จอมศาสตราพลิกดารา 251 ท่านคือหลี่มู่?

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 251 ท่านคือหลี่มู่? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทำตามข้ารอด ขัดใจข้าตาย” ท่าทีของเฮ่ออวิ๋นหยิ่งผยอง ประกาศกร้าวขึ้นอย่างไม่ให้มีข้อโต้แย้ง “พวกเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

เหล่าศิษย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ทั้งโกรธและเกลียดชังถึงที่สุด

“สู้กับมันเลย”

“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่หนีไปจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์”

“นอกจากจะข้ามศพของพวกเราไปเสียก่อน”

ศิษย์ของสำนักจำนวนมาก เมื่อได้ยินก็รีบล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

รอบๆ ประตูใหญ่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ อัดแน่นไปด้วยศิษย์กว่าพันชีวิต

มีศิษย์บางคนรายงานกับทางการไปแล้ว แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ นอกจากบรรดาคนที่เข้ามามุงด้านนอก กลับไม่มีทหารจากทางการปรากฏตัวขึ้นมาเลย กระทั่งพวกหน่วยลาดตระเวนที่วันๆ เดินตรวจตรากว่าสิบรอบ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเช่นกัน

ทุกคนในนี้ล้วนโกรธแค้น บรรดาศิษย์ของสำนักที่บาดเจ็บหนักถูกนำตัวไปรักษา

ส่วนพวกเฮ่ออวิ๋นเสียงถูกล้อมอยู่ใจกลางวง

ศิษย์บางส่วนจากสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่ตามมาด้วย ในตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ

แต่ยอดฝีมือจากสำนักดับนิวรณ์ที่มาด้วยกันกับเฮ่ออวิ๋นเสียงกลับแสยะยิ้มเย็นชา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายที่อันตรายเคล้ากลิ่นคาวเลือดออกมา ลูกศิษย์อ่อนหัดพวกนี้ ในสายตาของพวกเขาทั้งอ่อนแอและน่าสงสาร ราวกับสุนัขหรือไก่ก็มิปาน

“ผู้เฒ่าชวี ตอนนี้ข้ากำลังรอประโยคหนึ่งจากเจ้าอยู่ จะยอมแต่โดยดี หรือจะจากไป?” เฮ่ออวิ๋นส่งเสียงบีบบังคับ

เขาไม่ได้เห็นลูกศิษย์ฐานะยากจนพวกนี้ในสายตาเลย หากไม่ใช่เพราะอยู่ภายใต้สายตาของคนมากมาย ก่อเรื่องมากไปไม่ดีนัก เกรงว่าเขาคงจับเจ้าพวกหัวแข็งบางส่วนมาสังหารทิ้งเสียแต่แรก และเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว ทว่าพวกนี้ก็แค่โคลนตม ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่มีใครหนุนหลัง หากตายก็ตายเปล่า

“พวกเราไม่ยอม ไม่มีทางหนีแน่นอน” เหลยอินอินชิงตอบขึ้นมา

“เหอะๆ…” เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ้มอย่างเวทนา

สายตาของเขาจับจ้องไปบนร่างเด็กสาวที่คอยต่อปากต่อคำกับตัวเอง ตอนแรกยังไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่เพียงครู่เดียว เขาก็ราวกับพบอะไร จึงค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาที่คมกริบราวกริชสองเล่มประหนึ่งจะกระชากเสื้อผ้าบนตัวของเหลยอินอินออกเพื่อจะดูให้ชัดๆ

“เจ้า…เจ้ามองอะไรของเจ้ากัน?” เหลยอินอินรู้สึกได้ถึงสายตาคุกคามอย่างโจ่งแจ้งของอีกฝ่าย

เด็กสาวที่มาจากสถานที่ยากจนคนนี้ ขณะพูดน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ความแข็งกร้าวดุดันของฝ่ายตรงข้าม แทบใช้พลังของคนคนเดียวจัดการยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ได้ จึงทำให้นางหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเสียมิได้ มีเพียงความยุติธรรมและศรัทธาในใจเท่านั้นที่ทำให้นางกล้าเข้าเผชิญหน้า

“เจ้าคนชั้นต่ำ ศิษย์พี่เฮ่อของเราเห็นดีในตัวเจ้า เป็นบุญแค่ไหนแล้ว…” ศิษย์หญิงสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่แต่งหน้าฉูดฉาด และพูดยุแหย่มาหลายครั้งก่อนหน้า เมื่อได้ยินก็รีบเข้ามาโอ้อวด ตัวแทบจะติดกับเฮ่ออวิ๋นเสียงอยู่แล้ว

เฮ่ออวิ๋นเสียงกลับไม่สนใจศิษย์หญิงคนนี้

สองตาของเขาจ้องเขม็งที่เหลยอินอิน “อา สมบูรณ์แบบ นี่เป็นหลูติ่ง[1]ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในบ่อดินเลนเช่นนี้ จะมีหลูติ่งที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้อยู่…” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ยอดฝีมือจากสำนักดับนิวรณ์หลายคนที่ตามเขาอยู่ด้านหลัง เหมือนกับโดนเฮ่ออวิ๋นเสียงทักขึ้นมา จึงหันไปสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง สองตาเป็นประกายกันเป็นแถบ

จริงดังว่า สาวน้อยตรงหน้าคนนี้แม้รูปร่างไม่ได้สูงโปร่ง แต่สัดส่วนเรือนกายกลับน่าพึงพอใจนัก สองขาเรียวยาว ใบหน้ามีประกายสดใสบางๆ ซ่อนอยู่ หน้าผากกลมเกลี้ยง คางกลมได้รูป โดยเฉพาะเม็ดไฝสีแดงจางๆ ที่มุมปากขวา นี่เป็นสุดยอดหลูติ่งที่บันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์หมื่นโฉมเฉิดฉาย’ เลยทีเดียว

เพียงครู่เดียว ยอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์หลายคนอดตาร้อนผ่าวไม่ได้

วิชาลับของสำนักดับนิวรณ์มีอยู่มากมาย แต่ที่ถือเป็นสุดยอดเฉพาะก็คือ ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’

การฝึกฝนวิชาเทพนี้จำเป็นต้องปรับสมดุลหยินและหยาง ถึงจะสามารถขึ้นสู่ขั้นสูงสุดได้

สำหรับศิษย์ชายของสำนักดับนิวรณ์แล้ว มีเพียงพลังหยางนั้นไม่พอ จะต้องหาหลูติ่งที่เหมาะสมกับตนเองสักคน จากนั้นชุบเลี้ยง สังเวยสิ่งของ สละพลัง คอยซึมซับเอาพลังหยินของหลูติ่งอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถบรรลุขั้นสุดยอดของวิชานี้

แต่ส่วนใหญ่จะฝึกฝนได้จนถึงขั้นไหน ไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์ จังหวะ และความพยายามของตนเท่านั้น แต่อยู่ที่ระดับของหลูติ่งด้วย หลูติ่งที่ดี สามารถทำให้ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการฝึก ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’ เพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า และเข้าขั้นได้อย่างรวดเร็วยิ่ง

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักดับนิวรณ์รุ่นปัจจุบัน เพราะมีหลูติ่งชั้นยอดสี่คนอยู่ข้างกาย จึงสามารถฝึกฝน ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’ สิบสองขั้นไปได้ถึงสิบขั้น ในบรรดาขั้นเทวะลงไปพูดได้ว่าไร้เทียมทาน สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ

หลูติ่งชั้นยอด มักพบได้แต่ไม่ได้มาโดยง่าย

ไม่คิดเลยว่าวันนี้กลับมาพบหนึ่งนางในสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เล็กๆ แห่งนี้

“เจ้าชื่ออะไร?” สายตาของเฮ่ออวิ๋นเสียงเต็มไปด้วยความโลภ

เจ้าสำนักบัณฑิตชวีถึงแม้จะไม่รู้จักวิชาลับของสำนักดับนิวรณ์ แต่จากคำว่า ‘หลูติ่ง’ ก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว เขากำลังจะอ้าปากห้าม กลับได้ยินเสียงแข็งกร้าวของเหลยอินอินดังขึ้นว่า “ข้าเหลยอินอินแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์…ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จะไม่ยอมไปจากสำนักแห่งนี้”

“เหลยอินอิน? ฮ่าๆ ดีมาก” ดวงตาเฮ่ออวิ๋นเสียงร้อนผ่าว เอ่ยต่อว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ฟังข้าอย่างว่านอนสอนง่าย สยบต่อข้าเสีย จงยกข้าเป็นนาย และใช้ทั้งชีวิตของเจ้าคอยรับใช้ข้า เข้าใจหรือยัง?”

“ฝันไปเถอะ” เหลยอินอินตะคอกกลับ “เจ้านับเป็นตัวอะไรได้ คิดว่าตนเองเป็นหลี่มู่หรือ?” เด็กสาวประกาศชื่อบุคคลที่ตนเลื่อมใสออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เหอะๆ หลี่มู่? ก็แค่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น…เชื่อข้าสิ แม่นาง ไม่ช้าเจ้าก็จะยอมสยบแก่ข้า” เฮ่ออวิ๋นเสียงร่างไหววูบ ยื่นมือไปทางเหลยอินอินทันที กำลังภายในกระเพื่อมไหว กดดันจนหายใจติดขัด

เขาเตรียมที่จะจับนางกลับไป แล้วค่อยๆ สอนสั่ง

สำนักดับนิวรณ์มีวิธีขัดเกลาหลูติ่งโดยเฉพาะอยู่

“เจ้า…” เหลยอินอินคิดต่อต้าน อยากจะหลบหลีก

แต่ภายใต้แรงกดดันทรงพลังของอีกฝ่ายที่ยึดเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่ถลึงตามองมือใหญ่ของเฮ่ออวิ๋นเสียงตรงเข้ามาคว้าต้นคอตนเอง

“หยุดเดี๋ยวนี้” เจ้าสำนักชวีเห็นท่าไม่ดี จึงใช้พลังทั้งหมดที่เหลือส่งฝ่ามือออกไปโดยไม่สนอาการบาดเจ็บของตน

ตูม!

คลื่นพลังสั่นสะเทือน

“อ๊าก…” เจ้าสำนักชวีร้องลั่น กระอักเลือดออกมา ร่างถูกกระแทกปลิวออกไป

“อาจารย์…”

“ท่านเจ้าสำนัก…”

บรรดาศิษย์สำนักเสียงวิหคสวรรค์ร้องตกใจ รีบพุ่งเข้าไปพยุง

“ไม่มีใครขวางข้าได้” เฮ่ออวิ๋นเสียงมั่นใจในตนเองมาก เหิมเกริมยิ่งนัก เขาแสยะยิ้มเย็น จากนั้นยื่นมือมาอีกครั้ง ขอบเขตกำลังภายในแผ่ออกไปยึดเหลยอินอิน ก่อนเอื้อมมือคว้าโดยไม่มีใครหยุดยั้งได้

เหลยอินอินถูกกำลังภายในกดไว้ทั้งตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้

ในพริบตาที่นางกำลังจะตกสู่เงื้อมมือเฮ่ออวิ๋นเสียง จู่ๆ การเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนนึกไม่ถึงก็บังเกิดขึ้นอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือน

“ย้าก…”

เสียงแหลมลากยาวเสียงหนึ่ง ดังแว่วมาจากบนฟากฟ้า

จากนั้น บนอากาศมีลูกไฟยาวดุจดาวหางลูกหนึ่งแหวกฟ้าเป็นทางยาว เปลวไฟลุกโชน กำลังพุ่งตรงมายังประตูใหญ่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติได้ เสียงตูมก็ดังสนั่น เงาคนผู้หนึ่งร่วงตรงแน่วลงมา กระแทกลงตรงกลางฝูงชนด้านล่างพอดี

เศษหินเศษดินปลิวว่อน ฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่ว

หลุมใหญ่ขนาดลึกกว่าสองจั้งปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

เกิดอะไรขึ้น?

เมื่อเศษฝุ่นจางลง

เงาคนร่างหนึ่งซมซานปีนออกมาจากหลุม โซซัดโซเซราวกับเมาสุรา พูดงึมงำกับตนเองว่า “ให้ตายเถอะ เร็วมากเกินไปหน่อย ค่ายกลในกระบี่พังหมดแล้ว อุบัติเหตุการบินชัดๆ เลย บ้าเอ๊ย ก้นข้าแหลกหมดแล้ว…มึนหัวจัง นี่มันที่ไหนกัน?”

ร่างนี้สูงยาว โครงร่างชายชาตรี แต่ทั้งเนื้อตัวบนล่างเหมือนกับลิงถูกไฟเผา เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยไหม้ ลมพัดมาก็ปลิวกระจายไปหมด เผยให้เห็นมัดกล้ามกำยำ ที่ถูกรมควันจนเป็นสีดำอ่อนๆ ผมเขาสั้น แต่ใบหน้ากลับไม่มีฝุ่นดินเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย เครื่องหน้าเหลี่ยมมุมชัดเจน ดวงตาดุจดวงดาว กลางหน้าผากมีความองอาจที่ยากจะเอ่ย

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องร่างคนประหลาดที่เพิ่งหล่นลงมาจากฟ้า

คนประหลาดใช้สองมือลูบใบหน้า ท่าทางเหมือนยังหวาดกลัวไม่หาย “ยังดีที่ปกป้องส่วนหน้าไว้สุดชีวิต ใบหน้าหล่อเหลานี่ถึงยังปลอดภัยดี…”

หลังจากนั้น เขากวาดตามองรอบๆ และสะดุ้งตกใจเมื่อพบว่ารอบตัวมีคนเต็มไปหมด “เวรเอ้ย ชื่อเสียงของข้า ทำไมถึงได้มีคนมามุงดูกันไวขนาดนี้…” ว่าแล้วก็รีบใช้สองมือคว้าฝุ่นขึ้นมาละเลงใบหน้า หมุนตัวตั้งท่าจะหนี

เหลยอินอินพลันเอ่ยขึ้น “ท่าน…ท่านคือคุณชายหลี่มู่?”

“อ๊า ไม่ใช่ๆ เจ้าจำคนผิดแล้ว…” คนประหลาดใช้สองมือบังหน้า รีบหมุนตัวเดินหนี

มารดามันเถอะ เป็นไปได้อย่างไร แบบนี้ก็โดนคนจำได้หรือ?

คนเรากลัวการมีชื่อเหมือนหมูกลัวอ้วนจริงๆ สินะ?

“ท่านคือคุณชายหลี่มู่ ข้าจำท่านได้…” ในฐานะที่เป็นสาวกของหลี่มู่ เหลยอินอินคนนี้ลืมสถานการณ์ของตนจนหมดสิ้น ดีใจจนกระโดดออกมา

“ตายละ เจ้าจำข้าได้อย่างไร…เอ๋ เจ้าเองหรือ?”

หลี่มู่เดิมทีคิดจะหนี เพราะการปรากฏตัวเช่นนี้มันโง่เง่าเกินไป เขาน่าจะเป็นคนแรกที่ฝึกวิชากระบี่เหินหาวพลาดแล้วเกือบตกลงมาตาย…ถ้าหากเขาไม่ได้ฝึกฝน ‘หมัดยุทธ์แท้’ และมีร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แต่เป็นพวกเซียนกระบี่ธรรมดาละก็ ยามนี้แหลกเละไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ว่า หลังจากที่เขาเห็นเหลยอินอินก็อดหยุดฝีเท้าลงไม่ได้

เขาจำสาวน้อยคนนี้ได้แล้ว ศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ครั้งนั้น เด็กคนนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตน

ในเมื่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ ก็ไม่ต้องสนเรื่องปล่อยไก่ต่อหน้านางแล้วสิ…สำหรับแฟนคลับแล้ว ไอดอลจะทำอะไรก็เหมือนแสงสว่างทั้งหมดนั่นแล

“คุณชายหลี่ ท่านยังจำข้าได้?” เหลยอินอินเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

“จำได้อยู่แล้ว เจ้าคืออินอินไง…” หลี่มู่หัวเราะแหะๆ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บังเอิญจริงๆ เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่? เอ๋? เจ้าสำนักชวีก็อยู่ด้วยหรือ? นี่ท่านถูกคนชกมาหรือ? แขนถึงหักร่องแร่งแบบนี้…แก่ปูนนี้แล้ว น่าจะบันยะบันยังบ้าง ยังไปทะเลาะกับพวกเด็กน้อยอยู่อีก”

เจ้าสำนักบัณฑิตชวีเหงื่อผุดกลางหน้าผาก มุมปากบิดเบี้ยว พูดอะไรไม่ออก

หลี่มู่หัวเราะคิกคัก กวาดตามองสถานการณ์รอบๆ ถึงได้พบว่าเรื่องราวไม่น่าจะเหมือนที่ตนเองคิดไว้

“คุณชายหลี่เซียนกวีวิถียุทธ์..คุณชายหลี่ได้โปรดมอบความเป็นธรรมให้ด้วย” ศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ตะโกนอ้อนวอนขึ้นทันที ราวกับมองเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง

“เอ่อ…ความเป็นธรรม? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลี่มู่มองไปยังเหลยอินอิน

เหลยอินอินอธิบายเรื่องราวอย่างโกรธแค้นรอบหนึ่ง

“การแข่งขันด้านสถาบันการศึกษาของเมืองฉางอันมันโหดร้ายขนาดนี้เชียว?” หลี่มู่มองไปทางเฮ่ออวิ๋นเสียงอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมองไป เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังฝึกจากคนหนุ่มคนนี้ มันช่างคุ้นเคยนัก จึงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าฝึกวิชาของสำนักดับนิวรณ์? เจ้าเป็นศิษย์สำนักดับนิวรณ์หรือ?”

“เหอะๆ ใช่แล้วจะทำไม?” เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ้มหน้าตาย

พริบตานี้ ในใจของเขามีความคิดมากมายไหลเข้ามา อยากจะถือโอกาสนี้ท้าสู้กับหลี่มู่ แล้วย่ำลงบนศพของอีกฝ่ายเพื่อไปยังจุดที่สูงกว่า แต่เมื่อคิดย้อนไปถึงศึกที่ตรอกไล่หมูก่อนหน้านี้ ยอดผีดิบทั้งสี่แห่งสำนักยมบาลต่างก็พ่ายแล้ว ตนเองน่าจะไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่แน่ๆ ก็เลยเลือกวิธีไม่ลงมือดีกว่า ปั้นท่าวางมาด เชิดหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นถึงศิษย์ของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ผู้อาวุโสจากสาขาหลัก…”

พูดยังไม่ทันขาดคำ หลี่มู่ก็ขัดขึ้นทันที

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า” หลี่มู่หันไปพูดกับเหลยอินอิน

“หา?” เหลยอินอินมึนงง

นางเห็นหลี่มู่ผิวปาก

กระบี่ผุๆ พังๆ เล่มหนึ่งลอบลอยขึ้นมาจากหลุมใหญ่บนพื้นก่อนหน้า แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไปดุจสายฟ้า จากนั้นพุ่งตรงเข้าฟาดท้ายทอยของเฮ่ออวิ๋นเสียงที่กำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลี่มู่ตรงๆ

พลั่ก!

เสียงเหล็กกระทบลั่น ศิษย์ฟ้าประทานขั้นต้นของสำนักดับนิวรณ์คนนี้ตาเหลือก น้ำลายแตกฟอง โซไปเซมา ก่อนล้มตุบลงกับพื้น

“ช่วงหลายเดือนนี้ ผู้ที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนจากสำนักดับนิวรณ์นี่แหละ”

หลี่มู่ขยับวูบราวผี คว้าผมของเฮ่ออวิ๋นเสียงที่ถูกดูแลมาเป็นอย่างดี แล้วฉุดกระชากบินทะยานขึ้นฟ้าไปทางเรือนซอมซ่อ

เวลาเดียวกัน เสียงของเขาดังแว่วกลับมาแต่ไกล “พวกเจ้าที่เหลือ ถ้าหากยังกล้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีกละก็…”

ฟิ้ว!

แสงกระบี่เส้นหนึ่งวูบวาบ

ยอดฝีมือที่เหลือของสำนักดับนิวรณ์ยังไม่ทันตั้งสติ ก็ต่างรู้สึกเย็นวาบเหนือศีรษะ จากนั้นผมกระจุกหนึ่งปลิวลอยลงมา กลางกระหม่อมพวกเขาปรากฏผิวล้านเลี่ยนกว้างขนาดหนึ่งนิ้วมือขึ้น

“มิเช่นนั่น เส้นผมเหล่านี้จะกลายเป็นจุดจบของพวกเจ้า”

เสียงแว่วของหลี่มู่ดังมาจากที่ไกลๆ

พวกยอดฝีมือที่เหิมเกริมเมื่อสักครู่รีบหมุนตัวหนี ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา

ทักษะกระบี่ของหลี่มู่ สูงส่งราวเทพเจ้า

กระบี่เหินหาวพิฆาตศัตรู นี่คือวิชาเซียนในตำนานเลยทีเดียว

เมื่อหลี่มู่และคนสำนักดับนิวรณ์หายไปทั้งหมด คนสำนักเสียงวิหคสวรรค์รู้สึกราวกับฝันไป

เรื่องราวพลิกกลับกะทันหันเกินไป เดิมทีคิดว่าเป็นสถานการณ์ราวฟ้าถล่มลงมา ศิษย์สำนักเสียงวิหคสวรรค์จำนวนมากเตรียมตัวที่จะรับความตายกันแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของสำนักดับนิวรณ์ กลับกลายเป็นหัวเสือหางงูหลังจากการปรากฏตัวอันน่าตกตะลึงของหลี่มู่ เฮ่ออวิ๋นเสียงที่ดุดันโหดเหี้ยมจนคนฟันสั่นกระทบกัน ก็ถูกหลี่มู่จู่โจมโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว และโดนลากไปแล้ว…

เรื่องอันตราย ถูกขจัดหายไปด้วยวิธีการน่าตะลึงระคนขบขันเช่นนี้เอง

บรรดาศิษย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ต่างถอนใจโล่งอก

 เหลยอินอินกลับครุ่นคิดด้วยความสงสัย ทำไมตอนท้ายหลี่มู่จึงต้องลากเฮ่ออวิ๋นเสียงกลับไปด้วย?

…….

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา

“เจ้าผียาจกนี่…พวกเจ้าสำนักดับนิวรณ์มันจนกันขนาดนี้เลยหรือ?”

เสียงเหนื่อยหน่ายของหลี่มู่ลอยออกมาจากเขตเรือนซอมซ่อ

จากนั้นเขาก็โยนตัวเฮ่ออวิ๋นเสียงออกมาจากเรือนด้วยความโมโห

เป็นศิษย์สำนักใหญ่เหมือนกัน แต่พอเทียบกับฉู่หนานเทียนที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ สิ่งของในถุงสมบัติของเฮ่ออวิ๋นเสียงทำเอาหลี่มู่ไม่พอใจมาก หลังจากรื้อค้นจนหมดแล้วจึงโยนทิ้งออกไปนอกเขตเรือน

“เจ้าจนขนาดนี้ ยังกล้าวิ่งไปอวดดีที่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีก เจ้าว่าเจ้าใช้ได้ที่ไหนกัน? ขายขี้หน้าบ้างไหม?”

เสียงซักถามอันกราดเกรี้ยวของหลี่มู่แว่วออกมาจากด้านใน

แต่เฮ่ออวิ๋นเสียงไม่แม้แต่จะพูด ริมฝีปากสั่นเทา ใบหน้าเขียวคล้ำ เขาห่อตัวด้วยชุดคลุมยาว นึกโทษบิดามารดาที่ให้ขามาน้อยตอนเกิด จากนั้นเผ่นแนบออกมาจากตรอกไล่หมูไม่ต่างกับบิน

……………………………….

[1] หลูติ่ง คือสตรีเพศพลังหยินที่มีไว้เพื่อฝึกปราณคู่กับชายพลังหยาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 251 ท่านคือหลี่มู่?

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 251 ท่านคือหลี่มู่? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทำตามข้ารอด ขัดใจข้าตาย” ท่าทีของเฮ่ออวิ๋นหยิ่งผยอง ประกาศกร้าวขึ้นอย่างไม่ให้มีข้อโต้แย้ง “พวกเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

เหล่าศิษย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ทั้งโกรธและเกลียดชังถึงที่สุด

“สู้กับมันเลย”

“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่หนีไปจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์”

“นอกจากจะข้ามศพของพวกเราไปเสียก่อน”

ศิษย์ของสำนักจำนวนมาก เมื่อได้ยินก็รีบล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

รอบๆ ประตูใหญ่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ อัดแน่นไปด้วยศิษย์กว่าพันชีวิต

มีศิษย์บางคนรายงานกับทางการไปแล้ว แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ นอกจากบรรดาคนที่เข้ามามุงด้านนอก กลับไม่มีทหารจากทางการปรากฏตัวขึ้นมาเลย กระทั่งพวกหน่วยลาดตระเวนที่วันๆ เดินตรวจตรากว่าสิบรอบ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเช่นกัน

ทุกคนในนี้ล้วนโกรธแค้น บรรดาศิษย์ของสำนักที่บาดเจ็บหนักถูกนำตัวไปรักษา

ส่วนพวกเฮ่ออวิ๋นเสียงถูกล้อมอยู่ใจกลางวง

ศิษย์บางส่วนจากสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่ตามมาด้วย ในตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ

แต่ยอดฝีมือจากสำนักดับนิวรณ์ที่มาด้วยกันกับเฮ่ออวิ๋นเสียงกลับแสยะยิ้มเย็นชา ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายที่อันตรายเคล้ากลิ่นคาวเลือดออกมา ลูกศิษย์อ่อนหัดพวกนี้ ในสายตาของพวกเขาทั้งอ่อนแอและน่าสงสาร ราวกับสุนัขหรือไก่ก็มิปาน

“ผู้เฒ่าชวี ตอนนี้ข้ากำลังรอประโยคหนึ่งจากเจ้าอยู่ จะยอมแต่โดยดี หรือจะจากไป?” เฮ่ออวิ๋นส่งเสียงบีบบังคับ

เขาไม่ได้เห็นลูกศิษย์ฐานะยากจนพวกนี้ในสายตาเลย หากไม่ใช่เพราะอยู่ภายใต้สายตาของคนมากมาย ก่อเรื่องมากไปไม่ดีนัก เกรงว่าเขาคงจับเจ้าพวกหัวแข็งบางส่วนมาสังหารทิ้งเสียแต่แรก และเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว ทว่าพวกนี้ก็แค่โคลนตม ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่มีใครหนุนหลัง หากตายก็ตายเปล่า

“พวกเราไม่ยอม ไม่มีทางหนีแน่นอน” เหลยอินอินชิงตอบขึ้นมา

“เหอะๆ…” เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ้มอย่างเวทนา

สายตาของเขาจับจ้องไปบนร่างเด็กสาวที่คอยต่อปากต่อคำกับตัวเอง ตอนแรกยังไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่เพียงครู่เดียว เขาก็ราวกับพบอะไร จึงค่อยๆ หรี่ตาลง สายตาที่คมกริบราวกริชสองเล่มประหนึ่งจะกระชากเสื้อผ้าบนตัวของเหลยอินอินออกเพื่อจะดูให้ชัดๆ

“เจ้า…เจ้ามองอะไรของเจ้ากัน?” เหลยอินอินรู้สึกได้ถึงสายตาคุกคามอย่างโจ่งแจ้งของอีกฝ่าย

เด็กสาวที่มาจากสถานที่ยากจนคนนี้ ขณะพูดน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ความแข็งกร้าวดุดันของฝ่ายตรงข้าม แทบใช้พลังของคนคนเดียวจัดการยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ได้ จึงทำให้นางหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเสียมิได้ มีเพียงความยุติธรรมและศรัทธาในใจเท่านั้นที่ทำให้นางกล้าเข้าเผชิญหน้า

“เจ้าคนชั้นต่ำ ศิษย์พี่เฮ่อของเราเห็นดีในตัวเจ้า เป็นบุญแค่ไหนแล้ว…” ศิษย์หญิงสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่แต่งหน้าฉูดฉาด และพูดยุแหย่มาหลายครั้งก่อนหน้า เมื่อได้ยินก็รีบเข้ามาโอ้อวด ตัวแทบจะติดกับเฮ่ออวิ๋นเสียงอยู่แล้ว

เฮ่ออวิ๋นเสียงกลับไม่สนใจศิษย์หญิงคนนี้

สองตาของเขาจ้องเขม็งที่เหลยอินอิน “อา สมบูรณ์แบบ นี่เป็นหลูติ่ง[1]ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในบ่อดินเลนเช่นนี้ จะมีหลูติ่งที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้อยู่…” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ยอดฝีมือจากสำนักดับนิวรณ์หลายคนที่ตามเขาอยู่ด้านหลัง เหมือนกับโดนเฮ่ออวิ๋นเสียงทักขึ้นมา จึงหันไปสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง สองตาเป็นประกายกันเป็นแถบ

จริงดังว่า สาวน้อยตรงหน้าคนนี้แม้รูปร่างไม่ได้สูงโปร่ง แต่สัดส่วนเรือนกายกลับน่าพึงพอใจนัก สองขาเรียวยาว ใบหน้ามีประกายสดใสบางๆ ซ่อนอยู่ หน้าผากกลมเกลี้ยง คางกลมได้รูป โดยเฉพาะเม็ดไฝสีแดงจางๆ ที่มุมปากขวา นี่เป็นสุดยอดหลูติ่งที่บันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์หมื่นโฉมเฉิดฉาย’ เลยทีเดียว

เพียงครู่เดียว ยอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์หลายคนอดตาร้อนผ่าวไม่ได้

วิชาลับของสำนักดับนิวรณ์มีอยู่มากมาย แต่ที่ถือเป็นสุดยอดเฉพาะก็คือ ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’

การฝึกฝนวิชาเทพนี้จำเป็นต้องปรับสมดุลหยินและหยาง ถึงจะสามารถขึ้นสู่ขั้นสูงสุดได้

สำหรับศิษย์ชายของสำนักดับนิวรณ์แล้ว มีเพียงพลังหยางนั้นไม่พอ จะต้องหาหลูติ่งที่เหมาะสมกับตนเองสักคน จากนั้นชุบเลี้ยง สังเวยสิ่งของ สละพลัง คอยซึมซับเอาพลังหยินของหลูติ่งอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถบรรลุขั้นสุดยอดของวิชานี้

แต่ส่วนใหญ่จะฝึกฝนได้จนถึงขั้นไหน ไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์ จังหวะ และความพยายามของตนเท่านั้น แต่อยู่ที่ระดับของหลูติ่งด้วย หลูติ่งที่ดี สามารถทำให้ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการฝึก ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’ เพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า และเข้าขั้นได้อย่างรวดเร็วยิ่ง

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักดับนิวรณ์รุ่นปัจจุบัน เพราะมีหลูติ่งชั้นยอดสี่คนอยู่ข้างกาย จึงสามารถฝึกฝน ‘คัมภีร์สังหารกระบิดกระบวน’ สิบสองขั้นไปได้ถึงสิบขั้น ในบรรดาขั้นเทวะลงไปพูดได้ว่าไร้เทียมทาน สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ

หลูติ่งชั้นยอด มักพบได้แต่ไม่ได้มาโดยง่าย

ไม่คิดเลยว่าวันนี้กลับมาพบหนึ่งนางในสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เล็กๆ แห่งนี้

“เจ้าชื่ออะไร?” สายตาของเฮ่ออวิ๋นเสียงเต็มไปด้วยความโลภ

เจ้าสำนักบัณฑิตชวีถึงแม้จะไม่รู้จักวิชาลับของสำนักดับนิวรณ์ แต่จากคำว่า ‘หลูติ่ง’ ก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว เขากำลังจะอ้าปากห้าม กลับได้ยินเสียงแข็งกร้าวของเหลยอินอินดังขึ้นว่า “ข้าเหลยอินอินแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์…ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จะไม่ยอมไปจากสำนักแห่งนี้”

“เหลยอินอิน? ฮ่าๆ ดีมาก” ดวงตาเฮ่ออวิ๋นเสียงร้อนผ่าว เอ่ยต่อว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ฟังข้าอย่างว่านอนสอนง่าย สยบต่อข้าเสีย จงยกข้าเป็นนาย และใช้ทั้งชีวิตของเจ้าคอยรับใช้ข้า เข้าใจหรือยัง?”

“ฝันไปเถอะ” เหลยอินอินตะคอกกลับ “เจ้านับเป็นตัวอะไรได้ คิดว่าตนเองเป็นหลี่มู่หรือ?” เด็กสาวประกาศชื่อบุคคลที่ตนเลื่อมใสออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เหอะๆ หลี่มู่? ก็แค่แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น…เชื่อข้าสิ แม่นาง ไม่ช้าเจ้าก็จะยอมสยบแก่ข้า” เฮ่ออวิ๋นเสียงร่างไหววูบ ยื่นมือไปทางเหลยอินอินทันที กำลังภายในกระเพื่อมไหว กดดันจนหายใจติดขัด

เขาเตรียมที่จะจับนางกลับไป แล้วค่อยๆ สอนสั่ง

สำนักดับนิวรณ์มีวิธีขัดเกลาหลูติ่งโดยเฉพาะอยู่

“เจ้า…” เหลยอินอินคิดต่อต้าน อยากจะหลบหลีก

แต่ภายใต้แรงกดดันทรงพลังของอีกฝ่ายที่ยึดเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่ถลึงตามองมือใหญ่ของเฮ่ออวิ๋นเสียงตรงเข้ามาคว้าต้นคอตนเอง

“หยุดเดี๋ยวนี้” เจ้าสำนักชวีเห็นท่าไม่ดี จึงใช้พลังทั้งหมดที่เหลือส่งฝ่ามือออกไปโดยไม่สนอาการบาดเจ็บของตน

ตูม!

คลื่นพลังสั่นสะเทือน

“อ๊าก…” เจ้าสำนักชวีร้องลั่น กระอักเลือดออกมา ร่างถูกกระแทกปลิวออกไป

“อาจารย์…”

“ท่านเจ้าสำนัก…”

บรรดาศิษย์สำนักเสียงวิหคสวรรค์ร้องตกใจ รีบพุ่งเข้าไปพยุง

“ไม่มีใครขวางข้าได้” เฮ่ออวิ๋นเสียงมั่นใจในตนเองมาก เหิมเกริมยิ่งนัก เขาแสยะยิ้มเย็น จากนั้นยื่นมือมาอีกครั้ง ขอบเขตกำลังภายในแผ่ออกไปยึดเหลยอินอิน ก่อนเอื้อมมือคว้าโดยไม่มีใครหยุดยั้งได้

เหลยอินอินถูกกำลังภายในกดไว้ทั้งตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้

ในพริบตาที่นางกำลังจะตกสู่เงื้อมมือเฮ่ออวิ๋นเสียง จู่ๆ การเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนนึกไม่ถึงก็บังเกิดขึ้นอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือน

“ย้าก…”

เสียงแหลมลากยาวเสียงหนึ่ง ดังแว่วมาจากบนฟากฟ้า

จากนั้น บนอากาศมีลูกไฟยาวดุจดาวหางลูกหนึ่งแหวกฟ้าเป็นทางยาว เปลวไฟลุกโชน กำลังพุ่งตรงมายังประตูใหญ่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ทุกคนยังไม่ทันตั้งสติได้ เสียงตูมก็ดังสนั่น เงาคนผู้หนึ่งร่วงตรงแน่วลงมา กระแทกลงตรงกลางฝูงชนด้านล่างพอดี

เศษหินเศษดินปลิวว่อน ฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่ว

หลุมใหญ่ขนาดลึกกว่าสองจั้งปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

เกิดอะไรขึ้น?

เมื่อเศษฝุ่นจางลง

เงาคนร่างหนึ่งซมซานปีนออกมาจากหลุม โซซัดโซเซราวกับเมาสุรา พูดงึมงำกับตนเองว่า “ให้ตายเถอะ เร็วมากเกินไปหน่อย ค่ายกลในกระบี่พังหมดแล้ว อุบัติเหตุการบินชัดๆ เลย บ้าเอ๊ย ก้นข้าแหลกหมดแล้ว…มึนหัวจัง นี่มันที่ไหนกัน?”

ร่างนี้สูงยาว โครงร่างชายชาตรี แต่ทั้งเนื้อตัวบนล่างเหมือนกับลิงถูกไฟเผา เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยไหม้ ลมพัดมาก็ปลิวกระจายไปหมด เผยให้เห็นมัดกล้ามกำยำ ที่ถูกรมควันจนเป็นสีดำอ่อนๆ ผมเขาสั้น แต่ใบหน้ากลับไม่มีฝุ่นดินเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย เครื่องหน้าเหลี่ยมมุมชัดเจน ดวงตาดุจดวงดาว กลางหน้าผากมีความองอาจที่ยากจะเอ่ย

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องร่างคนประหลาดที่เพิ่งหล่นลงมาจากฟ้า

คนประหลาดใช้สองมือลูบใบหน้า ท่าทางเหมือนยังหวาดกลัวไม่หาย “ยังดีที่ปกป้องส่วนหน้าไว้สุดชีวิต ใบหน้าหล่อเหลานี่ถึงยังปลอดภัยดี…”

หลังจากนั้น เขากวาดตามองรอบๆ และสะดุ้งตกใจเมื่อพบว่ารอบตัวมีคนเต็มไปหมด “เวรเอ้ย ชื่อเสียงของข้า ทำไมถึงได้มีคนมามุงดูกันไวขนาดนี้…” ว่าแล้วก็รีบใช้สองมือคว้าฝุ่นขึ้นมาละเลงใบหน้า หมุนตัวตั้งท่าจะหนี

เหลยอินอินพลันเอ่ยขึ้น “ท่าน…ท่านคือคุณชายหลี่มู่?”

“อ๊า ไม่ใช่ๆ เจ้าจำคนผิดแล้ว…” คนประหลาดใช้สองมือบังหน้า รีบหมุนตัวเดินหนี

มารดามันเถอะ เป็นไปได้อย่างไร แบบนี้ก็โดนคนจำได้หรือ?

คนเรากลัวการมีชื่อเหมือนหมูกลัวอ้วนจริงๆ สินะ?

“ท่านคือคุณชายหลี่มู่ ข้าจำท่านได้…” ในฐานะที่เป็นสาวกของหลี่มู่ เหลยอินอินคนนี้ลืมสถานการณ์ของตนจนหมดสิ้น ดีใจจนกระโดดออกมา

“ตายละ เจ้าจำข้าได้อย่างไร…เอ๋ เจ้าเองหรือ?”

หลี่มู่เดิมทีคิดจะหนี เพราะการปรากฏตัวเช่นนี้มันโง่เง่าเกินไป เขาน่าจะเป็นคนแรกที่ฝึกวิชากระบี่เหินหาวพลาดแล้วเกือบตกลงมาตาย…ถ้าหากเขาไม่ได้ฝึกฝน ‘หมัดยุทธ์แท้’ และมีร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แต่เป็นพวกเซียนกระบี่ธรรมดาละก็ ยามนี้แหลกเละไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ว่า หลังจากที่เขาเห็นเหลยอินอินก็อดหยุดฝีเท้าลงไม่ได้

เขาจำสาวน้อยคนนี้ได้แล้ว ศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ครั้งนั้น เด็กคนนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตน

ในเมื่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ ก็ไม่ต้องสนเรื่องปล่อยไก่ต่อหน้านางแล้วสิ…สำหรับแฟนคลับแล้ว ไอดอลจะทำอะไรก็เหมือนแสงสว่างทั้งหมดนั่นแล

“คุณชายหลี่ ท่านยังจำข้าได้?” เหลยอินอินเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ

“จำได้อยู่แล้ว เจ้าคืออินอินไง…” หลี่มู่หัวเราะแหะๆ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บังเอิญจริงๆ เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่? เอ๋? เจ้าสำนักชวีก็อยู่ด้วยหรือ? นี่ท่านถูกคนชกมาหรือ? แขนถึงหักร่องแร่งแบบนี้…แก่ปูนนี้แล้ว น่าจะบันยะบันยังบ้าง ยังไปทะเลาะกับพวกเด็กน้อยอยู่อีก”

เจ้าสำนักบัณฑิตชวีเหงื่อผุดกลางหน้าผาก มุมปากบิดเบี้ยว พูดอะไรไม่ออก

หลี่มู่หัวเราะคิกคัก กวาดตามองสถานการณ์รอบๆ ถึงได้พบว่าเรื่องราวไม่น่าจะเหมือนที่ตนเองคิดไว้

“คุณชายหลี่เซียนกวีวิถียุทธ์..คุณชายหลี่ได้โปรดมอบความเป็นธรรมให้ด้วย” ศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ตะโกนอ้อนวอนขึ้นทันที ราวกับมองเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง

“เอ่อ…ความเป็นธรรม? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลี่มู่มองไปยังเหลยอินอิน

เหลยอินอินอธิบายเรื่องราวอย่างโกรธแค้นรอบหนึ่ง

“การแข่งขันด้านสถาบันการศึกษาของเมืองฉางอันมันโหดร้ายขนาดนี้เชียว?” หลี่มู่มองไปทางเฮ่ออวิ๋นเสียงอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อมองไป เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังฝึกจากคนหนุ่มคนนี้ มันช่างคุ้นเคยนัก จึงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าฝึกวิชาของสำนักดับนิวรณ์? เจ้าเป็นศิษย์สำนักดับนิวรณ์หรือ?”

“เหอะๆ ใช่แล้วจะทำไม?” เฮ่ออวิ๋นเสียงยิ้มหน้าตาย

พริบตานี้ ในใจของเขามีความคิดมากมายไหลเข้ามา อยากจะถือโอกาสนี้ท้าสู้กับหลี่มู่ แล้วย่ำลงบนศพของอีกฝ่ายเพื่อไปยังจุดที่สูงกว่า แต่เมื่อคิดย้อนไปถึงศึกที่ตรอกไล่หมูก่อนหน้านี้ ยอดผีดิบทั้งสี่แห่งสำนักยมบาลต่างก็พ่ายแล้ว ตนเองน่าจะไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่แน่ๆ ก็เลยเลือกวิธีไม่ลงมือดีกว่า ปั้นท่าวางมาด เชิดหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเป็นถึงศิษย์ของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ผู้อาวุโสจากสาขาหลัก…”

พูดยังไม่ทันขาดคำ หลี่มู่ก็ขัดขึ้นทันที

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า” หลี่มู่หันไปพูดกับเหลยอินอิน

“หา?” เหลยอินอินมึนงง

นางเห็นหลี่มู่ผิวปาก

กระบี่ผุๆ พังๆ เล่มหนึ่งลอบลอยขึ้นมาจากหลุมใหญ่บนพื้นก่อนหน้า แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกไปดุจสายฟ้า จากนั้นพุ่งตรงเข้าฟาดท้ายทอยของเฮ่ออวิ๋นเสียงที่กำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลี่มู่ตรงๆ

พลั่ก!

เสียงเหล็กกระทบลั่น ศิษย์ฟ้าประทานขั้นต้นของสำนักดับนิวรณ์คนนี้ตาเหลือก น้ำลายแตกฟอง โซไปเซมา ก่อนล้มตุบลงกับพื้น

“ช่วงหลายเดือนนี้ ผู้ที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนจากสำนักดับนิวรณ์นี่แหละ”

หลี่มู่ขยับวูบราวผี คว้าผมของเฮ่ออวิ๋นเสียงที่ถูกดูแลมาเป็นอย่างดี แล้วฉุดกระชากบินทะยานขึ้นฟ้าไปทางเรือนซอมซ่อ

เวลาเดียวกัน เสียงของเขาดังแว่วกลับมาแต่ไกล “พวกเจ้าที่เหลือ ถ้าหากยังกล้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีกละก็…”

ฟิ้ว!

แสงกระบี่เส้นหนึ่งวูบวาบ

ยอดฝีมือที่เหลือของสำนักดับนิวรณ์ยังไม่ทันตั้งสติ ก็ต่างรู้สึกเย็นวาบเหนือศีรษะ จากนั้นผมกระจุกหนึ่งปลิวลอยลงมา กลางกระหม่อมพวกเขาปรากฏผิวล้านเลี่ยนกว้างขนาดหนึ่งนิ้วมือขึ้น

“มิเช่นนั่น เส้นผมเหล่านี้จะกลายเป็นจุดจบของพวกเจ้า”

เสียงแว่วของหลี่มู่ดังมาจากที่ไกลๆ

พวกยอดฝีมือที่เหิมเกริมเมื่อสักครู่รีบหมุนตัวหนี ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา

ทักษะกระบี่ของหลี่มู่ สูงส่งราวเทพเจ้า

กระบี่เหินหาวพิฆาตศัตรู นี่คือวิชาเซียนในตำนานเลยทีเดียว

เมื่อหลี่มู่และคนสำนักดับนิวรณ์หายไปทั้งหมด คนสำนักเสียงวิหคสวรรค์รู้สึกราวกับฝันไป

เรื่องราวพลิกกลับกะทันหันเกินไป เดิมทีคิดว่าเป็นสถานการณ์ราวฟ้าถล่มลงมา ศิษย์สำนักเสียงวิหคสวรรค์จำนวนมากเตรียมตัวที่จะรับความตายกันแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของสำนักดับนิวรณ์ กลับกลายเป็นหัวเสือหางงูหลังจากการปรากฏตัวอันน่าตกตะลึงของหลี่มู่ เฮ่ออวิ๋นเสียงที่ดุดันโหดเหี้ยมจนคนฟันสั่นกระทบกัน ก็ถูกหลี่มู่จู่โจมโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว และโดนลากไปแล้ว…

เรื่องอันตราย ถูกขจัดหายไปด้วยวิธีการน่าตะลึงระคนขบขันเช่นนี้เอง

บรรดาศิษย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ต่างถอนใจโล่งอก

 เหลยอินอินกลับครุ่นคิดด้วยความสงสัย ทำไมตอนท้ายหลี่มู่จึงต้องลากเฮ่ออวิ๋นเสียงกลับไปด้วย?

…….

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา

“เจ้าผียาจกนี่…พวกเจ้าสำนักดับนิวรณ์มันจนกันขนาดนี้เลยหรือ?”

เสียงเหนื่อยหน่ายของหลี่มู่ลอยออกมาจากเขตเรือนซอมซ่อ

จากนั้นเขาก็โยนตัวเฮ่ออวิ๋นเสียงออกมาจากเรือนด้วยความโมโห

เป็นศิษย์สำนักใหญ่เหมือนกัน แต่พอเทียบกับฉู่หนานเทียนที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของสำนักยุทธ์กระบี่สวรรค์ สิ่งของในถุงสมบัติของเฮ่ออวิ๋นเสียงทำเอาหลี่มู่ไม่พอใจมาก หลังจากรื้อค้นจนหมดแล้วจึงโยนทิ้งออกไปนอกเขตเรือน

“เจ้าจนขนาดนี้ ยังกล้าวิ่งไปอวดดีที่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีก เจ้าว่าเจ้าใช้ได้ที่ไหนกัน? ขายขี้หน้าบ้างไหม?”

เสียงซักถามอันกราดเกรี้ยวของหลี่มู่แว่วออกมาจากด้านใน

แต่เฮ่ออวิ๋นเสียงไม่แม้แต่จะพูด ริมฝีปากสั่นเทา ใบหน้าเขียวคล้ำ เขาห่อตัวด้วยชุดคลุมยาว นึกโทษบิดามารดาที่ให้ขามาน้อยตอนเกิด จากนั้นเผ่นแนบออกมาจากตรอกไล่หมูไม่ต่างกับบิน

……………………………….

[1] หลูติ่ง คือสตรีเพศพลังหยินที่มีไว้เพื่อฝึกปราณคู่กับชายพลังหยาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+