จอมศาสตราพลิกดารา 24 คนใหญ่คนโต? ใหญ่แค่ไหน

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 24 คนใหญ่คนโต? ใหญ่แค่ไหน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พริบตาเดียว เวลาผ่านไปหนึ่งวัน

เมื่อหลี่มู่ได้สัมผัสโดยละเอียด รอจนจบวันเขาก็เชี่ยวชาญวิธีการยิงธนูของหม่าจวินอู่แล้ว

การจับจุดแก่นของวิชาอาจจะไม่เหมือนหม่าจวินอู่นักธนูมือเก๋าที่ใช้ธนูมาหลายสิบปีสักทีเดียว หากแต่ความแม่นยำห่างกันไม่ไกลมากแล้ว

ในเวลาอันสั้น ทักษะการยิงธนูของเขาจะเหนือชั้นกว่าหม่าจวินอู่ที่เป็นนักธนูอันดับหนึ่งในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์แน่นอน

“ใต้เท้าเป็นอัจฉริยะโดยแท้” หม่าจวินอู่พูดด้วยสีหน้าอิจฉา “พรสวรรค์ของข้าเปรียบกับท่านมิได้เลยสักนิด”

หลี่มู่มองเขาแวบหนึ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

หลังจากที่มีปฏิสัมพันธ์มาหนึ่งวัน เขาพบว่าทักษะการยิงธนูของหัวหน้าองครักษ์ที่ว่าการผู้นี้ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ปัญหาก็คือคนผู้นี้คล้ายจะถ่อมตนมากเกินไป หรือไม่ก็ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเขา

หลี่มู่เริ่มรู้สึกเข้าใจหม่าจวินอู่มากขึ้นเล็กน้อย

เพราะในเวลาที่ผ่านมา ตอนเขากินอาหารสามมื้อ เด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่ปกติประหยัดคำพูดดั่งทองจะเปลี่ยนบุคลิกเป็นคนช่างพูด คุยซุบซิบเรื่องต่างๆ ของอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์เหมือนแม่สามีกับลูกสะใภ้ โดยเฉพาะเรื่องความลับและคนบางพวกในแวดวงราชการ คุยได้คล่องปากประหนึ่งเป็นเรื่องของตนเอง

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กน้อยคนนี้ไปฟังมาจากที่ใด

แต่หลี่มู่เดาได้ว่าเด็กคนนี้คงเห็นเขาไม่ใส่ใจในตำแหน่งหน้าที่ ในใจบ่นว่าหลี่มู่ไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหวัง จึงได้แต่ใช้วิธีนี้ย้ำเตือนหลี่มู่และช่วยเหลือเขา คาดว่าต้องเปลืองความคิดไม่น้อยเพื่อฟังมาโดยเฉพาะ

จากที่ชิงเฟิงกล่าว หลี่มู่เข้าใจได้คร่าวๆ ฐานะทางสังคมของนายพรานไม่สูงนักในจักรวรรดิฉิน ครานั้นหากหม่าจวินอู่ไม่มีโชคจากบรรพบุรุษ ได้ยอดฝีมือสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ผู้หนึ่งที่บังเอิญพบในป่าลึกตอนล่าสัตว์สอนวิชายุทธ์ชุดหนึ่งให้ จึงนับว่ามีความเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เล็กน้อยแล้ว อีกทั้งภายหลังอดีตขุนนางเมืองยังให้ความสำคัญ เขาจะได้รับตำแหน่งขุนนางเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ประจำที่ว่าการได้อย่างไร?

และเพราะเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากขุนนางเมืองคนก่อน หลังจากอดีตขุนนางเมืองลาออกไปฝึกบำเพ็ญเพียร หม่าจวินอู่จึงเหมือนเป็น ‘พรรคพวกที่หลงเหลือ’ ของอำนาจเก่า ในที่ว่าการอำเภอ เขาไม่ทะเยอทะยานและรักสันโดษ ยิ่งไปกว่านั้นนิสัยเดิมเขาช่างน่าเบื่อ จึงค่อยๆ หดหู่ลงไปเรื่อยๆ

กล่าวโดยพื้นฐานแล้ว หม่าจวินอู่มิใช่คนไม่ดี

ในสถานการณ์ของสังคมขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่เหมือนบ่อโคลน แม้ว่าหม่าจวินอู่จะไม่ได้หยุดยั้งการกระทำที่ชั่วร้ายบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ไปร่วมด้วยและเลือกปลีกตัวออกไปก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากแล้ว อย่างไรเสียอำนาจในตำแหน่งของเขาก็ยังไม่มากพอ

หลี่มู่ครุ่นคิด เอ่ยออกมาว่า “หัวหน้าองครักษ์หม่า ความล้มเหลวเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จ และความสำเร็จมักมาจากหยาดเหงื่อถึงเก้าสิบเก้าส่วนรวมเข้ากับพรสวรรค์หนึ่งส่วน หากเจ้าอยากเข้าร่วมกองธนูของ ‘ทุ่งปิดภูผา’ เจ้าต้องถามตัวเองก่อนว่าหยาดเหงื่อของเจ้าไหลออกมามากพอหรือไม่ พยายามอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง”

หม่าจวินอู่ตกตะลึง

คำพูดคำเดียวกัน เมื่อออกมาจากปากของคนละคนจะมีผลต่างกัน

หลี่มู่ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวกำจัดพรรคเสินหนง แต่อิทธิพลของมันยังไม่จางหายไป วันนี้ทั้งวันความเพียรพยายามในการฝึกฝนธนูอย่างต่อเนื่องเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา หม่าจวินอู่เหมือนจะเข้าใจในทันทีว่าทำไมพลังของหลี่มู่ถึงแข็งแรงยิ่งนักทั้งที่ยังเยาว์วัย ทุกอย่างได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่ลำบากฝึกฝนมา

นึกถึงวันที่หลี่มู่มาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่มู่ไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราชการและไม่เรียกหาอำนาจ เขาหลบอยู่ในเรือนหลังที่ว่าการโดยตลอด ทุกคนจึงคิดว่าเป็นเพราะหลี่มู่ยังเด็กเกินไปหรือเพราะกลัวจึงหลบอยู่แบบนั้น มาตอนนี้ดูแล้วหลี่มู่ต้องกำลังฝึกฝนวิทยายุทธ์ทุกๆ ขณะเป็นแน่

หม่าจวินอู่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดาถูกแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่หลี่มู่เพิ่งพูดออกมาก็ราวกับสายฟ้าฟาด กระตุ้นอยู่ในหัวหม่าจวินอู่ สร้างแรงบันดาลใจและความตกตะลึงอย่างยิ่งแก่เขา

“ขอบคุณใต้เท้าที่ชี้แนะ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

เขาคุกเข่าลงขอบคุณอย่างตื่นเต้น

หลี่มู่คลี่ยิ้ม ทำทีอย่างผู้สูงส่งก่อนกล่าวว่า “ดีมาก ขอเพียงเจ้าเข้าใจ เอาชนะปีศาจในใจได้ เช่นนั้นด้วยทักษะการยิงธนูของเจ้า ไม่ช้าก็คงเข้าร่วมกับกองธนู ‘ทุ่งปิดภูผา’ ”

หม่าจวินอู่พยักหน้า ภายในดวงตาของเขาส่องประกายคมกล้าออกมา

“เอาละ วันนี้ฝึกเพียงเท่านี้แล้วกัน”

หลี่มู่วางธนูแข็งแกร่งในมือลง เก็บข้าวของ เตรียมกลับไปที่ว่าการ

ใบหน้าหม่าจวินอู่เต็มไปด้วยความเคารพ ติดตามหลี่มู่อยู่ข้างหลัง

เมื่อทั้งสองมาถึงประตูหลังของที่ว่าการอำเภอ อาทิตย์ดวงใหญ่บนท้องฟ้าก็ตกสู่ทิศประจิม เหลือเพียงเสี้ยวเดียวอยู่บนยอดเขาไกลๆ พระอาทิตย์ตกแดงดั่งสีเลือด ย้อมเมืองบนเขาอันสวยงามให้เป็นสีแดง

หากยืนอยู่ที่ประตูหลังของที่ว่าราชการ จะสามารถเห็นอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้ทั้งหมด

ควันจากครัวม้วนลอยขึ้น นกหวนคืนสู่รัง เงียบสงบและสวยงาม ราวกับภาพวาดโคลงกลอน

หลี่มู่มองลงไปยังบ้านเมืองที่งดงาม ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“เอาละ เจ้ากลับไปเถอะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่สนามฝึกเลย” หลี่มู่เอ่ย

หม่าจวินอู่พยักหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาโดยพลัน สีหน้าลังเล ก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “ใต้เท้า แม้ว่าโจวอู่ถูกประหารไปแล้ว แต่คนสกุลโจวหนีหาย ยังต้องมีกำลังเหลืออยู่แน่ เหมือนที่ว่ากันว่าตะขาบไม่หกคะเมนแม้ตายไปแล้ว พวกเขาต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน ใต้เท้า ท่านต้องเตรียมรับมือไว้นะขอรับ”

หลี่มู่มองหม่าจวินอู่อย่างยิ้มร่า กล่าวว่า “ข้ามีบางอย่างอยู่ในใจแล้ว”

บ้านสกุลเล็กๆ ในอำเภอเช่นนี้ พอฝืนเรียกว่างูได้เท่านั้น ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปอาจจะเป็นดั่งภูเขาที่ไม่มีวันสั่นสะเทือน แต่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งพลังชั้นยอด ก็เป็นแค่พวกไร้ค่าไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง ในความคิดของหลี่มู่ สกุลโจวควรจะหนีไปเป็นดีที่สุด เขาไม่ต้องการฆ่าล้างคนทั้งหมด แต่หากพวกเขาอยากมาลองล้างแค้น อย่างนั้นหลี่มู่ก็ไม่รังเกียจที่จะสู้กลับ

สกุลโจวแต่เดิมก็ไม่ใช่พวกดีอะไร

เห็นหลี่มู่ท่าทางผ่อนคลาย หม่าจวินอู่จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนเขา “ใต้เท้า ท่านอาจจะไม่รู้ พี่ชายโจวเจิ้นไห่ที่เป็นผู้นำรุ่นก่อนของสกุลโจวมีหน้าที่เป็นผู้อาวุโสนอกสำนักในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ตำแหน่งไม่เล็กเลย ครั้งนี้สกุลโจวต้องไปที่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เป็นแน่ เกรงว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างโจวเจิ้นไห่คงขอยืมพลังจากสำนักขาวพิสุทธิ์มาทำให้ท่านลำบาก”

หลี่มู่สีหน้าแข็งเกร็งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้ได้?

ที่แท้สกุลโจวมีความเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์?

เขารู้สึกบัดซบขึ้นมาในใจ

แม้ว่ามาดวงดาวแห่งนี้ยังไม่นาน แต่หลี่มู่ก็เข้าใจฐานะและอิทธิพลของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ภายในอาณาเขตเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้คร่าวๆ แล้ว ในฐานะที่เป็นสำนักเดียวในรัศมีพันลี้ที่เข้าขั้น สำนักนี้มีศิษย์นับหมื่น ยอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ตั้งตนเป็นอิสระ โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งระดับผู้อาวุโสขึ้นไปในพรรค ฐานะในจักรววรดิต้าฉินสูงกว่าหลี่มู่ที่เป็นขุนนางเมืองเสียอีก

แผ่นดินใหญ่เสินโจวแต่เดิมก็มีสำนักและจักรวรรดิร่วมกันปกครอง

เมื่อนานมาแล้ว ภายในสามจักรวรรดิใหญ่ จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นดุจมังกรสวรรค์ ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายข้อบังคับทั่วไป

ไปเหยียบหางผู้อาวุโสนอกสำนักของพรรคมีระดับพรรคหนึ่ง ทำให้หลี่มู่กดดันในระดับหนึ่งทีเดียว

“ฮ่าๆๆ ก็แค่ผู้อาวุโสนอกสำนักคนเดียว…หากเขากล้ามาหาเรื่องข้าขุนนางเมือง ก็จัดการด้วยหมัดเดียวไปเลย”

ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยที่รู้สึกกดดันย่อมไม่อาจเสียกิริยาต่อหน้าหม่าจวินอู่ผู้เลื่อมใสที่เพิ่งยอมก้มหัวให้ เขาจึงหัวเราะออกมาเสียงดังและกล่าวคำพูดขาดสติ ทำท่าทางว่าเขาแข็งแกร่งด้วยตัวเอง ดังเช่นลมพัดผ่านภูเขา ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมหมดแล้ว

หม่าจวินอู่ผู้เลื่อมใสเห็นท่าทางท่านขุนนางเมืองเหมือนเตรียมการทุกอย่างไว้ในสมองอยู่แล้ว ก็รู้สึกวางใจได้ และกล่าวยกย่องว่า “ที่แท้ใต้เท้าเตรียมแผนเอาไว้หมดแล้ว เป็นข้าน้อยที่กังวลเกินไป เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”

พอพูดจบก็หันกายเดินไปยังสนามฝึก

เขาได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของหลี่มู่ จึงตัดสินใจที่จะขัดเกลาฝีมือธนูของตนเองในทุกชั่วขณะ และบากบั่นพยายามเพื่อความฝันของตน จะเสียเวลาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

หลี่มู่มองจนร่างของหม่าจวินอู่ลับมุมถนนไป จึงค่อยเผยใบหน้าขมขื่นพลางนวดขมับ

“แม่มันเถอะ ถ้ารู้ก่อนว่าสกุลโจวใหญ่ปานนี้ก็คงไม่ทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นหรอก…พลาดไปจริงๆ อารมณ์ชั่ววูบคือปีศาจแท้ๆ เลย ตอนนั้นทำไมถึงสติหลุดสังหารทั้งโจวอู่และเฝิงหยวนซิงรวดเดียวไปได้เนี่ย หากไม่ได้สังหารพวกเขา…” หลี่มู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเดินไปที่ลานด้านหลังของที่ว่าการ

เขาอดนึกถึงคำพูดของซินแสเฒ่าเรื่องกฎที่ว่า ‘ความปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน’ ในวันนั้นไม่ได้

หากซินแสเฒ่ารู้ว่าหลี่มู่เพิ่งมาต่างดวงดาวได้หนึ่งเดือนก็สร้างศัตรูคู่แค้นมากมายแล้ว เดาว่าคงจะโกรธจนอาการทางประสาทกำเริบเป็นแน่

หลี่มู่รู้สึกเสียใจอยู่ภายในอย่างยอมจำนน

แต่ว่ากันว่าโชคมักไม่ได้มาสองครั้ง หายนะกลับมักตามกันมา

ไม่นานนักหายนะก็มาเยือนใต้เท้าหลี่มู่อีกครั้ง

มีเสียงเอ็ดตะโรดังมาจากสวนด้านหน้า เห็นเด็กหญิงผู้รับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยวิ่งมาหาอย่างกับพายุ ราวกับเด็กป่าเถื่อน ในมือถือเทียบสีแดง พูดอย่างระริกระรี้ว่า “คุณชาย คุณชาย ข่าวดีเจ้าค่ะข่าวดี มีคนไม่รู้จักดีชั่วมาท้าประลองท่าน…”

หลี่มู่รับเทียบมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว กล่าวว่า “เรื่องดีบ้านเจ้าสิ มีคนอยากต่อยตีข้า นับว่าเป็นเรื่องดีหรือ?”

หมิงเยวี่ยเกล้าผมแกละ ใบหน้าอิ่มเนียนละเอียดดั่งหยกขาวกำลังยินดีในคราวเคราะห์ของคนอื่น “คุณชาย นี่อาจเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้ออกหน้าแสดงฝีมือนะ ท่านยังไม่รู้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าร้อนใจแทนท่าน หลังจากสังหารซือคงจิ้งพรรคเสินหนง ความนิยมก็ย่อมลดลงไปตามกาลเวลา หากต้องการความมั่นคงและชื่อเสียง ไม่มีโอกาสที่ดีกว่านี้อีกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้มีคนมาหาถึงที่ ซ้ำยังเป็นคนใหญ่คนโต นี่เป็นโอกาสที่ท่านจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง”

“คนใหญ่คนโต?” หลี่มู่ถามไปตามปาก “ใหญ่แค่ไหน?”

เดิมทีเขาอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้แข็งแกร่งในโลกใบนี้ เพื่อจะได้รู้จุดยืนของตนเองให้แน่ชัด รวมถึงเข้าใจพลังของวิถียุทธ์และกำลังภายในที่แท้จริงด้วย แต่พอมีคนมาท้าประลองถึงหน้าประตู พูดตามตรง ภายในใจหลี่มู่คิดว่าไม่ใช่เรื่องดี เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะไม่ลดตัวไปท้าประลองผู้เยาว์ซึ่งเป็นหน้าใหม่อย่างตน

เสี่ยวหมิงเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มาก ฮิๆๆ เป็นประมุขพรรคจันทราโลหิต ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเจ้าคนผู้นี้เป็นบุคคลที่เคยมีชื่อเสียงสะเทือนทั้งยุทธภพ โด่งดังไม่เบา เหมาะเป็นขั้นบันไดให้ท่านก้าวผ่านไปเลย คุณชายเจ้าคะ หากท่านสังหารเขาจะมีชื่อเสียงสะเทือนยุทธภพเลยเชียว ฮ่าๆๆ…”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด