิดกับตระกูลถังคนนี้”

เมิ่งอู่โมโหจนร้องลั่น สั่งการขึ้นมา

แต่ผ่านไปเพียงชั่วหนึ่งก้านธูป เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบกลแล้ว

พริบตาแรกที่ปะทะกัน อีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะถูกตนแทงตายบนพื้นแล้วแท้ๆ เมื่อโต้กลับด้วยท่าชูกระบี่ชี้นภา หยุดหอกราวสายฟ้าของเขาได้ ก็ทะลวงขั้นพลังเสียแล้ว ทว่าตอนนี้ ระยะเวลาประมือยืดยาวออกไป ท่าทางของฝ่ายตรงข้ามกลับดุดันขึ้นเรื่อยๆ ปราณกระบี่เย็นยะเยือก มีเค้าลางว่ากำลังจะทะลวงขั้นอีกอยู่รำไร

มารดามันเถอะ นี่มันอัจฉริยะด้านต่อสู้จริงหรือนี่?

เมิ่งอู่ทั้งโกรธทั้งโมโห

“ตาย!”

หอกยาวของเขาสะบัด สาดคมหอกออกไป ทันใดนั้น มือซ้ายก็ล้วงเอากระบอกเข็มสีดำราวหมึกกระบอกหนึ่งออกมา มือบิดที่ก้นกระบอก เสียงฟิ้วดังขึ้น เข็มเล็กเท่าขนวัวห่าใหญ่พุ่งหวือสาดตรงไปยังชายหนุ่มในชุดขาวทันที

“เจ้า…” ชายหนุ่มคลุมหน้าชุดขาวคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ลอบกัด เขาวาดกระบี่เพื่อปัดป้อง แต่กระบวนท่าถูกทำลาย หน้าอกเกิดอาการชา ไหล่ซ้ายถูกหอกแทงใส่จนลอยกระเด็นออกไป

เมิ่งอู่ไม่พูดจา เสือกหอกเงินแทงซ้ำอีกครั้ง เป้าหมายอยู่ที่หัวใจ

เมื่อชายหนุ่มปิดหน้าในชุดขาวเห็นว่าตนกำลังจะถูกหอกแทงตาย เขาจึงเลือกหนทางเดียวกับพี่น้องของตนก่อนหน้า กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ก่อนยกมันขึ้นจะกรีดใบหน้าทำลายรูปลักษณ์ ป้องกันหายนะที่จะมาเยือนสำนักและเพื่อนพ้องตน…

ทว่า ในตอนนี้เอง…

ฟิ้ว!

ประกายดาบหนึ่งฟาดฟันเข้ามา

ฉับพลันชายหนุ่มรู้สึกสั่นสะเทือนที่กลางฝ่ามือ กริชถูกกระแทกปลิวออกไป

ในเวลาเดียวกัน หอกเงินที่แทงเข้ามาก็ถูกคมดาบผ่าอย่างรุนแรงเช่นกัน เสียงตูมดังสนั่น หอกเงินโค้งงอจากตรงกลาง เมิ่งอู่เจ้าของหอกร้องขึ้นด้วยความตกใจ ระหว่างที่ตัวหอกยังสั่นสะท้านไม่หยุด ง่ามนิ้วของเขาก็โชกชุ่มด้วยเลือด ไม่สามารถจับยึดมันได้อีก หอกเงินจึงลอยคว้างออกไป

ส่วนคมดาบทั้งสองสายนั้นกลับหมุนตีวงกลางอากาศ และค้างนิ่งอยู่กับที่ราวกับมีชีวิต

มันคือดาบบินประหลาดสีฟ้าอ่อนสองเล่ม

“ใครกัน?” เมิ่งอู่ตะโกนอย่างเดือดดาล จากนั้นรูม่านตาหดลงเล็กน้อย

แสงสีเงินแหวกผ่าท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป

บนตัวดาบมีคนผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ด้านบน

วิชาดาบเหินหาว!

หลี่มู่!

ในเวลาที่สำคัญที่สุด คนที่ลงมือฉับพลันกลับเป็นฝันร้ายที่เขากลัวมากที่สุดในช่วงไม่กี่วันนี้ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่

“จอมยุทธ์สายรัดหมวกไร้ลวดลาย คมดาบเปล่งประกายราวน้ำค้างแข็ง…”

หลี่มู่เหยียบดาบพุ่งเข้ามา ปากก็ร่ายกลอน ราวกับเซียนขี่ลมขี่เมฆลอยมา

ฟิ้ว ฟิ้ว!

เมื่อกลอนสองประโยคนี้จบลง ดาบถลาลมรูปร่างพิลึกทั้งสองก็ประหนึ่งนกนางแอ่นกลับรัง บินย้อนกลับมารวมกับดาบยักษ์สีเงินใต้เท้าของหลี่มู่จนเป็นหนึ่งเดียวกัน

“หลี่มู่ เจ้ากล้าสมคบคิดกับพวกตระกูลถัง…” เมิ่งอู่ลูกตาแทบถลน แผดเสียงออกมาด้วยความเกลียดชัง หนวดเคราผมเผ้าตั้งชัน “สถานการณ์อย่างวันนี้ เจ้ายังกล้ามาปรากฏตัว ก่อนหน้าก็สมคบคิดกับเผ่าปีศาจ ตอนนี้ยังมาข้องเกี่ยวกับตระกูลถังอีก รนหาที่ตายนัก สังหารมันซะ”

บนพื้น หน้าไม้ทลายดาวนับไม่ถ้วนทยอยเล็งไปยังหลี่มู่ จากนั้นพากันยิงออกมา

ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หลี่มู่ราวตั๊กแตน

“ประกายเงินสาดชุดขาว เสียงพุ่งทะยานราวดาวตก!”

บทกลอน ‘การเดินทางของจอมยุทธ์’ จากยอดกวีหลี่ไป๋ที่โลกเดิม หลี่มู่นำมาดัดแปลงและท่องออกมา นัยน์ตาของเขาเผยจิตสังหาร

วันนี้ เขามาเพื่อสังหารคน

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

ดาบวัฏจักรยักษ์สีเงินใต้เท้าเขาแยกออกจากกันอย่างฉับพลัน กลายเป็นดาบยี่สิบสี่เล่มหมุนรอบตัว ระหว่างที่คมดาบหลากสีหมุนวน ศรทลายดาวทั้งหมดถูกฟันสะบั้นสลายกลายเป็นฝุ่น จากนั้นดาบถลาลมทั้งยี่สิบสี่ก็กลับมารวมตัวเป็นดาบวัฏจักร หวนมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาอีกครั้ง

ภาพฉากที่เห็นตื่นตาราวอภินิหาร เคล็ดวิชาเยี่ยมยอดของมันทำเอาคนที่เห็นตาลาย เสมือนได้เห็นความสามารถเซียนอย่างไรอย่างนั้น

เหล่าทหารลาดตระเวนสวมเกราะด้านล่างต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

“นี่คือ…ทักษะแห่งเซียน”

“เหนือมนุษย์ นี่ต้องเป็นขั้นเหนือมนุษย์แน่ๆ”

“ต่อกรไม่ไหว”

พวกเขาสูญเสียความกล้าหาญในการรบไปแล้ว

“องค์ชายสองอยู่ที่ไหน?” หลี่มู่ถาม เสียงดังราวสายฟ้า “ออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้!”

วันนั้นที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ คนที่ส่งตราดัชนีทองมาสังหารซ่างกวนอวี่ถิง ก็คือองค์ชายสองนี่เอง

มีแค้นไม่ชำระไม่ใช่ยอดชาย

ดาบวัฏจักรที่ตีขึ้นใหม่ หกดาบวายุเมฆาขั้นต้น วิชาดาบเหินหาวขั้นสูง!

หลี่มู่ในวันนี้ มาเพื่อแก้แค้นโดยเฉพาะ

……

ภายในโถงใหญ่หอบวงสรวง ชายกลางคนรูปงามคนหนึ่งก้าวออกมา

เขารูปงามดั่งหยก คิ้วกระบี่ดวงตาดารา อายุราวสามถึงสี่สิบปี ดูแลตนเองดีมาก บนใบหน้าไม่มีแม้แต่ริ้วรอย และไม่มีคราบสิ่งสกปรกใดๆ ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างดีด้วยปิ่นหยกฝังทอง ผมเผ้าเรียบร้อย อยู่ในชุดแพรสีม่วงอ่อน ข้างเอวประดับหยก รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนเข้ากันดี หว่างคิ้วมีความน่าเกรงขามที่ปิดไม่มิดอยู่ในความสง่างาม แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นผู้สูงส่งที่อยู่มานาน

เมื่อบุคคลนี้ปรากฏตัว พวกของถานเยี่ยนจือพลันตกตะลึง

เจ้าเมืองฉางอันหลี่กัง?

ท่านเจ้าเมือง?!

นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?

ศึกวันนั้นที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ถานเยี่ยนจือและเทพพยากรณ์สองคนก็เคยเห็นเจ้าเมืองคนนี้จากที่ไกลๆ

“ท่านลุงรูปงาม ท่านเป็นใคร?” ดวงตากลมโตของถังมี่อยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา เมื่อเทียบกับเจ้าสำนักยมบาลหน้าผีดิบแล้ว รูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างามของหลี่กังชนะได้ทุกวัยอย่างขาดลอย นางหัวเราะขึ้นมา “ดีเลย ดีเลย ท่านลุง ข้าให้ถังหูลู่ท่าน…แต่ว่าเหลือให้เสี่ยวมี่มี่ลูกหนึ่ง ลูกเดียวก็พอ”

หลี่กังหัวเราะอย่างเบิกบาน

เขารับถังหูลู่มา อ้าปากกัดไปหนึ่งลูก ที่เหลือส่งคืนกลับไป และเอ่ยขึ้นว่า “เหลือให้แม่นางน้อยคนงามสามลูก ฮ่าๆ ท่านลุงรูปหล่อขอแค่ลูกเดียวพอ” เขาเคี้ยวซานจาชุบน้ำตาลในปากทีละนิดๆ จนหมด ท่าทางอร่อยนัก

และตอนนี้เอง เจ้าสำนักยมบาลที่อยู่อีกฝั่งรู้สถานะของหลี่กังจากการเตือนของหัวหน้าทหารชุดเกราะนายหนึ่ง

ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเกรงกลัวแล้ว

เจ้าเมืองเมืองหนึ่ง จักรพรรดิแห่งเมืองฉางอัน ตำแหน่งสูงทรงอำนาจ เป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงแห่งดินแดน นี่น่ากลัวยิ่งกว่าลูกหลานของจักรพรรดิบางคนเสียอีก เขาเป็นหนึ่งในสิบผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของจักรวรรดิฉินตะวันตก แม้แต่เจ้าสำนักระดับหนึ่งยังยากจะเทียบกับบุคคลเช่นนี้ได้

“ใต้เท้าหลี่ ท่านจะปกป้องพวกตระกูลถังหรือ?” เจ้าสำนักยมบาลถามหยั่งเชิง

หลี่กังค่อยๆ เดินลงจากบันไดหิน สีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่”

เจ้าสำนักยมบาลถอนใจโล่งอก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญท่านหลีกทาง ออกจากที่นี่ไปเถิด ข้าได้รับคำสั่งขององค์ชายสองให้มาสังหารพวกเหลือเดนตระกูลถัง…”

หลี่กังตัดบททันใด “เจ้าคือเจ้าสำนักยมบาล?”

เจ้าสำนักยมบาลขมวดคิ้ว ผงกศีรษะ “ไม่ผิด เป็นข้าเอง”

หลี่กังผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นก็ดี…ก่อนหน้านี้ในการแข่งขันนางคณิกาที่หน่วยเลี้ยงรับรอง จอมยุทธ์ของสำนักยมบาลสังหารไช่จือเจี๋ยข้าราชการของจักรวรรดิ มีความผิดมหันต์นัก ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตา ความผิดนี้สมควรตาย เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักยมบาลควบคุมบริวารไม่ดี ก็ต้องรับผิดชอบด้วย ยังไม่ยอมให้จับกุมอีก?”

“อะไรนะ?” เจ้าสำนักยมบาลหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมืองเห็นเช่นนั้นหรือ?”

หลี่กังไม่พูดต่อ ลงมือทันที เขายกมือขึ้นมา สองนิ้วดุจคีบบุปผา ลวดลายค่ายกลดาราสีทองเป็นชั้นๆ แผ่ออกมาเชื่อมต่อกันจากนิ้วโป้งและนิ้วกลาง ก่อนแปรสภาพเป็นค่ายกลดาราขนาดใหญ่ที่กำลังขับเคลื่อน มีอักขระหมุนวน เพียงสะบัดนิ้วดีด คมกระบี่จากปลายนิ้วก็พุ่งออกไป

วูบ!

แสงกระบี่ดุจสายฟ้า

เจ้าสำนักยมบาลหน้าถอดสี ปราณแท้ยมโลกรอบตัวหมุนเวียน จากนั้นจึงสำแดงสุดยอดวิชาต้องห้าม ดูคล้ายกำลังอัญเชิญเทพมรณะจากนรกอเวจีออกมา

ไอเย็นแห่งความตายแผ่ซ่านปกคลุมในพริบตา

กลางอากาศ ราวกับมีเทพมารจากโลกแห่งความตายกำลังหัวเราะเหี้ยมเกรียม ง้างเคียวจะเก็บเกี่ยววิญญาณกลับไป

ทว่าก็ไม่ได้ผล

วิชาสุดยอดของเจ้าสำนักยมบาลถูกใช้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง กลิ่นอายความตายลอยวน รูปกายของพญามัจจุราชที่เย็นเยือกน่ากลัวยังไม่ทันถูกอัญเชิญมา ก็โดนกระบี่แสงทองสายหนึ่งที่หลี่กังดีดมาพุ่งตัดราวหั่นเต้าหู้ ทะลุปราณแท้คุ้มกายไปอย่างสบายๆ ทะลวงรูปกายพญามัจจุราชที่ยังก่อตัวไม่เสร็จ และพุ่งผ่านหน้าผากของเจ้าสำนักยมบาลไป

เลือดพุ่งกระฉูด

ปราณแท้ยมโลกของเจ้าสำนักยมบาลสลายไปในพริบตา ราวกับรูปปั้นทรายที่พังทลายลง รูปกายของพญามัจจุราชกลายเป็นฝุ่นกลางอากาศ หงายหลังล้มตึงไป

กระบวนท่าเดียวก็รู้ผลแพ้ชนะ ตัดสินเป็นตาย

ขั้นเหนือมนุษย์ที่สูงส่งคนหนึ่งตายไปอย่างรวดเร็ว ดับดิ้นในพริบตา ทำเอาคนที่เหลือตั้งตัวไม่ทัน

แต่ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกโรงฝึกยุทธ์

“องค์ชายสองอยู่ที่ไหน? รีบออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้!”

……

ใบหน้าขององค์ชายสองมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

เจ้าสำนักยมบาลตายแล้ว ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วเป็นกำลังสนับสนุนที่ดียิ่ง เพื่อที่จะกล่อมเจ้าสำนักยมบาลมาทำงานให้ เขาเองก็ทุ่มเทความคิดไปพอสมควร น่าเสียดาย พริบตาเมื่อครู่ที่เขาถูกหลี่มู่ดึงความสนใจไป ฝ่ายนั้นก็ถูกสังหารไปเสียแล้ว กระทั่งจะลงมือช่วยเหลือยังไม่ทันกาล

หนำซ้ำผู้ที่สังหารเจ้าสำนักยมบาลก็คือหลี่กัง เจ้าเมืองฉางอันหลี่กัง

นับตั้งแต่เขามาถึงฉางอัน คนผู้นี้นิ่งเงียบเก็บตัวตลอดเหมือนกับคนขี้ขลาด ในจุดที่ไม่มีใครคิดถึง ยามนี้กลับมาปรากฏตัวในที่ที่ไม่ควร และแสดงความแข็งแกร่งดุดันอันน่าเหลือเชื่อออกมา ใช้กระบวนท่าเดียวสังหารขั้นเหนือมนุษย์ลง

เจ้าสำนักยมบาลเป็นคนขององค์ชายสอง

แต่พอเขาตาย องค์ชายสองกลับหัวเราะ

เพราะว่าปลาที่เขารอมางับเหยื่อแล้ว

น่าจะถึงเวลาดึงแหขึ้นแล้วกระมัง

ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงเสียที

องค์ชายสองตื่นเต้นอยู่บ้าง สายตาของเขามองออกไปไกลๆ จับจ้องชายรูปงามวัยกลางคนที่สูงสง่าราวหยกด้านหน้าหอหลังใหญ่ นัยน์ตาเปล่งประกายอยากลงมือเต็มที เขาคิดจะลงมือด้วยตนเอง อยากจะเข้าไปท้าประลองกับตำนานของจักรวรรดิในอดีตคนนี้เสียหน่อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+