จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 347 วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 347 วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วานรภูเขาขนทองนั้นขี้ขลาด ขณะที่ดาบพาดลงบนคอก็หวาดกลัวราวสุนัข ตีหน้ายิ้มประจบสอพลอ เดินนำทางไปอย่างว่าง่าย

ช่วยไม่ได้ วันนี้มาเจอกับดาวมรณะเข้า

หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์กวาดดู ลูกไม้ใดๆ ของมันต่างสลายเป็นควันไปหมดแล้ว

อีกทั้งความเร็วที่ทำให้มันจองหอง ก็ยังหนีไม่พ้นวิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่

นี่เรียกว่าฟ้าไม่เป็นใจชัดๆ

จากการนำทางให้หลี่มู่ มันพามาถึงส่วนลึกของลานแสดงธรรมรกร้างอย่างระมัดระวัง

พื้นที่นี้มองเห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตได้บางส่วน เห็นชัดว่านี่คือ ‘บ้าน’ ของวานรภูเขาขนทองนี้ แต่ไม่ได้ดูเป็นระเบียบเหมือนพื้นที่รกร้างก่อนหน้า เมื่อหลี่มู่เห็นก็เข้าใจว่าเจ้าวานรภูเขาเป็นสุนัขโดดเดี่ยวที่น่าเวทนา

ระหว่างที่หลี่มู่ใช้คมดาบชี้ วานรภูเขาเดินอ้อมต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง ท้ายสุดจึงมาถึงใต้ผา เมื่อย้ายต้นไม้ยักษ์พันปีที่แห้งเหี่ยวสองต้นออก ด้านหลังก็ปรากฏประตูหินบานหนึ่งขึ้น มันร้องอู้ๆๆ พลางชี้ประตูหิน ความหมายคือสมบัติอยู่ด้านหลังประตูหินนี้

หลี่มู่มีหรือจะติดกับ?

เขาบังคับให้วานรภูเขาขนทองเปิดประตูหิน

ด้านหลังมีห้องหินอยู่หลายห้อง กว้างและสว่าง เพดานโค้งด้านบนแขวนไข่มุกราตรีไว้ สามารถเปล่งแสงและขจัดฝุ่นได้ ดังนั้นทั้งห้องหินจึงแทบไม่มีฝุ่นอยู่เลย ห้องโถงใหญ่ตรงกลางมีทางแยกออกไปยังห้องหินอื่นๆ มองเห็นได้ว่าในห้องโถงใหญ่นั้นมีชั้นหนังสือสีม่วงอยู่หนึ่งหลัง ด้านบนวางม้วนบันทึกคัมภีร์ กระบอกพู่กัน ม้วนกระดาษ และบันทึกไม้ไผ่ไว้ ล้วนเป็นของโบราณทั้งสิ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสันโดษ นอกจากนี้บนพื้นยังมีเบาะนั่งผ้าป่าน มีร่องรอยการนั่งราวกับว่า…

“ด้านในมีอะไร?” ราชาปีศาจหลี่ถามขึ้นอย่างโหดเหี้ยมชั่วร้าย

วานรภูเขาขนทองร้อง “อูๆๆ…”

หลี่มู่ยกมือขึ้นกระหน่ำทุบเสียหนึ่งชุด จากนั้นเอ่ยต่อ “พูดภาษาคน”

วานรภูเขาขนทองโวยวาย

โอ้ ลืมไปว่ามันพูดภาษาคนไม่เป็น

หลี่มู่เปลี่ยนวิธี เอ่ยว่า “เข้าไป เอาสมบัติด้านในออกมาให้ข้า”

วานรภูเขาขนทองรีบส่ายศีรษะ ท่าทีหวาดกลัวสุดขีด โบกไม้โบกมือวาดอะไรบางอย่าง เหมือนจะบอกว่าทางเข้าห้องหินนั้นอันตราย

“เจ้านี่มัน…อันตรายแล้วยังจะให้ข้าเข้าไปอีก…” หลี่มู่ยกมืดฟาดดาบลงไปอีกหลายที

วานรภูเขาขนทองร้องเสียงประหลาดอู้ๆ อ้อนวอนขอความเมตตา

หลี่มู่คิดๆ ดู เมื่อเห็นว่าเจ้านี่ถูกตีจนกลัวลนลานหมดแล้ว ดูเหมือนจะไม่จงใจแกล้งตนเองอีก เป็นไปได้ว่าพลังของมันคงไม่พียงพอที่จะเข้าไป แต่ด้วยพลังของตัวเขาน่าจะลองดูหน่อยได้?

แต่ปัญหาคือ ในห้องหินนี้มีอะไรอยู่กันแน่?

คุ้มที่จะบุกเข้าไปหรือไม่?

พวกสมบัติวิชาอะไรนั้น ว่ากันตามจริง หลี่มู่ไม่ได้ขาดเหลือมากเลย

สิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิชาจากดาราสมุทร อาวุธก็สามารถหล่อหลอมขึ้นเองได้ ซินแสเฒ่าเคยพูดไว้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้กอบกู้โลกหรือจักรพรรดิเทพเซียนอะไร ทุกอย่างพึ่งพาตนเองทั้งหมด…อืม ก็คงจะเหมือนกับที่ซินแสเฒ่าพูดมา ถึงอย่างไรจากการเห็นและเรียนรู้มาผ่านซินแสเฒ่า หลี่มู่ลงทุนกับความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้น้อยครั้งมาก

แต่ว่า ที่นี่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลานแสดงธรรมพระอาจารย์โพธิของจริงอยู่นา

ห้องหินตรงหน้านี้อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดของเขาลานแสดงธรรม เมื่อมองให้ถี่ถ้วน หากไม่ใช่ว่าเจ้าลิงภูเขาที่โดดเดี่ยวเกียจคร้านตัวนี้ทำลายสถานที่ ความจริงอาณาเขตนี้ก็นับเป็นจุดที่ดีที่สุดของลานแสดงธรรม และห้องหินนี้ยังเต็มไปด้วยความเรียบง่ายตามวิถีเต๋าอย่างหนึ่ง ไม่มีทางเป็นที่อยู่ของคนธรรมดาเด็ดขาด น่ากลัวว่าจะเป็นที่พำนักของพระอาจารย์โพธิ

ดวงตาของหลี่มู่จับจ้องม้วนหนังสือกับบันทึกไม้ไผ่พวกนั้นบนชั้นหนังสือในห้องหิน

ถ้าเป็นของจริงขึ้นมาเล่า?

แค่คิดถึงวิชาขี่เมฆาเหินฟ้า เจ็บสิบสองร่างแปลง…หลี่มู่ก็อดน้ำลายสอไม่ได้

จากนั้นเขาจึงยกเท้าถีบวานรภูเขาขนทองเข้าไปในประตูห้องหินอย่างไม่ลังเล

อัสนีบาตผ่าเปรี้ยงปร้าง!

แสงสายฟ้าแน่นขนัดเป็นชุดเกิดขึ้นที่ปากทางเข้าประตูหิน ทำเอาทั้งตัววานรภูเขาขนทองควันขึ้นในพริบตา ขนสีทองเปลี่ยนเป็นสีดำเกรียม กลิ่นหอมจางๆ ของเนื้อกระจายในอากาศ ก่อนที่มันจะร้องเสียงแหลม ถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งดีดกระเด็นออกมาจากด้านในประตูหิน

มีวิชาเต๋าอัสนีขัดขวางอยู่?

หลี่มู่ตาเป็นประกาย

ผ่านมาตั้งหลายปี การสกัดกั้นของวิชาเต๋าอัสนียังคงสมบูรณ์เช่นนี้ เพียงแตะก็แผลงฤทธิ์ นี่อธิบายได้ว่า…สิ่งของที่อยู่ในห้องหินยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี อย่างน้อยก็ต้องเป็นของที่ค่อนข้างล้ำค่าในลานแสดงธรรมนี้ มิเช่นนั้นขณะที่วิชาเต๋าสกัดกั้นของพื้นที่อื่นๆ เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ที่นี่คงไม่ครบสมบูรณ์อยู่อย่างนี้

หลี่มู่ยิ่งน้ำลายสอด้วยความระริกระรี้กว่าเดิม

เขาตาเป็นมันแล้วจริงๆ

“อู้ๆๆ…” วานรภูเขาขนทองร้องครวญ หมอบอยู่ที่ทางเข้าประตูหิน ปากกระตุกน้ำลายฟูมปาก ราวกับสูบควันหนักจนลมบ้าหมูกำเริบ

หลี่มู่คุกเข่าลงไปตรวจดู พบว่าเจ้านี่แค่ถูกไฟช็อตจนมึนงง กล้ามเนื้อกระตุกเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไรมาก

หรือก็คือ พลังสายฟ้าของห้องหินนี้ไม่น่ากลัวเท่าไรนัก

กายเนื้อของวานรภูเขาขนทองแข็งแรงมาก ใช้เพียงแค่กำลังกายก็สามารถซัดขั้นเหนือมนุษย์ระดับเริ่มแรกมากมายได้ แต่เมื่อเทียบกับหลี่มู่ยังคงห่างชั้นอยู่บ้าง ในเมื่อมันยังทนได้ ก็หมายถึงว่าหลี่มู่ทานสายฟ้านี้ได้โดยที่ไม่ตายเช่นกัน จากประตูหินจนถึงห้องหินเป็นทางเดินยาวราวสองจั้ง ถ้าค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละชุ่นก็ใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ต้านทานสายฟ้าในเวลาหนึ่งถ้วยชา สำหรับหลี่มู่แล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ในเมื่อเป็นเช่นนี้

หลี่มู่ยิ้มๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออก

ในหยกเก็บของของเขา เหลือเพียงเสื้อผ้าบนตัวเป็นชุดสุดท้ายแล้ว ย่อมจะให้สายฟ้าทำลายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องเดินเปลือยก้นออกจากฟ้านิจนิรันดร์แน่ อย่างนั้นก็น่าอัปยศเกินไป เพราะชื่อเสียงของเขาด้านนอกเป็นถึงครึ่งเทวะไท่ไป๋อ๋องแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกเชียวนะ ถ้าหากมีคนเห็นเดินเปลือยก้นละก็ ไม่ต้องถึงครึ่งวัน ชื่อเสียงวิตถารคงจะแพร่ไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจวแน่…แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว

ถอดเสื้อผ้าเสร็จ หลี่มู่ก็ไม่ใส่กระโปรงหญ้าอีก อย่างไรก็ไม่มีความหมาย

เขาขยับตัวเดินเข้าไปด้านในประตูห้องหินทันที

วานรภูเขาขนทองยังคงชักกระตุก ฟองขาวฟูมปาก เหมือนติดพิษอยู่อย่างนั้น

หลี่มู่ยื่นมือ นิ้วมือลอดผ่านประตูหิน ประจุสายฟ้ามากมายปรากฏขึ้นจริงดังคาด แต่มีเพียงความรู้สึกชาเท่านั้น ไม่ได้เจ็บปวดอะไร พลังสายฟ้าระดับนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วไม่มีพลานุภาพใดๆ เลย เขาจึงหันหน้าเหลือบมองวานรภูเขาขนทองที่ชักกระตุกแวบหนึ่ง จากนั้นมือกำดาบวัฏจักร สาวเท้ายาวเดินเข้าไปในประตูหิน

พริบตาเดียว สายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่าง

ความรู้สึกหนึบชาแล่นเข้ามา ในปากหลี่มู่มีควันขโมง ความเจ็บปวดรุนแรง แต่ยังสามารถยืนหยัดได้ ก้าวทีละก้าวเข้าไปส่วนลึกของทางเดินอย่างช้าๆ

ทุกครั้งที่ขยับไปด้านหน้าเล็กน้อย พลังกดดันของสายฟ้าจะแกร่งขึ้นตามไปด้วย

หลี่มู่รู้สึกเหมือนถูกมดนับหมื่นตัวกัดแทะเลือดเนื้อร่างกายของตน

แต่ยังทานทนได้

เขาเดินเข้าไปด้านในทีละก้าว

ตอนนี้เอง วานรภูเขาขนทองที่เดิมทีนอนชักน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น จู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมา เช็ดฟองขาวที่มุมปากแล้วเปลี่ยนมากระโดดโลดเต้น ยังมีท่าทีอ่อนเปลี้ยเพลียแรงให้เห็นเสียที่ไหน มันจ้องมองหลี่มู่ที่อยู่ท่ามกลางสายฟ้าในทางเดินพลางส่งเสียงอู้ๆๆ หัวเราะเย้ยถากถาง

หลี่มู่ได้ยินการเคลื่อนไหว จึงหันกลับไปดู ในใจก็สะดุดกึก

แย่ละ ติดกับแล้ว

“อู้ๆๆ…” วานรภูเขาขนทองคำรามขึ้นอย่างสะใจในความทุกข์คนอื่น จากนั้นยกหินใหญ่ขึ้นมาหลายก้อน ขว้างตรงเข้ามาในประตูหิน

ตูม!

ประตูหินที่ถูกหินกระแทกปรากฏคลื่นลวดลายเต๋าประหลาดขึ้นในพริบตา ประจุสายฟ้าในทางเดินพลันเพิ่มความน่ากลัวขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า เหมือนกับทะเลที่มีคลื่นลมกระโชกแรงอยู่แล้ว จู่ๆ มีพายุโถมเข้ามาซ้ำอีกรอบ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์อันน่าพรั่นพรึง จ้องจะดูดกลืนทุกสิ่งลงไป

“มารดามันเถอะ…” หลี่มู่ทันด่าแค่ครึ่งประโยค ในปากก็มีแต่กระแสสายฟ้าไหลวน ลิ้นชาจนพูดอะไรออกมาไม่ได้

ประจุสายฟ้านับพันนับหมื่นสายพุ่งเข้าไปในร่างของหลี่มู่ ไหลผ่านอวัยวะภายในของเขา

เขาสั่นกระตุกในท่ายืนทันที สั่นจนเหมือนลมชักอย่างไรอย่างนั้น

วานรภูเขาขนทองที่กำลังกระโดดโลดเต้นสะใจอยู่ด้านนอก ถือว่าแก้แค้นได้สำเร็จแล้ว

แต่ว่ายิ้มไปยิ้มมา จู่ๆ มันก็ถลึงตาโต อึ้งค้างอยู่ที่เดิม

เพราะหลี่มู่ที่ชักอยู่ด้านในทางเดินครู่หนึ่ง จมูกปากและใบหูล้วนมีประกายสายฟ้าแล่นผ่าน แขนขาทั้งสี่สั่นระริก แต่ยังคงก้าวต่อไปยังห้องหินที่อยู่ด้านในไม่หยุด ไม่นึกว่าเขาจะสามารถต้านทานพลังสายฟ้าไว้ได้

มันตกตะลึง

จากนั้นใบหน้าเริ่มลนลาน

เพราะในห้องหินนั้นมีสมบัติอยู่จริงๆ มันแอบมองมาไม่รู้กี่ปี คิดหาวิธีมากมายก็ยังไม่สามารถเอาออกมาได้

ใครจะไปคิดว่าเจ้ามนุษย์ชั่วร้ายคนนี้จะต้านทานการโจมตีของสายฟ้าบ้าคลั่งที่ประตูหินได้จริง

วานรภูเขาขนทองจ้องตาปริบๆ หลี่มู่ค่อยๆ เขยิบเข้าไปทีละนิด ใช้ท่าทีประหลาดๆ หลายอย่าง สุดท้ายราวครึ่งชั่วยามเต็มถึงจะออกจากทางเดินนี้ไปได้

แสงสายฟ้าในทางเดินประตูหินสลายหายไปในพริบตา

หลี่มู่ยืนอยู่ในโถงใหญ่ห้องหิน ไหม้เกรียมไปทั้งตัว เส้นผมกลายเป็นฝุ่นหมดแล้ว หนังศีรษะดำเกรียม ดวงตาแดงเถือก ในปากจมูกหูพ่นควันดำออกมา ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ผิวหนังทั่วตัวชั้นหนึ่งที่กลายเป็นเปลือกไหม้ดำก็ร่วงกราวลงบนพื้น เผยให้เห็นเนื้อสดอันร้อนระอุที่อยู่ด้านใน

ทั่วทั้งตัวเหมือนถูกย่างจนสุกในตู้ย่างก็ไม่ปาน

หลี่มู่ในตอนนี้ เหลืออยู่แค่ครึ่งชีวิตจริงๆ

ใครจะไปคิดว่าฝีมือการแสดงของเจ้าวานรภูเขาขนทองจะดีเยี่ยมขนาดนี้

เกือบจะเกิดปัญหาในตอนท้ายสุดเสียแล้ว

แต่ยังดีที่ทนออกมาได้

โชคดีที่มีวิชาฝึกร่างกายอย่าง ‘หมัดยุทธ์แท้’ ตอนท้ายสุดนั้น หลี่มู่อาศัยท่าที่สี่ของหมัดยุทธ์แท้ฝืนทนมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประสานกับสัญลักษณ์สายฟ้าที่ทางเดินประตูหิน หลี่มู่กลับได้ทุกขลาภมา การฝึกฝนกายเพิ่มระดับไปอีกขั้น หมัดยุทธ์แท้ท่าที่สี่ ‘รวบหางยูง’ ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบ ผสมผสานเชื่อมโยงถึงกัน และทำลายขีดจำกัดที่ไม่สามารถทะลวงได้มาตลอด

หลี่มู่กระตุ้น ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ปราณแท้ฟ้าประทานไหลเวียนทั่วร่าง เวลาเพียงไม่ถึงชั่วหนึ่งก้านธูป ก็รักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกเผาโดยสายฟ้าได้ทั้งหมด

เขาราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง

พลังในร่างกายไม่รู้เพิ่มมากขึ้นกี่อีกเท่า

เขาขยับร่างกาย ไม่สนใจวานรภูเขาขนทองที่กำลังหดขาห่อตัวร้องไห้โฮอยู่ด้านนอกประตูหิน ตรงเข้าไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ด้านในโถง หยิบหนังสือเล่มแรกออกมาเปิด เมื่อตัวหนังสือจ้วนโบราณขนาดใหญ่ด้านบนผ่านเข้าสู่ม่านตา ก็ทำให้หลี่มู่สะท้านไปทั้งร่าง ตื่นเต้นจนแทบจะหยุดหายใจ

วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า!

นี่คือขี่เมฆาเหินฟ้าที่อยู่ในตำนานเรื่องเล่า วิชาขี่เมฆลึกลับที่ซุนหงอคงตีลังกาหนึ่งครั้งไปได้ไกลกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้?

พระอาจารย์พะ…พะ…พะ…พะ…โพธิของจริงหรือนี่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 347 วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 347 วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วานรภูเขาขนทองนั้นขี้ขลาด ขณะที่ดาบพาดลงบนคอก็หวาดกลัวราวสุนัข ตีหน้ายิ้มประจบสอพลอ เดินนำทางไปอย่างว่าง่าย

ช่วยไม่ได้ วันนี้มาเจอกับดาวมรณะเข้า

หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์กวาดดู ลูกไม้ใดๆ ของมันต่างสลายเป็นควันไปหมดแล้ว

อีกทั้งความเร็วที่ทำให้มันจองหอง ก็ยังหนีไม่พ้นวิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่

นี่เรียกว่าฟ้าไม่เป็นใจชัดๆ

จากการนำทางให้หลี่มู่ มันพามาถึงส่วนลึกของลานแสดงธรรมรกร้างอย่างระมัดระวัง

พื้นที่นี้มองเห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตได้บางส่วน เห็นชัดว่านี่คือ ‘บ้าน’ ของวานรภูเขาขนทองนี้ แต่ไม่ได้ดูเป็นระเบียบเหมือนพื้นที่รกร้างก่อนหน้า เมื่อหลี่มู่เห็นก็เข้าใจว่าเจ้าวานรภูเขาเป็นสุนัขโดดเดี่ยวที่น่าเวทนา

ระหว่างที่หลี่มู่ใช้คมดาบชี้ วานรภูเขาเดินอ้อมต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง ท้ายสุดจึงมาถึงใต้ผา เมื่อย้ายต้นไม้ยักษ์พันปีที่แห้งเหี่ยวสองต้นออก ด้านหลังก็ปรากฏประตูหินบานหนึ่งขึ้น มันร้องอู้ๆๆ พลางชี้ประตูหิน ความหมายคือสมบัติอยู่ด้านหลังประตูหินนี้

หลี่มู่มีหรือจะติดกับ?

เขาบังคับให้วานรภูเขาขนทองเปิดประตูหิน

ด้านหลังมีห้องหินอยู่หลายห้อง กว้างและสว่าง เพดานโค้งด้านบนแขวนไข่มุกราตรีไว้ สามารถเปล่งแสงและขจัดฝุ่นได้ ดังนั้นทั้งห้องหินจึงแทบไม่มีฝุ่นอยู่เลย ห้องโถงใหญ่ตรงกลางมีทางแยกออกไปยังห้องหินอื่นๆ มองเห็นได้ว่าในห้องโถงใหญ่นั้นมีชั้นหนังสือสีม่วงอยู่หนึ่งหลัง ด้านบนวางม้วนบันทึกคัมภีร์ กระบอกพู่กัน ม้วนกระดาษ และบันทึกไม้ไผ่ไว้ ล้วนเป็นของโบราณทั้งสิ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสันโดษ นอกจากนี้บนพื้นยังมีเบาะนั่งผ้าป่าน มีร่องรอยการนั่งราวกับว่า…

“ด้านในมีอะไร?” ราชาปีศาจหลี่ถามขึ้นอย่างโหดเหี้ยมชั่วร้าย

วานรภูเขาขนทองร้อง “อูๆๆ…”

หลี่มู่ยกมือขึ้นกระหน่ำทุบเสียหนึ่งชุด จากนั้นเอ่ยต่อ “พูดภาษาคน”

วานรภูเขาขนทองโวยวาย

โอ้ ลืมไปว่ามันพูดภาษาคนไม่เป็น

หลี่มู่เปลี่ยนวิธี เอ่ยว่า “เข้าไป เอาสมบัติด้านในออกมาให้ข้า”

วานรภูเขาขนทองรีบส่ายศีรษะ ท่าทีหวาดกลัวสุดขีด โบกไม้โบกมือวาดอะไรบางอย่าง เหมือนจะบอกว่าทางเข้าห้องหินนั้นอันตราย

“เจ้านี่มัน…อันตรายแล้วยังจะให้ข้าเข้าไปอีก…” หลี่มู่ยกมืดฟาดดาบลงไปอีกหลายที

วานรภูเขาขนทองร้องเสียงประหลาดอู้ๆ อ้อนวอนขอความเมตตา

หลี่มู่คิดๆ ดู เมื่อเห็นว่าเจ้านี่ถูกตีจนกลัวลนลานหมดแล้ว ดูเหมือนจะไม่จงใจแกล้งตนเองอีก เป็นไปได้ว่าพลังของมันคงไม่พียงพอที่จะเข้าไป แต่ด้วยพลังของตัวเขาน่าจะลองดูหน่อยได้?

แต่ปัญหาคือ ในห้องหินนี้มีอะไรอยู่กันแน่?

คุ้มที่จะบุกเข้าไปหรือไม่?

พวกสมบัติวิชาอะไรนั้น ว่ากันตามจริง หลี่มู่ไม่ได้ขาดเหลือมากเลย

สิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิชาจากดาราสมุทร อาวุธก็สามารถหล่อหลอมขึ้นเองได้ ซินแสเฒ่าเคยพูดไว้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีผู้กอบกู้โลกหรือจักรพรรดิเทพเซียนอะไร ทุกอย่างพึ่งพาตนเองทั้งหมด…อืม ก็คงจะเหมือนกับที่ซินแสเฒ่าพูดมา ถึงอย่างไรจากการเห็นและเรียนรู้มาผ่านซินแสเฒ่า หลี่มู่ลงทุนกับความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้น้อยครั้งมาก

แต่ว่า ที่นี่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลานแสดงธรรมพระอาจารย์โพธิของจริงอยู่นา

ห้องหินตรงหน้านี้อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดของเขาลานแสดงธรรม เมื่อมองให้ถี่ถ้วน หากไม่ใช่ว่าเจ้าลิงภูเขาที่โดดเดี่ยวเกียจคร้านตัวนี้ทำลายสถานที่ ความจริงอาณาเขตนี้ก็นับเป็นจุดที่ดีที่สุดของลานแสดงธรรม และห้องหินนี้ยังเต็มไปด้วยความเรียบง่ายตามวิถีเต๋าอย่างหนึ่ง ไม่มีทางเป็นที่อยู่ของคนธรรมดาเด็ดขาด น่ากลัวว่าจะเป็นที่พำนักของพระอาจารย์โพธิ

ดวงตาของหลี่มู่จับจ้องม้วนหนังสือกับบันทึกไม้ไผ่พวกนั้นบนชั้นหนังสือในห้องหิน

ถ้าเป็นของจริงขึ้นมาเล่า?

แค่คิดถึงวิชาขี่เมฆาเหินฟ้า เจ็บสิบสองร่างแปลง…หลี่มู่ก็อดน้ำลายสอไม่ได้

จากนั้นเขาจึงยกเท้าถีบวานรภูเขาขนทองเข้าไปในประตูห้องหินอย่างไม่ลังเล

อัสนีบาตผ่าเปรี้ยงปร้าง!

แสงสายฟ้าแน่นขนัดเป็นชุดเกิดขึ้นที่ปากทางเข้าประตูหิน ทำเอาทั้งตัววานรภูเขาขนทองควันขึ้นในพริบตา ขนสีทองเปลี่ยนเป็นสีดำเกรียม กลิ่นหอมจางๆ ของเนื้อกระจายในอากาศ ก่อนที่มันจะร้องเสียงแหลม ถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งดีดกระเด็นออกมาจากด้านในประตูหิน

มีวิชาเต๋าอัสนีขัดขวางอยู่?

หลี่มู่ตาเป็นประกาย

ผ่านมาตั้งหลายปี การสกัดกั้นของวิชาเต๋าอัสนียังคงสมบูรณ์เช่นนี้ เพียงแตะก็แผลงฤทธิ์ นี่อธิบายได้ว่า…สิ่งของที่อยู่ในห้องหินยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี อย่างน้อยก็ต้องเป็นของที่ค่อนข้างล้ำค่าในลานแสดงธรรมนี้ มิเช่นนั้นขณะที่วิชาเต๋าสกัดกั้นของพื้นที่อื่นๆ เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ที่นี่คงไม่ครบสมบูรณ์อยู่อย่างนี้

หลี่มู่ยิ่งน้ำลายสอด้วยความระริกระรี้กว่าเดิม

เขาตาเป็นมันแล้วจริงๆ

“อู้ๆๆ…” วานรภูเขาขนทองร้องครวญ หมอบอยู่ที่ทางเข้าประตูหิน ปากกระตุกน้ำลายฟูมปาก ราวกับสูบควันหนักจนลมบ้าหมูกำเริบ

หลี่มู่คุกเข่าลงไปตรวจดู พบว่าเจ้านี่แค่ถูกไฟช็อตจนมึนงง กล้ามเนื้อกระตุกเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไรมาก

หรือก็คือ พลังสายฟ้าของห้องหินนี้ไม่น่ากลัวเท่าไรนัก

กายเนื้อของวานรภูเขาขนทองแข็งแรงมาก ใช้เพียงแค่กำลังกายก็สามารถซัดขั้นเหนือมนุษย์ระดับเริ่มแรกมากมายได้ แต่เมื่อเทียบกับหลี่มู่ยังคงห่างชั้นอยู่บ้าง ในเมื่อมันยังทนได้ ก็หมายถึงว่าหลี่มู่ทานสายฟ้านี้ได้โดยที่ไม่ตายเช่นกัน จากประตูหินจนถึงห้องหินเป็นทางเดินยาวราวสองจั้ง ถ้าค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละชุ่นก็ใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ต้านทานสายฟ้าในเวลาหนึ่งถ้วยชา สำหรับหลี่มู่แล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ในเมื่อเป็นเช่นนี้

หลี่มู่ยิ้มๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออก

ในหยกเก็บของของเขา เหลือเพียงเสื้อผ้าบนตัวเป็นชุดสุดท้ายแล้ว ย่อมจะให้สายฟ้าทำลายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องเดินเปลือยก้นออกจากฟ้านิจนิรันดร์แน่ อย่างนั้นก็น่าอัปยศเกินไป เพราะชื่อเสียงของเขาด้านนอกเป็นถึงครึ่งเทวะไท่ไป๋อ๋องแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกเชียวนะ ถ้าหากมีคนเห็นเดินเปลือยก้นละก็ ไม่ต้องถึงครึ่งวัน ชื่อเสียงวิตถารคงจะแพร่ไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจวแน่…แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว

ถอดเสื้อผ้าเสร็จ หลี่มู่ก็ไม่ใส่กระโปรงหญ้าอีก อย่างไรก็ไม่มีความหมาย

เขาขยับตัวเดินเข้าไปด้านในประตูห้องหินทันที

วานรภูเขาขนทองยังคงชักกระตุก ฟองขาวฟูมปาก เหมือนติดพิษอยู่อย่างนั้น

หลี่มู่ยื่นมือ นิ้วมือลอดผ่านประตูหิน ประจุสายฟ้ามากมายปรากฏขึ้นจริงดังคาด แต่มีเพียงความรู้สึกชาเท่านั้น ไม่ได้เจ็บปวดอะไร พลังสายฟ้าระดับนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วไม่มีพลานุภาพใดๆ เลย เขาจึงหันหน้าเหลือบมองวานรภูเขาขนทองที่ชักกระตุกแวบหนึ่ง จากนั้นมือกำดาบวัฏจักร สาวเท้ายาวเดินเข้าไปในประตูหิน

พริบตาเดียว สายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่าง

ความรู้สึกหนึบชาแล่นเข้ามา ในปากหลี่มู่มีควันขโมง ความเจ็บปวดรุนแรง แต่ยังสามารถยืนหยัดได้ ก้าวทีละก้าวเข้าไปส่วนลึกของทางเดินอย่างช้าๆ

ทุกครั้งที่ขยับไปด้านหน้าเล็กน้อย พลังกดดันของสายฟ้าจะแกร่งขึ้นตามไปด้วย

หลี่มู่รู้สึกเหมือนถูกมดนับหมื่นตัวกัดแทะเลือดเนื้อร่างกายของตน

แต่ยังทานทนได้

เขาเดินเข้าไปด้านในทีละก้าว

ตอนนี้เอง วานรภูเขาขนทองที่เดิมทีนอนชักน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น จู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมา เช็ดฟองขาวที่มุมปากแล้วเปลี่ยนมากระโดดโลดเต้น ยังมีท่าทีอ่อนเปลี้ยเพลียแรงให้เห็นเสียที่ไหน มันจ้องมองหลี่มู่ที่อยู่ท่ามกลางสายฟ้าในทางเดินพลางส่งเสียงอู้ๆๆ หัวเราะเย้ยถากถาง

หลี่มู่ได้ยินการเคลื่อนไหว จึงหันกลับไปดู ในใจก็สะดุดกึก

แย่ละ ติดกับแล้ว

“อู้ๆๆ…” วานรภูเขาขนทองคำรามขึ้นอย่างสะใจในความทุกข์คนอื่น จากนั้นยกหินใหญ่ขึ้นมาหลายก้อน ขว้างตรงเข้ามาในประตูหิน

ตูม!

ประตูหินที่ถูกหินกระแทกปรากฏคลื่นลวดลายเต๋าประหลาดขึ้นในพริบตา ประจุสายฟ้าในทางเดินพลันเพิ่มความน่ากลัวขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า เหมือนกับทะเลที่มีคลื่นลมกระโชกแรงอยู่แล้ว จู่ๆ มีพายุโถมเข้ามาซ้ำอีกรอบ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์อันน่าพรั่นพรึง จ้องจะดูดกลืนทุกสิ่งลงไป

“มารดามันเถอะ…” หลี่มู่ทันด่าแค่ครึ่งประโยค ในปากก็มีแต่กระแสสายฟ้าไหลวน ลิ้นชาจนพูดอะไรออกมาไม่ได้

ประจุสายฟ้านับพันนับหมื่นสายพุ่งเข้าไปในร่างของหลี่มู่ ไหลผ่านอวัยวะภายในของเขา

เขาสั่นกระตุกในท่ายืนทันที สั่นจนเหมือนลมชักอย่างไรอย่างนั้น

วานรภูเขาขนทองที่กำลังกระโดดโลดเต้นสะใจอยู่ด้านนอก ถือว่าแก้แค้นได้สำเร็จแล้ว

แต่ว่ายิ้มไปยิ้มมา จู่ๆ มันก็ถลึงตาโต อึ้งค้างอยู่ที่เดิม

เพราะหลี่มู่ที่ชักอยู่ด้านในทางเดินครู่หนึ่ง จมูกปากและใบหูล้วนมีประกายสายฟ้าแล่นผ่าน แขนขาทั้งสี่สั่นระริก แต่ยังคงก้าวต่อไปยังห้องหินที่อยู่ด้านในไม่หยุด ไม่นึกว่าเขาจะสามารถต้านทานพลังสายฟ้าไว้ได้

มันตกตะลึง

จากนั้นใบหน้าเริ่มลนลาน

เพราะในห้องหินนั้นมีสมบัติอยู่จริงๆ มันแอบมองมาไม่รู้กี่ปี คิดหาวิธีมากมายก็ยังไม่สามารถเอาออกมาได้

ใครจะไปคิดว่าเจ้ามนุษย์ชั่วร้ายคนนี้จะต้านทานการโจมตีของสายฟ้าบ้าคลั่งที่ประตูหินได้จริง

วานรภูเขาขนทองจ้องตาปริบๆ หลี่มู่ค่อยๆ เขยิบเข้าไปทีละนิด ใช้ท่าทีประหลาดๆ หลายอย่าง สุดท้ายราวครึ่งชั่วยามเต็มถึงจะออกจากทางเดินนี้ไปได้

แสงสายฟ้าในทางเดินประตูหินสลายหายไปในพริบตา

หลี่มู่ยืนอยู่ในโถงใหญ่ห้องหิน ไหม้เกรียมไปทั้งตัว เส้นผมกลายเป็นฝุ่นหมดแล้ว หนังศีรษะดำเกรียม ดวงตาแดงเถือก ในปากจมูกหูพ่นควันดำออกมา ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ผิวหนังทั่วตัวชั้นหนึ่งที่กลายเป็นเปลือกไหม้ดำก็ร่วงกราวลงบนพื้น เผยให้เห็นเนื้อสดอันร้อนระอุที่อยู่ด้านใน

ทั่วทั้งตัวเหมือนถูกย่างจนสุกในตู้ย่างก็ไม่ปาน

หลี่มู่ในตอนนี้ เหลืออยู่แค่ครึ่งชีวิตจริงๆ

ใครจะไปคิดว่าฝีมือการแสดงของเจ้าวานรภูเขาขนทองจะดีเยี่ยมขนาดนี้

เกือบจะเกิดปัญหาในตอนท้ายสุดเสียแล้ว

แต่ยังดีที่ทนออกมาได้

โชคดีที่มีวิชาฝึกร่างกายอย่าง ‘หมัดยุทธ์แท้’ ตอนท้ายสุดนั้น หลี่มู่อาศัยท่าที่สี่ของหมัดยุทธ์แท้ฝืนทนมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อประสานกับสัญลักษณ์สายฟ้าที่ทางเดินประตูหิน หลี่มู่กลับได้ทุกขลาภมา การฝึกฝนกายเพิ่มระดับไปอีกขั้น หมัดยุทธ์แท้ท่าที่สี่ ‘รวบหางยูง’ ในที่สุดก็สมบูรณ์แบบ ผสมผสานเชื่อมโยงถึงกัน และทำลายขีดจำกัดที่ไม่สามารถทะลวงได้มาตลอด

หลี่มู่กระตุ้น ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ปราณแท้ฟ้าประทานไหลเวียนทั่วร่าง เวลาเพียงไม่ถึงชั่วหนึ่งก้านธูป ก็รักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกเผาโดยสายฟ้าได้ทั้งหมด

เขาราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง

พลังในร่างกายไม่รู้เพิ่มมากขึ้นกี่อีกเท่า

เขาขยับร่างกาย ไม่สนใจวานรภูเขาขนทองที่กำลังหดขาห่อตัวร้องไห้โฮอยู่ด้านนอกประตูหิน ตรงเข้าไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ด้านในโถง หยิบหนังสือเล่มแรกออกมาเปิด เมื่อตัวหนังสือจ้วนโบราณขนาดใหญ่ด้านบนผ่านเข้าสู่ม่านตา ก็ทำให้หลี่มู่สะท้านไปทั้งร่าง ตื่นเต้นจนแทบจะหยุดหายใจ

วิชาขี่เมฆาเหินฟ้า!

นี่คือขี่เมฆาเหินฟ้าที่อยู่ในตำนานเรื่องเล่า วิชาขี่เมฆลึกลับที่ซุนหงอคงตีลังกาหนึ่งครั้งไปได้ไกลกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้?

พระอาจารย์พะ…พะ…พะ…พะ…โพธิของจริงหรือนี่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+