จอมศาสตราพลิกดารา 270 ให้ถังหูลู่กับข้า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 270 ให้ถังหูลู่กับข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทะลวงขั้นระหว่างต่อสู้?”

มุมปากองค์ชายสองยกยิ้ม

ชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้าคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้

คนแบบนี้ในบรรดานักรบหาได้ยากนัก ปกติเวลาฝึกฝนอาจจะไม่ต่างอะไรกับอัจฉริยะทั่วๆ ไป แต่หากเข้าสู่การต่อสู้หรือการสังหารเป็นตาย กลับจะยิ่งสำแดงกำลังรบของตนออกมาได้มากกว่าหนึ่งเท่า กระทั่งว่าสามารถทะลวงขั้นระหว่างสู้ ก้าวสู่ขั้นที่สูงขึ้นไป

ในอดีต โลกใบนี้เคยมีอัจฉริยะประเภทต่อสู้หลายคน หนทางการต่อสู้เริ่มจากผู้ฝึกไร้สังกัดตัวเล็กๆ ฝ่าฝันเอาชีวิตรอดจากกองซากศพทะเลเลือด เข่นฆ่าจนแผ่นดินใหญ่เสินโจวปั่นป่วนอลหม่าน สุดท้ายคนคนนี้ทะลวงสวรรค์ ออกไปจากโลกใบนี้ กลายเป็นตำนานชั่วนิรันดร์ คนรุ่นหลังล้วนจดจำสมญาในตำนานของ ‘เทพกระบี่’ หลี่ฉิวไป้ผู้นี้ได้

องค์ชายสองเห็นเงารางๆ ของ ‘เทพกระบี่’ ในตัวยอดฝีมือหนุ่มชุดขาวปิดหน้าผู้นี้

แต่เขาไม่มีความรู้สึกสงสารใดๆ

เพราะยอดฝีมือหนุ่มชุดขาวเป็นพวกของสกุลถัง

สามารถฝ่าเข้ามาเพื่อช่วยภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าสกุลถังทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นกับดัก จะต้องไม่ใช่พวกดื้อดึงคร่ำครึเป็นแน่ อีกทั้งเขายังสูญเสียพี่น้องร่วมสาบานไปอีกสามคน นี่เป็นการสร้างความแค้นบัญชีเลือดขึ้นแล้ว คิดจะดึงคนแบบนี้มาเป็นพวกก็ไม่มีความหมายอะไร

สายตาขององค์ชายสองมองไปยังส่วนลึกของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอีกครั้ง

หน่วยลาดตระเวนบุกเข้าไปตลอดทางภายใต้การนำของเจ้าสำนักยมบาล ประตูโรงฝึกยุทธ์ทั้งแปดถูกทำลายลงแล้วสี่บาน กล่าวได้ว่าสำเร็จราบรื่น การบุกเข้าไปยังหอบวงสรวงตรงศูนย์กลางเป็นเรื่องที่จะสำเร็จในไม่ช้า

สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดเดาของเขา

ดังนั้น ใบหน้าของเขาจึงไม่เผยความยินดีใดๆ

เขายังคงรอใครอื่นบางคนกระโดดออกมา

เหตุการณ์วันนี้ แต่เดิมก็ไม่ใช่เพื่อไล่สังหารภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าสกุลถังอยู่แล้ว ลูกกำพร้ากับหญิงม่ายจะสร้างอิทธิพลอะไรกับเขาได้? จุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องนี้ หญิงสามคนนี้เป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น

เพียงแต่คนเบื้องหลังคนนั้น จะกระโดดออกมาหรือไม่?

“ทำให้คนเฝ้ารอจริงๆ”

ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมา

……

การสังหาร เสียงร้องโหยหวน กลิ่นคาวเลือด…

ประตูใหญ่แต่ละบานถูกโจมตีทะลุ

สุดท้าย คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถูกบีบจนต้องล่าถอย จนมาถึงหน้าหอบวงสรวงหลักของพื้นที่ส่วนสุดท้าย

ต่อสู้นองเลือดมาตลอดทาง ฝั่งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสูญเสียยอดฝีมือไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งด้วยเงื้อมมือของเจ้าสำนักยมบาล

ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์เป็นผู้ที่ไม่อาจต้านทานได้

ข้างหลังเจ้าสำนักยมบาล ทหารสวมชุดเกราะกรูเข้ามาราวคลื่น อาวุธมากมาย ธนูดุจห่าฝน จัดการล้อมยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์ห้าสิบคนและหอบวงสรวงหลักเอาไว้เป็นชั้นๆ หลังจากต่อสู้สังหาร โรงฝึกยุทธ์พลังพายุเหลืออยู่แค่สี่สิบกว่าคนสุดท้ายกำลังล่าถอยไปอารักขาหอบวงสรวง

ทหารชุดเกราะแน่นขนัด ทหารชุดเกราะหนักอยู่ข้างหน้า ทหารคุมหน้าไม้ยิงหินอยู่ข้างหลัง โจมตีหอบวงสรวงหลักอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ราวกับคลื่นน้ำโหมซัดใส่ก้อนหิน

“สังหารให้หมด ไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว”

เสียงของเจ้าสำนักยมบาลเหี้ยมโหดเย็นชาเหมือนเสียงที่มาจากนรก เมื่อร่างของเขากะพริบวูบ ยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์พลังพายุคนหนึ่งก็กระอักเลือดกระเด็นออกไป

“ลุงเฉา…” เทพพยากรณ์ซัดฝ่ามือ ลูกคิดสิบหกเม็ดพุ่งไปยังเจ้าสำนักยมบาลอย่างบ้าคลั่ง ส่วนตัวเองนั้นพุ่งไปราวภูตผี รับลุงเฉาที่กระอักเลือดเอาไว้ และใช้พลังฝ่ามือสายหนึ่งปัดธนูเจาะเกราะทิ้งไป

“เฮอะ” เจ้าสำนักยมบาลแค่ปัดมือ ปราณแท้เหมันต์ยมโลกสีฟ้าเย็นเยือกก็หอบม้วนลูกคิดทั้งสิบหกลูกกลับคืนไปดุจวาฬตัวมหึมาในมหาสมุทรลึก พลังนี้รวดเร็วยิ่งกว่า ยิงไปยังเทพพยากรณ์และลุงเฉาที่ยังไม่ถึงพื้นราวอุกกาบาต

“แย่แล้ว”

เหล่าต่ง พ่อครัว ยายผีและคนอื่นๆ ล้วนถูกยอดฝีมือหน่วยลาดตระเวนตรึงกำลังเอาไว้ ถึงเห็นอยู่กับตาแต่ไม่อาจช่วยเหลือได้

ในตอนนี้เอง…

ครืน!

ประตูหลักของหอบวงสรวงเปิดออกกว้าง

ตราหมัดทองโจมตีมายังปราณแท้เหมันต์ยมโลก ทำลายมันแหลกละเอียดไปพร้อมกับลูกคิดที่อยู่ด้านใน

“หืม?”

ใบหน้าราวผีดิบของเจ้าสำนักยมบาลฉายแววตกใจ

เขาโบกมือ

ทหารชุดเกราะด้านหลังล้วนหยุดการโจมตี ยอดฝีมือหน่วยลาดตระเวนต่างพากันถอยไป

เห็นสาวงามเรือนร่างอรชรผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูใหญ่อย่างช้าเนิบ นางสวมเกราะอ่อนทั้งร่าง สง่างามผ่าเผย แขนทั้งสองสวมนวมใหญ่สีทองเอาไว้ ดูแล้วไม่สมดุลอย่างยิ่ง แต่กลับมีพลังที่ยากบรรยายอย่างหนึ่ง เหมือนว่าหมัดหนึ่งชกออกมาก็สามารถบดขยี้ทุกสิ่งได้

“ลูกพี่…”

“หัวหน้า”

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเช็ดเลือด พากันถอยหลังไป

สตรีร่างเล็กใจนักเลงคนนี้ แน่นอนว่าเป็นหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ถานเยี่ยนจือนั่นเอง

“พี่น้องทุกท่าน ครั้งนี้ข้าทำให้พวกท่านเดือดร้อนแล้ว” ถานเยี่ยนจือประสานมือ นวมทองกระทบกันส่งเสียงก้องกังวาน แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองและพลังประหลาดบางอย่าง ทำให้คนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ล้วนใจสั่น

“ฮ่าๆ ลูกพี่อย่าพูดแบบนี้…”

“นับจากวันที่ก้าวเข้ามาในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมเป็นร่วมตายกับหัวหน้าแล้ว”

“ลูกพี่ ท่านทำเพื่อช่วยทายาทของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ พวกข้าจอมยุทธ์ไยจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้?”

“ต้องต่อสู้ ถึงจะเป็นชีวิตที่ข้าเฝ้าปรารถนา”

ยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพูดเสียงดัง ไม่กล่าวโทษถานเยี่ยนจือ

หลายปีมานี้ สตรีร่างเล็กคนนี้แบกรับความกดดันจากภายนอกมามากนัก พวกเขาเหล่านี้ถึงได้มีชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ที่นี่ ไม่ต้องถูกศัตรูไล่สังหาร ความรู้สึกของทุกคนเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน ต้องยอมรับว่าสตรีอ้อนแอ้นอรชรผู้นี้มีเสน่ห์ประหลาดเฉพาะตัว ทำให้ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งได้

“พี่น้องทุกท่าน วันนี้พวกเรามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน”

ถานเยี่ยนจือกระตุ้นกำลังภายใน นวมทองเริ่มกะพริบแสงประหลาด แสงสีทองชั้นหนึ่งกระจายมาตามแขน ปกคลุมนางเอาไว้ทั้งตัว โล่แสงคุ้มกายลายดาวที่ราวกับวัตถุจริงลอยอยู่รอบกาย รอบๆ เท้ามีโล่แสงลายดาวสีทองสี่สายหมุนวนอยู่ ยิ่งขับเน้นให้นางหมือนเทพแห่งสงครามสีทองก็ไม่ปาน

พลังของนางพุ่งถึงจุดสูงสุดของขั้นฟ้าประทานทันที

ตูม!

ถานเยี่ยนจือชกหนึ่งหมัดออกไป

ตราหมัดสีทองอันมหึมาพุ่งแหวกท้องฟ้า

กลางอากาศมีลมกระโชกหอบม้วน สายฟ้าฟาดกระหน่ำ

เจ้าสำนักยมบาลหรี่ตาลง ยกมือผลักออกไป ปราณแท้เหมันต์ยมโลกถาโถมดุจเกลียวคลื่น ภายในคลื่นมีมือยักษ์ปรากฏขึ้นต้านรับตราหมัดเอาไว้แล้วสลายมันไป

“เกราะเทพสงคราม?” เขาจ้องถานเยี่ยนจือ สายตาฉายแววละโมบ “นวมทองในมือเจ้า เป็นส่วนนวมของ ‘เกราะเทพสงคราม’ รึ?”

“ไปถามมารดาเจ้าดูสิ” ถานเยี่ยนจือหัวเราะเสียงเย็น กระตุ้นนวมทองแล้วชกออกไปทันที

จิตสังหารเอ่อล้นในดวงตาของเจ้าสำนักยมบาล “พลังของเจ้าอ่อนแอเกินไป ต่อให้มีนวมของ ‘เกราะเทพสงคราม’ อยู่ในมือ ก็ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้…ฆ่าเจ้าแล้ว นวมทองตกอยู่ในมือของข้า ข้าย่อมได้รู้ทุกสิ่ง”

การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที

ถานเยี่ยนจือกระตุ้นนวมทองสุดกำลัง พลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด กำลังรบแข็งแกร่งกว่าปกติไม่รู้กี่เท่า ใกล้เคียงกับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ตราหมัดสีทองที่ชกออกมาสบายๆ ล้วนมีอานุภาพเคลื่อนย้ายขุนเขา และขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขั้นฟ้าประทาน พลังหมัดดั่งคลื่นคลั่งปั่นป่วนบีบจนทหารชุดเกราะหน่วยลาดตระเวนที่อยู่รอบๆ ต้องพากันล่าถอย

เจ้าสำนักยมบาลกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับราวศิลา ทุกกระบวนท่าล้วนรวดเร็ว ทำลายการโจมตีที่ถี่กระชั้นและรุนแรงแต่ละท่าลง ทั้งยังเยือกเย็นเป็นที่สุด ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นวมทองตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังสังเกตวิธีใช้งาน

สุดท้าย ถานเยี่ยนจือพ่ายแพ้ล่าถอย

พละกำลังของขั้นเหนือมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นฟ้าประทานสูงสุดจะสู้ได้

พลังที่เจ้าสำนักยมบาลควบคุมมีกำลังรบทรงอานุภาพ แข็งแกร่งกว่า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่ามาก ถึงแม้ถานเยี่ยนจือจะสำแดงท่าไม้ตายสุดยอดติดกันหลายกระบวนท่า เจ้าสำนักยมบาลก็ต้านทานไว้และสลายทิ้งไปได้

“พอแค่นี้แหละ”

ความอดทนของเจ้าสำนักยมบาลหมดสิ้นลง

เขาเตรียมออกคำสั่งฆ่าล้างสังหาร

ตอนนี้เอง ถังฮูหยินเดินออกมาช้าๆ จากในหอบวงสรวงหลัก มือซ้ายของนางจูงมือลูกสาวคนโตถังถัง มือขวาอุ้มลูกสาวคนเล็กถังมี่ สีหน้าซีดขาว สายตาที่กวาดมองคนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุฉายแววลุแก่โทษ นางทำความเคารพ จากนั้นจึงมาหยุดอยู่หน้าพวกเจ้าสำนักยมบาล “พวกเจ้ามาจับพวกเราแม่ลูก พาตัวพวกเราไปเถอะ แล้วปล่อยคนโรงฝึกยุทธ์พลังพายุไป…”

สีหน้าของเจ้าสำนักยมบาลไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

สตรีผู้ไร้เดียงสาเอ๋ย

“พรรคพวกสกุลถังสมควรตายทั้งหมด” เขาพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “องค์ชายสองบัญชาลงมา ให้สังหารคนโรงฝึกยุทธ์พลังพายุไม่ให้เหลือ จะโทษก็ต้องโทษว่าเจ้าไม่ควรมาที่นี่…ลงมือ…”

……

สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินและองค์หญิงฉินเจินที่พรางตัวอยู่ในโถงใหญ่เตรียมตัวสู้ศึกสุดท้าย

มือขององค์หญิงฉินเจินถือกระบี่ยาว กำลังภายในในร่างโคจรช้าๆ พลางเก็บกลิ่นอายเอาไว้

ในยามที่นางจะทำเหมือนกับที่หารือกับถานเยี่ยนจือเอาไว้ คือชักกระบี่ออกท่าโจมตีสังหารที่แข็งแกร่งที่สุด พยายามสังหารหรือไม่ก็ทำร้ายให้เจ้าสำนักยมบาลบาดเจ็บสาหัส จากนั้นทุกคนก็อาศัยโอกาสนั้นฝ่าออกไป จู่ๆ ก็มีฝ่ามือหนึ่งแตะบนไหล่ของนาง

“เจ้าลงมือ ก็ไม่ใช่คู่มือของมัน” เสียงผู้ชายอ่อนโยนดังลอยมา

นี่ไม่ใช่เสียงของสุภาพบุรุษวาโยหวางเฉิน

ในโถงใหญ่มีบุรุษเพิ่มมาอีกคนตั้งแต่เมื่อใดกัน?

ฉินเจินตกใจนัก

นางชักดาบหมุนตัวไปโดยสัญชาตญาณ ทว่ากระบี่กลับชักไม่ออก หมุนตัวก็หมุนไม่ได้

ฝ่ามือที่แตะอยู่บนไหล่นางมีพลังประหลาด เหมือนสะกดนางเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าเป็นใคร?” ฉินเจินถามอย่างทั้งตกใจทั้งโกรธกริ้ว

ได้ยินเสียงของชายคนนั้นพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เรื่องข้างนอกให้ข้าจัดการเถอะ”

……

“ท่านลุงๆ มี่เอ๋อร์ให้ถังหูลู่ท่านลูกหนึ่ง ท่านอย่าฆ่าคนอีกเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” ถังมี่ผู้ไร้เดียงสาเอ่ยขึ้น เสียงอ้อแอ้ฟังแล้วชวนให้คนใจหวั่นไหว มือที่ถือถังหูลู่อยู่ยื่นออกไปช้าๆ เหมือนว่ากำลังมอบของวิเศษที่ล้ำค่าสุดในโลกให้

เจ้าสำนักยมบาลที่แต่เดิมจะเริ่มสั่งการสังหารตะลึงไปนิด

ใบหน้าราวผีดิบฉายคลื่นอารมณ์บางๆ

“ท่านลุง ไม่อย่างนั้นที่เหลืออยู่สองสามลูก ข้าให้ท่านหมดเลยดีหรือไม่? มี่เอ๋อร์ไม่เอาแล้ว…” เด็กน้อยพยายามออดอ้อนคนข้างหน้า นางที่ไร้เดียงสาไม่รู้ว่าสถานการณ์อันตรายเพียงใด เพียงเอ่ยโน้มน้าวไปโดยไม่รู้ตัว สำหรับนาง ตัวเองได้มอบสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดออกไปแล้ว

“หึๆ…” เจ้าสำนักยมบาลแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ ถังหูลู่กระจอกๆ ลูกเดียว…”

ยังพูดไม่ทันจบ

เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากโถงใหญ่ “แม่นางน้อย เอาถังหูลู่ให้ข้า แล้วข้าจะช่วยเจ้าจัดการคนชั่วนั่นดีหรือไม่?” เสียงนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก ทรงเสน่ห์ น่าดึงดูดใจ ทำให้ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนสายลมยามวสันต์

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 270 ให้ถังหูลู่กับข้า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 270 ให้ถังหูลู่กับข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทะลวงขั้นระหว่างต่อสู้?”

มุมปากองค์ชายสองยกยิ้ม

ชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้าคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้

คนแบบนี้ในบรรดานักรบหาได้ยากนัก ปกติเวลาฝึกฝนอาจจะไม่ต่างอะไรกับอัจฉริยะทั่วๆ ไป แต่หากเข้าสู่การต่อสู้หรือการสังหารเป็นตาย กลับจะยิ่งสำแดงกำลังรบของตนออกมาได้มากกว่าหนึ่งเท่า กระทั่งว่าสามารถทะลวงขั้นระหว่างสู้ ก้าวสู่ขั้นที่สูงขึ้นไป

ในอดีต โลกใบนี้เคยมีอัจฉริยะประเภทต่อสู้หลายคน หนทางการต่อสู้เริ่มจากผู้ฝึกไร้สังกัดตัวเล็กๆ ฝ่าฝันเอาชีวิตรอดจากกองซากศพทะเลเลือด เข่นฆ่าจนแผ่นดินใหญ่เสินโจวปั่นป่วนอลหม่าน สุดท้ายคนคนนี้ทะลวงสวรรค์ ออกไปจากโลกใบนี้ กลายเป็นตำนานชั่วนิรันดร์ คนรุ่นหลังล้วนจดจำสมญาในตำนานของ ‘เทพกระบี่’ หลี่ฉิวไป้ผู้นี้ได้

องค์ชายสองเห็นเงารางๆ ของ ‘เทพกระบี่’ ในตัวยอดฝีมือหนุ่มชุดขาวปิดหน้าผู้นี้

แต่เขาไม่มีความรู้สึกสงสารใดๆ

เพราะยอดฝีมือหนุ่มชุดขาวเป็นพวกของสกุลถัง

สามารถฝ่าเข้ามาเพื่อช่วยภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าสกุลถังทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นกับดัก จะต้องไม่ใช่พวกดื้อดึงคร่ำครึเป็นแน่ อีกทั้งเขายังสูญเสียพี่น้องร่วมสาบานไปอีกสามคน นี่เป็นการสร้างความแค้นบัญชีเลือดขึ้นแล้ว คิดจะดึงคนแบบนี้มาเป็นพวกก็ไม่มีความหมายอะไร

สายตาขององค์ชายสองมองไปยังส่วนลึกของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุอีกครั้ง

หน่วยลาดตระเวนบุกเข้าไปตลอดทางภายใต้การนำของเจ้าสำนักยมบาล ประตูโรงฝึกยุทธ์ทั้งแปดถูกทำลายลงแล้วสี่บาน กล่าวได้ว่าสำเร็จราบรื่น การบุกเข้าไปยังหอบวงสรวงตรงศูนย์กลางเป็นเรื่องที่จะสำเร็จในไม่ช้า

สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดเดาของเขา

ดังนั้น ใบหน้าของเขาจึงไม่เผยความยินดีใดๆ

เขายังคงรอใครอื่นบางคนกระโดดออกมา

เหตุการณ์วันนี้ แต่เดิมก็ไม่ใช่เพื่อไล่สังหารภรรยาม่ายและบุตรกำพร้าสกุลถังอยู่แล้ว ลูกกำพร้ากับหญิงม่ายจะสร้างอิทธิพลอะไรกับเขาได้? จุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องนี้ หญิงสามคนนี้เป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น

เพียงแต่คนเบื้องหลังคนนั้น จะกระโดดออกมาหรือไม่?

“ทำให้คนเฝ้ารอจริงๆ”

ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมา

……

การสังหาร เสียงร้องโหยหวน กลิ่นคาวเลือด…

ประตูใหญ่แต่ละบานถูกโจมตีทะลุ

สุดท้าย คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถูกบีบจนต้องล่าถอย จนมาถึงหน้าหอบวงสรวงหลักของพื้นที่ส่วนสุดท้าย

ต่อสู้นองเลือดมาตลอดทาง ฝั่งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุสูญเสียยอดฝีมือไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งด้วยเงื้อมมือของเจ้าสำนักยมบาล

ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์เป็นผู้ที่ไม่อาจต้านทานได้

ข้างหลังเจ้าสำนักยมบาล ทหารสวมชุดเกราะกรูเข้ามาราวคลื่น อาวุธมากมาย ธนูดุจห่าฝน จัดการล้อมยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์ห้าสิบคนและหอบวงสรวงหลักเอาไว้เป็นชั้นๆ หลังจากต่อสู้สังหาร โรงฝึกยุทธ์พลังพายุเหลืออยู่แค่สี่สิบกว่าคนสุดท้ายกำลังล่าถอยไปอารักขาหอบวงสรวง

ทหารชุดเกราะแน่นขนัด ทหารชุดเกราะหนักอยู่ข้างหน้า ทหารคุมหน้าไม้ยิงหินอยู่ข้างหลัง โจมตีหอบวงสรวงหลักอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ราวกับคลื่นน้ำโหมซัดใส่ก้อนหิน

“สังหารให้หมด ไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว”

เสียงของเจ้าสำนักยมบาลเหี้ยมโหดเย็นชาเหมือนเสียงที่มาจากนรก เมื่อร่างของเขากะพริบวูบ ยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์พลังพายุคนหนึ่งก็กระอักเลือดกระเด็นออกไป

“ลุงเฉา…” เทพพยากรณ์ซัดฝ่ามือ ลูกคิดสิบหกเม็ดพุ่งไปยังเจ้าสำนักยมบาลอย่างบ้าคลั่ง ส่วนตัวเองนั้นพุ่งไปราวภูตผี รับลุงเฉาที่กระอักเลือดเอาไว้ และใช้พลังฝ่ามือสายหนึ่งปัดธนูเจาะเกราะทิ้งไป

“เฮอะ” เจ้าสำนักยมบาลแค่ปัดมือ ปราณแท้เหมันต์ยมโลกสีฟ้าเย็นเยือกก็หอบม้วนลูกคิดทั้งสิบหกลูกกลับคืนไปดุจวาฬตัวมหึมาในมหาสมุทรลึก พลังนี้รวดเร็วยิ่งกว่า ยิงไปยังเทพพยากรณ์และลุงเฉาที่ยังไม่ถึงพื้นราวอุกกาบาต

“แย่แล้ว”

เหล่าต่ง พ่อครัว ยายผีและคนอื่นๆ ล้วนถูกยอดฝีมือหน่วยลาดตระเวนตรึงกำลังเอาไว้ ถึงเห็นอยู่กับตาแต่ไม่อาจช่วยเหลือได้

ในตอนนี้เอง…

ครืน!

ประตูหลักของหอบวงสรวงเปิดออกกว้าง

ตราหมัดทองโจมตีมายังปราณแท้เหมันต์ยมโลก ทำลายมันแหลกละเอียดไปพร้อมกับลูกคิดที่อยู่ด้านใน

“หืม?”

ใบหน้าราวผีดิบของเจ้าสำนักยมบาลฉายแววตกใจ

เขาโบกมือ

ทหารชุดเกราะด้านหลังล้วนหยุดการโจมตี ยอดฝีมือหน่วยลาดตระเวนต่างพากันถอยไป

เห็นสาวงามเรือนร่างอรชรผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูใหญ่อย่างช้าเนิบ นางสวมเกราะอ่อนทั้งร่าง สง่างามผ่าเผย แขนทั้งสองสวมนวมใหญ่สีทองเอาไว้ ดูแล้วไม่สมดุลอย่างยิ่ง แต่กลับมีพลังที่ยากบรรยายอย่างหนึ่ง เหมือนว่าหมัดหนึ่งชกออกมาก็สามารถบดขยี้ทุกสิ่งได้

“ลูกพี่…”

“หัวหน้า”

คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเช็ดเลือด พากันถอยหลังไป

สตรีร่างเล็กใจนักเลงคนนี้ แน่นอนว่าเป็นหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ถานเยี่ยนจือนั่นเอง

“พี่น้องทุกท่าน ครั้งนี้ข้าทำให้พวกท่านเดือดร้อนแล้ว” ถานเยี่ยนจือประสานมือ นวมทองกระทบกันส่งเสียงก้องกังวาน แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองและพลังประหลาดบางอย่าง ทำให้คนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ล้วนใจสั่น

“ฮ่าๆ ลูกพี่อย่าพูดแบบนี้…”

“นับจากวันที่ก้าวเข้ามาในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมเป็นร่วมตายกับหัวหน้าแล้ว”

“ลูกพี่ ท่านทำเพื่อช่วยทายาทของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ พวกข้าจอมยุทธ์ไยจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้?”

“ต้องต่อสู้ ถึงจะเป็นชีวิตที่ข้าเฝ้าปรารถนา”

ยอดฝีมือโรงฝึกยุทธ์พลังพายุพูดเสียงดัง ไม่กล่าวโทษถานเยี่ยนจือ

หลายปีมานี้ สตรีร่างเล็กคนนี้แบกรับความกดดันจากภายนอกมามากนัก พวกเขาเหล่านี้ถึงได้มีชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ที่นี่ ไม่ต้องถูกศัตรูไล่สังหาร ความรู้สึกของทุกคนเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน ต้องยอมรับว่าสตรีอ้อนแอ้นอรชรผู้นี้มีเสน่ห์ประหลาดเฉพาะตัว ทำให้ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งได้

“พี่น้องทุกท่าน วันนี้พวกเรามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน”

ถานเยี่ยนจือกระตุ้นกำลังภายใน นวมทองเริ่มกะพริบแสงประหลาด แสงสีทองชั้นหนึ่งกระจายมาตามแขน ปกคลุมนางเอาไว้ทั้งตัว โล่แสงคุ้มกายลายดาวที่ราวกับวัตถุจริงลอยอยู่รอบกาย รอบๆ เท้ามีโล่แสงลายดาวสีทองสี่สายหมุนวนอยู่ ยิ่งขับเน้นให้นางหมือนเทพแห่งสงครามสีทองก็ไม่ปาน

พลังของนางพุ่งถึงจุดสูงสุดของขั้นฟ้าประทานทันที

ตูม!

ถานเยี่ยนจือชกหนึ่งหมัดออกไป

ตราหมัดสีทองอันมหึมาพุ่งแหวกท้องฟ้า

กลางอากาศมีลมกระโชกหอบม้วน สายฟ้าฟาดกระหน่ำ

เจ้าสำนักยมบาลหรี่ตาลง ยกมือผลักออกไป ปราณแท้เหมันต์ยมโลกถาโถมดุจเกลียวคลื่น ภายในคลื่นมีมือยักษ์ปรากฏขึ้นต้านรับตราหมัดเอาไว้แล้วสลายมันไป

“เกราะเทพสงคราม?” เขาจ้องถานเยี่ยนจือ สายตาฉายแววละโมบ “นวมทองในมือเจ้า เป็นส่วนนวมของ ‘เกราะเทพสงคราม’ รึ?”

“ไปถามมารดาเจ้าดูสิ” ถานเยี่ยนจือหัวเราะเสียงเย็น กระตุ้นนวมทองแล้วชกออกไปทันที

จิตสังหารเอ่อล้นในดวงตาของเจ้าสำนักยมบาล “พลังของเจ้าอ่อนแอเกินไป ต่อให้มีนวมของ ‘เกราะเทพสงคราม’ อยู่ในมือ ก็ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้…ฆ่าเจ้าแล้ว นวมทองตกอยู่ในมือของข้า ข้าย่อมได้รู้ทุกสิ่ง”

การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที

ถานเยี่ยนจือกระตุ้นนวมทองสุดกำลัง พลังเพิ่มขึ้นไม่หยุด กำลังรบแข็งแกร่งกว่าปกติไม่รู้กี่เท่า ใกล้เคียงกับผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ตราหมัดสีทองที่ชกออกมาสบายๆ ล้วนมีอานุภาพเคลื่อนย้ายขุนเขา และขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขั้นฟ้าประทาน พลังหมัดดั่งคลื่นคลั่งปั่นป่วนบีบจนทหารชุดเกราะหน่วยลาดตระเวนที่อยู่รอบๆ ต้องพากันล่าถอย

เจ้าสำนักยมบาลกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับราวศิลา ทุกกระบวนท่าล้วนรวดเร็ว ทำลายการโจมตีที่ถี่กระชั้นและรุนแรงแต่ละท่าลง ทั้งยังเยือกเย็นเป็นที่สุด ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นวมทองตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังสังเกตวิธีใช้งาน

สุดท้าย ถานเยี่ยนจือพ่ายแพ้ล่าถอย

พละกำลังของขั้นเหนือมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นฟ้าประทานสูงสุดจะสู้ได้

พลังที่เจ้าสำนักยมบาลควบคุมมีกำลังรบทรงอานุภาพ แข็งแกร่งกว่า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่ามาก ถึงแม้ถานเยี่ยนจือจะสำแดงท่าไม้ตายสุดยอดติดกันหลายกระบวนท่า เจ้าสำนักยมบาลก็ต้านทานไว้และสลายทิ้งไปได้

“พอแค่นี้แหละ”

ความอดทนของเจ้าสำนักยมบาลหมดสิ้นลง

เขาเตรียมออกคำสั่งฆ่าล้างสังหาร

ตอนนี้เอง ถังฮูหยินเดินออกมาช้าๆ จากในหอบวงสรวงหลัก มือซ้ายของนางจูงมือลูกสาวคนโตถังถัง มือขวาอุ้มลูกสาวคนเล็กถังมี่ สีหน้าซีดขาว สายตาที่กวาดมองคนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุฉายแววลุแก่โทษ นางทำความเคารพ จากนั้นจึงมาหยุดอยู่หน้าพวกเจ้าสำนักยมบาล “พวกเจ้ามาจับพวกเราแม่ลูก พาตัวพวกเราไปเถอะ แล้วปล่อยคนโรงฝึกยุทธ์พลังพายุไป…”

สีหน้าของเจ้าสำนักยมบาลไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

สตรีผู้ไร้เดียงสาเอ๋ย

“พรรคพวกสกุลถังสมควรตายทั้งหมด” เขาพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “องค์ชายสองบัญชาลงมา ให้สังหารคนโรงฝึกยุทธ์พลังพายุไม่ให้เหลือ จะโทษก็ต้องโทษว่าเจ้าไม่ควรมาที่นี่…ลงมือ…”

……

สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินและองค์หญิงฉินเจินที่พรางตัวอยู่ในโถงใหญ่เตรียมตัวสู้ศึกสุดท้าย

มือขององค์หญิงฉินเจินถือกระบี่ยาว กำลังภายในในร่างโคจรช้าๆ พลางเก็บกลิ่นอายเอาไว้

ในยามที่นางจะทำเหมือนกับที่หารือกับถานเยี่ยนจือเอาไว้ คือชักกระบี่ออกท่าโจมตีสังหารที่แข็งแกร่งที่สุด พยายามสังหารหรือไม่ก็ทำร้ายให้เจ้าสำนักยมบาลบาดเจ็บสาหัส จากนั้นทุกคนก็อาศัยโอกาสนั้นฝ่าออกไป จู่ๆ ก็มีฝ่ามือหนึ่งแตะบนไหล่ของนาง

“เจ้าลงมือ ก็ไม่ใช่คู่มือของมัน” เสียงผู้ชายอ่อนโยนดังลอยมา

นี่ไม่ใช่เสียงของสุภาพบุรุษวาโยหวางเฉิน

ในโถงใหญ่มีบุรุษเพิ่มมาอีกคนตั้งแต่เมื่อใดกัน?

ฉินเจินตกใจนัก

นางชักดาบหมุนตัวไปโดยสัญชาตญาณ ทว่ากระบี่กลับชักไม่ออก หมุนตัวก็หมุนไม่ได้

ฝ่ามือที่แตะอยู่บนไหล่นางมีพลังประหลาด เหมือนสะกดนางเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าเป็นใคร?” ฉินเจินถามอย่างทั้งตกใจทั้งโกรธกริ้ว

ได้ยินเสียงของชายคนนั้นพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เรื่องข้างนอกให้ข้าจัดการเถอะ”

……

“ท่านลุงๆ มี่เอ๋อร์ให้ถังหูลู่ท่านลูกหนึ่ง ท่านอย่าฆ่าคนอีกเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” ถังมี่ผู้ไร้เดียงสาเอ่ยขึ้น เสียงอ้อแอ้ฟังแล้วชวนให้คนใจหวั่นไหว มือที่ถือถังหูลู่อยู่ยื่นออกไปช้าๆ เหมือนว่ากำลังมอบของวิเศษที่ล้ำค่าสุดในโลกให้

เจ้าสำนักยมบาลที่แต่เดิมจะเริ่มสั่งการสังหารตะลึงไปนิด

ใบหน้าราวผีดิบฉายคลื่นอารมณ์บางๆ

“ท่านลุง ไม่อย่างนั้นที่เหลืออยู่สองสามลูก ข้าให้ท่านหมดเลยดีหรือไม่? มี่เอ๋อร์ไม่เอาแล้ว…” เด็กน้อยพยายามออดอ้อนคนข้างหน้า นางที่ไร้เดียงสาไม่รู้ว่าสถานการณ์อันตรายเพียงใด เพียงเอ่ยโน้มน้าวไปโดยไม่รู้ตัว สำหรับนาง ตัวเองได้มอบสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดออกไปแล้ว

“หึๆ…” เจ้าสำนักยมบาลแค่นหัวเราะ “ไร้สาระ ถังหูลู่กระจอกๆ ลูกเดียว…”

ยังพูดไม่ทันจบ

เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากโถงใหญ่ “แม่นางน้อย เอาถังหูลู่ให้ข้า แล้วข้าจะช่วยเจ้าจัดการคนชั่วนั่นดีหรือไม่?” เสียงนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก ทรงเสน่ห์ น่าดึงดูดใจ ทำให้ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนสายลมยามวสันต์

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+