จอมศาสตราพลิกดารา 238 หลานสาวคนโต

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 238 หลานสาวคนโต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดูให้ดีเล่า สาธิตครั้งที่สอง”

หลี่มู่เหนี่ยวสายธนูอีกครั้ง ธนูเทพรั้งจันทราหลอมรวมแสงจันทร์ เพียงปล่อยสายธนู แสงจันทร์สายหนึ่งก็พุ่งไปอย่างรวดเร็วแล้วกลืนหายไปในความมืด

จากที่ไกลๆ มีเสียงวัตถุหนักร่วงลงพื้นดังมา

แทบไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าเป็นเสียงตัวประหลาดผีดิบถูกยิงร่วงลงมาจากกลางอากาศ

เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าได้เรียนแค่เศษเสี้ยววิชาของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เท่านั้น ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังในท้องทุ่งหญ้า และกลายเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่า จะเห็นได้ถึงความเลิศล้ำและความน่ากลัวของวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้ ดังนั้นนางจึงรู้ว่าขอแค่ธนูดอกนี้ถูกยิงออกไป ตัวประหลาดผีดิบนั่นได้ตายแน่นอน

หาก ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ จับเป้าหมายแล้วจะหนีรอดไปได้อย่างไร?

เทพธิดาแห่งสงครามรู้ถึงความน่ากลัวของวิชาธนูเทพเป็นอย่างดี

นางยิ่งมองออกว่า วิชาธนูของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินไปถึง ‘ระดับเกาทัณฑ์ดั่งจิต’ ซึ่งเป็นลำดับสองในสามระดับคือ ‘จิตอาตมัน’ ‘เกาทัณฑ์ดั่งจิต’ และ ‘ศรสถิตสวรรค์’ ที่บรรยายอยู่ในวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ แล้ว นี่เป็นระดับที่ไม่ใช่วันสองวันก็จะสำเร็จได้ จะต้องฝึกฝนวิชาธนูเทพมาหลายสิบปีแล้ว

“สาธิตครั้งที่สาม ดูให้ดีล่ะ”

หลี่มู่ขึ้นสายธนูครั้งที่สาม

ระหว่างที่เขาพูดก็ดึงธนูเทพรั้งจันทราอีกครั้ง

คราวนี้ หลี่มู่สำแดงระดับที่สูงที่สุดของวิชาธนูเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่เขาทำได้ในตอนนี้ แสงจันทร์สีเงินยวงทั่วฟ้าราวเกล็ดหิมะโปรยปราย หลอมรวมมายังสายของธนูรั้งจันทรา ด้านหน้าธนูมีแสงจันทร์ทะลักเข้ามา มีรูปดวงจันทร์เก่าแก่แปลกประหลาดหมุนวน อักขระลึกลับแปลงออกมาจากในคันธนู ค่ายกลวิชาเวทดาวหกแฉกขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นวูบวาบ แสงจันทร์หลอมรวมเป็นลูกธนูยาวดอกใหญ่ดอกหนึ่ง ก่อนลอยออกมาจากค่ายกลวิชาเวทดาวหกแฉก

ใต้หน้ากากผียิ้มสีเงิน หลี่มู่เบิกเนตรสวรรค์

ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวที่ซ่อนตัวในเงามืดถอยหลังไปอย่างช้าๆ ถูกจับตำแหน่งได้อย่างแม่นยำราวกับลิงในกล้องจับความร้อน หลี่มู่เล็งเป้าแล้วยิงออกไป

แสงจันทร์พุ่งทะยาน

ประกายวาววับขนาดใหญ่ยาวหลายสิบจั้งเพียงกะพริบก็แหวกอากาศไป

“อ๊ากกก” เสียงร้องตกใจของผู้เฒ่าแมงมุมเขียวดังขึ้นในความมืด แขนข้างหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้าพร้อมโชกไปด้วยเลือด บนพื้นปรากฏรอยเลือดเป็นทาง หยดตั้งแต่ปากตรอกลึกเข้าไปไกลในความมืด

หืม?

หลี่มู่ตกใจเล็กน้อย

ธนูดอกนี้ปลิดชีวิตของเจ้าเฒ่าประหลาดนี่ไม่ได้อย่างนั้นรึ?

เหมือนว่าบนร่างของเขาจะมีของวิเศษไอปีศาจที่ป้องกันความตายได้?

เขาเก็บ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ไประหว่างที่ขบคิด จากนั้นก้มลงมามองคนที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้า กล่าวว่า “เป็นอย่างไร ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าพี่กัวอวี่ชิงเป็นอะไรกับเจ้า?”

“เจ้ารู้จักกับท่านลุงกัวได้อย่างไร?” เทพธิดาสงครามย้อนถาม

พูดอย่างนี้เท่ากับยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างนางกับกัวอวี่ชิงแล้ว

“เราพบกันโดยบังเอิญ ถูกชะตากันเป็นอย่างมาก จึงสาบานเป็นพี่น้องกัน” หลี่มู่ตอบ “เจ้าเรียกพี่ใหญ่กัวว่าท่านลุงกัว เขาเป็นพี่ชายของพ่อเจ้า?”

เทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้าตอบ “ข้าชื่อกัวชิงเยียน”

หลี่มู่เข้าใจในทันที ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นหลานสาวคนโตนี่เอง…ฮี่ๆ ฮ่าๆๆๆ” หลี่มู่อดหัวเราะไม่ได้ ประโยคนี้ทำเอาภาพลักษณ์ยอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สร้างขึ้นมาพังครืน เผยความชั่วร้ายปากเสียของราชาปีศาจหลี่มู่ออกมาแล้ว

เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเหงื่อตก

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือต่างนิ่งอึ้ง

ภาพฉากกลายเป็นน่าตลกขบขันไปทันใด

แต่ทว่าหลี่มู่ก็พูดไม่ผิด หากนับลำดับอาวุโส ธิดาเทพชิงเยียนก็เป็นหลานสาวคนโตของกัวอวี่ชิงจริงๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือช่วย” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ประสานมือเอ่ยขอบคุณ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คืนนี้หากคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินไม่ปรากฏตัวทันเวลา แล้วยิงธนูสามดอกทำให้ศัตรูล่าถอยไปละก็ เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาคงจะต้องฝังร่างไว้ที่นี่แล้ว

“ผู้อาวุโส?” หลี่มู่พูด “อย่าๆๆ ข้าเด็กกว่าเจ้ามากนัก”

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เอ่ยไม่ออก

“ท่านลุงกัวตอนนี้อยู่ที่ใด? เขา…สบายดีหรือไม่?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากัวชิงเยียนถามขึ้นอย่างลังเลและตื่นเต้น

“สบายดี อยู่ดีกินดี มีทั้งลูกสาวลูกชาย อืม เขาอยู่ในจักรวรรดิฉิน หากเจ้าอยากเจอเขาข้าพาเจ้าไปหาได้” หลี่มู่ไม่ได้พูดละเอียดนัก

เห็นได้ชัดว่ากัวชิงเยียนค่อนข้างสนใจ

แต่เมื่อนางมองสหายรอบๆ แล้วก็ระงับความปรารถนาในใจไว้ “ข้าต้องกลับที่ราบทุ่งหญ้าก่อน ยังมีเรื่องสำคัญอีก…ผู้อาวุโส ท่านบอกที่อยู่ของท่านได้หรือไม่ รอให้ผู้น้อยจัดการเรื่องในทุ่งหญ้าเรียบร้อยแล้วจะกลับมาเยี่ยมเยือนท่าน แล้วไปพบท่านลุงกัวด้วยกัน?”

หลี่มู่พยักหน้ากล่าว “ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้วุ่นวาย ในเมืองฉางอันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ควรรั้งอยู่นาน ข้าจะส่งเจ้าออกนอกเมืองเอง”

เรื่องดีต้องทำให้ถึงที่สุด ส่งพระต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป

ในเมื่อเป็นหลานสาวของพี่กัว เช่นนั้นย่อมต้องส่งพวกนางออกนอกเมืองไปอย่างปลอดภัย

“ขอบคุณผู้อาวุโส” กุนซือของชาวที่ราบทุ่งหญ้าได้ยินดังนั้นก็ดีใจนัก

นักรบที่ราบทุ่งหญ้าคนอื่นก็มีสีหน้าลิงโลดเช่นกัน

มีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สูงส่งเกินหยั่งแบบนี้คุ้มกัน เช่นนั้นการออกไปจากเมืองฉางอันอย่างปลอดภัยก็แทบจะไม่ใช่ปัญหาแล้ว ไม่ต้องวิตกหวาดกลัวอีก นี่ช่างเป็นโชคที่หล่นมาจากฟ้าจริงๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” กัวชิงเยียนก็เอ่ยขอบคุณเช่นกัน

“ฮ่าๆ หลานสาวคนดี เรียกท่านอาเถอะ” หลี่มู่หัวเราะอย่างมีความสุข ลำดับอาวุโสเป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ เขาร่วมสาบานกับพี่กัว ไม่นึกว่าจะมีหลานสาวสวยสะพรั่งเช่นนี้คนหนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าตนนิดหน่อย ฮี่ๆ สนุกดีเหมือนกัน

กัวชิงเยียนก้มหน้า ไม่สนใจเขา

เห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีทำ

เมื่อครู่ที่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เรียกผู้อาวุโส คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินบอกตัวเองยังเด็กมาก อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้วเกรงว่าคงจะอายุไม่มาก ตอนนี้กลับให้ตนเรียกท่านอา…เจ้านี่ค่อนข้างน่าชังนัก

กุนซือของชาวทุ่งหญ้าสั่งให้คนไปเก็บร่างของทหารและองครักษ์หญิงเทพหมาป่าที่ตายไปมา

คืนนี้ นักรบแห่งที่ราบทุ่งหญ้าสูญเสียสาหัส ทหารชั้นยอดที่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์นำมาล้มตายไปกว่าครึ่ง องครักษ์หญิงเทพหมาป่าสี่สิบห้าคนก็รบตายไปสิบสองคนจากศึกเมื่อครู่ นี่ทำให้จิตใจของเหล่านักรบแห่งทุ่งหญ้าย่ำแย่นัก

“ยังมีพวกเราบางคนอยู่ในเมือง” กุนซือหนุ่มเอ่ย

หลี่มู่เอ่ยแนะ “เช่นนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกเขา”

พวกนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และธิดาเทพชิงเยียนเชื่อมั่นในตัวหลี่มู่มาก นี่ไม่ใช่แค่เพราะเขาเอาชนะตัวประหลาดผีดิบและผู้เฒ่าแมงมุมเขียวได้ แต่ยิ่งเป็นเพราะ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่เขาสำแดงออกมาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ พวกเขาล้วนเชื่อว่าสิ่งที่หลี่มู่พูดเป็นความจริง มิฉะนั้น ท่านผู้นั้นที่เป็นตำนานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าคงไม่มีทางถ่ายทอด ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ และมอบ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ให้แก่เขา

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชา ทหารที่ราบทุ่งหญ้าที่ตั้งแถวเตรียมพร้อมอยู่ไกลๆ อีกกลุ่มก็มารวมตัวกับทุกคน

“พวกเราจะฝ่าทะลวงประตูเมืองไหน?” กุนซือหนุ่มหันไปมองหลี่มู่

หลี่มู่ไม่ตอบ กลับบอกว่า “ฝ่าประตูเมืองเปลืองแรงจะตาย”

“เอ่อ เช่นนั้นปีนกำแพงเมือง?” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เอ่ย

หลี่มู่ส่ายหน้า “ปีนกำแพงก็เปลืองแรงเหมือนกัน”

“เช่นนั้นจะออกจากเมืองอย่างไรดี?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น

หลี่มู่ตอบอย่างลึกลับ “แน่นอนว่าข้ามีวิธี…ให้ข้าดูหน่อย”

เขากระโดดขึ้นไปบนเจดีย์สูงหลังหนึ่งแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็กระโดดลงมา “พวกเจ้าตามข้ามา”

หลังลัดเลาะไปหลายตรอกซอกซอยสองสามครั้ง คนทั้งหลายก็มาถึงลานตลาดแห่งหนึ่ง ยามกลางวันตลาดนัดแห่งนี้มีคนแน่นขนัด เป็นที่ที่คึกคักที่สุด ทว่าตอนนี้เป็นเวลากลางดึก จึงกว้างโล่งไร้เงาคน

หลี่มู่บอก “ส่งคนไประวังภัยรอบๆ”

พวกเทพธิดาสงครามทำหน้าสงสัย ก็ไม่รู้ว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เนื่องจากเชื่อใจ จึงรีบให้นักรบทุ่งหญ้าไประวังภัยรอบๆ ไว้ทันที

เห็นหลี่มู่ยืนอยู่บนลานใต้แสงจันทร์ สองเท้าแยกออกประมาณหนึ่งจั้ง จากนั้นนิ้วมือขยับเหมือนกำลังพยากรณ์ สุดท้ายเขาก็วาดรูปหกเหลี่ยมแปลกประหลาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองจั้งลงบนลาน เขายืนอยู่กลางรูปหกเหลี่ยม งอนิ้วดีด และใช้ลมดัชนีขีดเส้นถี่ยิบไปบนพื้น

“นี่มัน…ค่ายกลดาราของจอมเวท?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากัวชิงเยียนกล่าวอย่างสงสัย

หลี่มู่หันมาหัวเราะ ตอบว่า “หลานสาวช่างฉลาดจริงๆ”

ใบหน้างามล้ำเลิศของกัวชิงเยียนฉายแววคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด

เหตุใดท่านลุงกัวจึงร่วมสาบานกับคนน่าโมโหแบบนี้ได้?

กุนซือหนุ่มและพวกนายน้อยเผ่ายิงจันทร์จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

จอมยุทธ์ที่พลังสูงส่งเกินหยั่งผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด แต่ท่าทางทำตัวไม่น่าเคารพ ไม่จริงจัง…หรือผู้สูงส่งที่เที่ยวเล่นไปวันๆ จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด? น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะได้เห็นธิดาเทพชิงเยียนซึ่งเหมือนภูเขาน้ำแข็งเผยสีหน้าแบบนี้ออกมาเมื่อถูกคนหยอกล้อ

เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป

หลี่มู่สลักสัญลักษณ์เหมือนกับครอปเซอร์เคิล[1]ที่ซับซ้อนและประหลาดมากไว้บนพื้น จากนั้นเขาก็วางหยกขนาดเท่ากำปั้นลงบนทุกมุมของแฉกดาวหกเหลี่ยม

หลี่มู่ประสานปางมือ ดึงพลังแสงจันทร์บนฟ้าให้หลอมไปในหยกทั้งหกชิ้น

ทันใดนั้นเส้นบนพื้นมีแสงสีเงินหมุนวน ประหนึ่งแสงจันทร์ไหลไปตามรอยสลัก เป็นภาพที่งดงามชวนให้ตื่นตะลึง จวบจนแสงจันทร์สีเงินบรรจุจนเต็มทุกเส้นสลักแล้ว พื้นดินก็สั่นไหวเล็กน้อย วงแสงปรากฏขึ้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันลึกลับก็เสร็จสิ้น

“เข้าไปในค่ายกลนี่ก็จะส่งพวกเจ้าออกไปนอกเมืองได้” หลี่มู่เอ่ย “ทางออกอยู่นอกเมืองไปประมาณสามสิบลี้ในป่าทึบแห่งหนึ่ง”

กุนซือหนุ่มลิงโลด กล่าวว่า “ขอแค่ออกไปจากเมือง ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแล้ว”

ธิดาเทพชิงเยียนใช้สายตาประหลาดยิ่งมองหลี่มู่

ไม่ใช่แค่พลังฝึกวิถียุทธ์ล้ำลึก แต่ยังเป็นจอมเวทอีกด้วย…สลักค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นมาได้ง่ายๆ แบบนี้ พลังฝึกวิชาเวทมิเหนือขั้นฟ้าประทานไปแล้วหรือ? ฝึกฝนวิชาเวทและวิชายุทธ์จนถึงขั้นนี้ จะใช้แค่คำว่าพิสดารมาบรรยายได้อย่างไร? คนแบบนี้เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินนามมาก่อน?

ระหว่างที่ในใจของนางคิดแบบนี้ พวกกุนซือหนุ่มก็จัดทหารเข้าไปในค่ายกลและถอนกำลังกันแล้ว

ชาวที่ราบทุ่งหญ้า หากเชื่อมั่นในคนคนหนึ่งแล้วก็จะเชื่ออย่างสุดใจ

สุดท้าย ชาวที่ราบทุ่งหญ้าเกือบร้อยคนก็เคลื่อนย้ายจากไป เหลือเพียงแค่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ กุนซือหนุ่ม และธิดาเทพชิงเยียนสามคนเท่านั้น

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือหนุ่มประสานมือเอ่ยขอบคุณ

หลี่มู่หัวเราะฮิๆ ก่อนกล่าว “ข้าว่าหากพวกเจ้าอยากจะขอบคุณ ก็ทำให้เห็นจริงๆ หน่อยสิ อย่าพูดอยู่แต่กับปาก…”

สองคนตะลึงตาค้างไปทันใด

เขาพูดแบบนี้มันไม่ถูกต้องสิ

หลี่มู่โบกมือบอก “ดูสิ พอบอกให้ทำอะไรให้เห็นจริงๆ ก็ทำท่าแบบนี้ เอาละๆ พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ส่วนนางอยู่ก่อน” หลี่มู่ชี้ไปยังธิดาเทพชิงเยียนที่อยู่ข้างๆ

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 238 หลานสาวคนโต

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 238 หลานสาวคนโต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดูให้ดีเล่า สาธิตครั้งที่สอง”

หลี่มู่เหนี่ยวสายธนูอีกครั้ง ธนูเทพรั้งจันทราหลอมรวมแสงจันทร์ เพียงปล่อยสายธนู แสงจันทร์สายหนึ่งก็พุ่งไปอย่างรวดเร็วแล้วกลืนหายไปในความมืด

จากที่ไกลๆ มีเสียงวัตถุหนักร่วงลงพื้นดังมา

แทบไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าเป็นเสียงตัวประหลาดผีดิบถูกยิงร่วงลงมาจากกลางอากาศ

เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าได้เรียนแค่เศษเสี้ยววิชาของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เท่านั้น ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังในท้องทุ่งหญ้า และกลายเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่า จะเห็นได้ถึงความเลิศล้ำและความน่ากลัวของวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้ ดังนั้นนางจึงรู้ว่าขอแค่ธนูดอกนี้ถูกยิงออกไป ตัวประหลาดผีดิบนั่นได้ตายแน่นอน

หาก ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ จับเป้าหมายแล้วจะหนีรอดไปได้อย่างไร?

เทพธิดาแห่งสงครามรู้ถึงความน่ากลัวของวิชาธนูเทพเป็นอย่างดี

นางยิ่งมองออกว่า วิชาธนูของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินไปถึง ‘ระดับเกาทัณฑ์ดั่งจิต’ ซึ่งเป็นลำดับสองในสามระดับคือ ‘จิตอาตมัน’ ‘เกาทัณฑ์ดั่งจิต’ และ ‘ศรสถิตสวรรค์’ ที่บรรยายอยู่ในวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ แล้ว นี่เป็นระดับที่ไม่ใช่วันสองวันก็จะสำเร็จได้ จะต้องฝึกฝนวิชาธนูเทพมาหลายสิบปีแล้ว

“สาธิตครั้งที่สาม ดูให้ดีล่ะ”

หลี่มู่ขึ้นสายธนูครั้งที่สาม

ระหว่างที่เขาพูดก็ดึงธนูเทพรั้งจันทราอีกครั้ง

คราวนี้ หลี่มู่สำแดงระดับที่สูงที่สุดของวิชาธนูเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่เขาทำได้ในตอนนี้ แสงจันทร์สีเงินยวงทั่วฟ้าราวเกล็ดหิมะโปรยปราย หลอมรวมมายังสายของธนูรั้งจันทรา ด้านหน้าธนูมีแสงจันทร์ทะลักเข้ามา มีรูปดวงจันทร์เก่าแก่แปลกประหลาดหมุนวน อักขระลึกลับแปลงออกมาจากในคันธนู ค่ายกลวิชาเวทดาวหกแฉกขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นวูบวาบ แสงจันทร์หลอมรวมเป็นลูกธนูยาวดอกใหญ่ดอกหนึ่ง ก่อนลอยออกมาจากค่ายกลวิชาเวทดาวหกแฉก

ใต้หน้ากากผียิ้มสีเงิน หลี่มู่เบิกเนตรสวรรค์

ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวที่ซ่อนตัวในเงามืดถอยหลังไปอย่างช้าๆ ถูกจับตำแหน่งได้อย่างแม่นยำราวกับลิงในกล้องจับความร้อน หลี่มู่เล็งเป้าแล้วยิงออกไป

แสงจันทร์พุ่งทะยาน

ประกายวาววับขนาดใหญ่ยาวหลายสิบจั้งเพียงกะพริบก็แหวกอากาศไป

“อ๊ากกก” เสียงร้องตกใจของผู้เฒ่าแมงมุมเขียวดังขึ้นในความมืด แขนข้างหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้าพร้อมโชกไปด้วยเลือด บนพื้นปรากฏรอยเลือดเป็นทาง หยดตั้งแต่ปากตรอกลึกเข้าไปไกลในความมืด

หืม?

หลี่มู่ตกใจเล็กน้อย

ธนูดอกนี้ปลิดชีวิตของเจ้าเฒ่าประหลาดนี่ไม่ได้อย่างนั้นรึ?

เหมือนว่าบนร่างของเขาจะมีของวิเศษไอปีศาจที่ป้องกันความตายได้?

เขาเก็บ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ไประหว่างที่ขบคิด จากนั้นก้มลงมามองคนที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้า กล่าวว่า “เป็นอย่างไร ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าพี่กัวอวี่ชิงเป็นอะไรกับเจ้า?”

“เจ้ารู้จักกับท่านลุงกัวได้อย่างไร?” เทพธิดาสงครามย้อนถาม

พูดอย่างนี้เท่ากับยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างนางกับกัวอวี่ชิงแล้ว

“เราพบกันโดยบังเอิญ ถูกชะตากันเป็นอย่างมาก จึงสาบานเป็นพี่น้องกัน” หลี่มู่ตอบ “เจ้าเรียกพี่ใหญ่กัวว่าท่านลุงกัว เขาเป็นพี่ชายของพ่อเจ้า?”

เทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้าตอบ “ข้าชื่อกัวชิงเยียน”

หลี่มู่เข้าใจในทันที ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

“ฮ่าๆ ที่แท้เป็นหลานสาวคนโตนี่เอง…ฮี่ๆ ฮ่าๆๆๆ” หลี่มู่อดหัวเราะไม่ได้ ประโยคนี้ทำเอาภาพลักษณ์ยอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สร้างขึ้นมาพังครืน เผยความชั่วร้ายปากเสียของราชาปีศาจหลี่มู่ออกมาแล้ว

เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเหงื่อตก

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือต่างนิ่งอึ้ง

ภาพฉากกลายเป็นน่าตลกขบขันไปทันใด

แต่ทว่าหลี่มู่ก็พูดไม่ผิด หากนับลำดับอาวุโส ธิดาเทพชิงเยียนก็เป็นหลานสาวคนโตของกัวอวี่ชิงจริงๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือช่วย” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ประสานมือเอ่ยขอบคุณ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คืนนี้หากคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินไม่ปรากฏตัวทันเวลา แล้วยิงธนูสามดอกทำให้ศัตรูล่าถอยไปละก็ เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาคงจะต้องฝังร่างไว้ที่นี่แล้ว

“ผู้อาวุโส?” หลี่มู่พูด “อย่าๆๆ ข้าเด็กกว่าเจ้ามากนัก”

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เอ่ยไม่ออก

“ท่านลุงกัวตอนนี้อยู่ที่ใด? เขา…สบายดีหรือไม่?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากัวชิงเยียนถามขึ้นอย่างลังเลและตื่นเต้น

“สบายดี อยู่ดีกินดี มีทั้งลูกสาวลูกชาย อืม เขาอยู่ในจักรวรรดิฉิน หากเจ้าอยากเจอเขาข้าพาเจ้าไปหาได้” หลี่มู่ไม่ได้พูดละเอียดนัก

เห็นได้ชัดว่ากัวชิงเยียนค่อนข้างสนใจ

แต่เมื่อนางมองสหายรอบๆ แล้วก็ระงับความปรารถนาในใจไว้ “ข้าต้องกลับที่ราบทุ่งหญ้าก่อน ยังมีเรื่องสำคัญอีก…ผู้อาวุโส ท่านบอกที่อยู่ของท่านได้หรือไม่ รอให้ผู้น้อยจัดการเรื่องในทุ่งหญ้าเรียบร้อยแล้วจะกลับมาเยี่ยมเยือนท่าน แล้วไปพบท่านลุงกัวด้วยกัน?”

หลี่มู่พยักหน้ากล่าว “ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้วุ่นวาย ในเมืองฉางอันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ควรรั้งอยู่นาน ข้าจะส่งเจ้าออกนอกเมืองเอง”

เรื่องดีต้องทำให้ถึงที่สุด ส่งพระต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป

ในเมื่อเป็นหลานสาวของพี่กัว เช่นนั้นย่อมต้องส่งพวกนางออกนอกเมืองไปอย่างปลอดภัย

“ขอบคุณผู้อาวุโส” กุนซือของชาวที่ราบทุ่งหญ้าได้ยินดังนั้นก็ดีใจนัก

นักรบที่ราบทุ่งหญ้าคนอื่นก็มีสีหน้าลิงโลดเช่นกัน

มีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สูงส่งเกินหยั่งแบบนี้คุ้มกัน เช่นนั้นการออกไปจากเมืองฉางอันอย่างปลอดภัยก็แทบจะไม่ใช่ปัญหาแล้ว ไม่ต้องวิตกหวาดกลัวอีก นี่ช่างเป็นโชคที่หล่นมาจากฟ้าจริงๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” กัวชิงเยียนก็เอ่ยขอบคุณเช่นกัน

“ฮ่าๆ หลานสาวคนดี เรียกท่านอาเถอะ” หลี่มู่หัวเราะอย่างมีความสุข ลำดับอาวุโสเป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ เขาร่วมสาบานกับพี่กัว ไม่นึกว่าจะมีหลานสาวสวยสะพรั่งเช่นนี้คนหนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าตนนิดหน่อย ฮี่ๆ สนุกดีเหมือนกัน

กัวชิงเยียนก้มหน้า ไม่สนใจเขา

เห็นได้ชัดว่าไม่ยินดีทำ

เมื่อครู่ที่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เรียกผู้อาวุโส คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินบอกตัวเองยังเด็กมาก อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้วเกรงว่าคงจะอายุไม่มาก ตอนนี้กลับให้ตนเรียกท่านอา…เจ้านี่ค่อนข้างน่าชังนัก

กุนซือของชาวทุ่งหญ้าสั่งให้คนไปเก็บร่างของทหารและองครักษ์หญิงเทพหมาป่าที่ตายไปมา

คืนนี้ นักรบแห่งที่ราบทุ่งหญ้าสูญเสียสาหัส ทหารชั้นยอดที่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์นำมาล้มตายไปกว่าครึ่ง องครักษ์หญิงเทพหมาป่าสี่สิบห้าคนก็รบตายไปสิบสองคนจากศึกเมื่อครู่ นี่ทำให้จิตใจของเหล่านักรบแห่งทุ่งหญ้าย่ำแย่นัก

“ยังมีพวกเราบางคนอยู่ในเมือง” กุนซือหนุ่มเอ่ย

หลี่มู่เอ่ยแนะ “เช่นนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกเขา”

พวกนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และธิดาเทพชิงเยียนเชื่อมั่นในตัวหลี่มู่มาก นี่ไม่ใช่แค่เพราะเขาเอาชนะตัวประหลาดผีดิบและผู้เฒ่าแมงมุมเขียวได้ แต่ยิ่งเป็นเพราะ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่เขาสำแดงออกมาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ พวกเขาล้วนเชื่อว่าสิ่งที่หลี่มู่พูดเป็นความจริง มิฉะนั้น ท่านผู้นั้นที่เป็นตำนานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าคงไม่มีทางถ่ายทอด ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ และมอบ ‘ธนูรั้งจันทรา’ ให้แก่เขา

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งถ้วยชา ทหารที่ราบทุ่งหญ้าที่ตั้งแถวเตรียมพร้อมอยู่ไกลๆ อีกกลุ่มก็มารวมตัวกับทุกคน

“พวกเราจะฝ่าทะลวงประตูเมืองไหน?” กุนซือหนุ่มหันไปมองหลี่มู่

หลี่มู่ไม่ตอบ กลับบอกว่า “ฝ่าประตูเมืองเปลืองแรงจะตาย”

“เอ่อ เช่นนั้นปีนกำแพงเมือง?” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เอ่ย

หลี่มู่ส่ายหน้า “ปีนกำแพงก็เปลืองแรงเหมือนกัน”

“เช่นนั้นจะออกจากเมืองอย่างไรดี?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น

หลี่มู่ตอบอย่างลึกลับ “แน่นอนว่าข้ามีวิธี…ให้ข้าดูหน่อย”

เขากระโดดขึ้นไปบนเจดีย์สูงหลังหนึ่งแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็กระโดดลงมา “พวกเจ้าตามข้ามา”

หลังลัดเลาะไปหลายตรอกซอกซอยสองสามครั้ง คนทั้งหลายก็มาถึงลานตลาดแห่งหนึ่ง ยามกลางวันตลาดนัดแห่งนี้มีคนแน่นขนัด เป็นที่ที่คึกคักที่สุด ทว่าตอนนี้เป็นเวลากลางดึก จึงกว้างโล่งไร้เงาคน

หลี่มู่บอก “ส่งคนไประวังภัยรอบๆ”

พวกเทพธิดาสงครามทำหน้าสงสัย ก็ไม่รู้ว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เนื่องจากเชื่อใจ จึงรีบให้นักรบทุ่งหญ้าไประวังภัยรอบๆ ไว้ทันที

เห็นหลี่มู่ยืนอยู่บนลานใต้แสงจันทร์ สองเท้าแยกออกประมาณหนึ่งจั้ง จากนั้นนิ้วมือขยับเหมือนกำลังพยากรณ์ สุดท้ายเขาก็วาดรูปหกเหลี่ยมแปลกประหลาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองจั้งลงบนลาน เขายืนอยู่กลางรูปหกเหลี่ยม งอนิ้วดีด และใช้ลมดัชนีขีดเส้นถี่ยิบไปบนพื้น

“นี่มัน…ค่ายกลดาราของจอมเวท?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้ากัวชิงเยียนกล่าวอย่างสงสัย

หลี่มู่หันมาหัวเราะ ตอบว่า “หลานสาวช่างฉลาดจริงๆ”

ใบหน้างามล้ำเลิศของกัวชิงเยียนฉายแววคลุ้มคลั่งขึ้นทันใด

เหตุใดท่านลุงกัวจึงร่วมสาบานกับคนน่าโมโหแบบนี้ได้?

กุนซือหนุ่มและพวกนายน้อยเผ่ายิงจันทร์จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

จอมยุทธ์ที่พลังสูงส่งเกินหยั่งผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด แต่ท่าทางทำตัวไม่น่าเคารพ ไม่จริงจัง…หรือผู้สูงส่งที่เที่ยวเล่นไปวันๆ จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด? น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะได้เห็นธิดาเทพชิงเยียนซึ่งเหมือนภูเขาน้ำแข็งเผยสีหน้าแบบนี้ออกมาเมื่อถูกคนหยอกล้อ

เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาผ่านไป

หลี่มู่สลักสัญลักษณ์เหมือนกับครอปเซอร์เคิล[1]ที่ซับซ้อนและประหลาดมากไว้บนพื้น จากนั้นเขาก็วางหยกขนาดเท่ากำปั้นลงบนทุกมุมของแฉกดาวหกเหลี่ยม

หลี่มู่ประสานปางมือ ดึงพลังแสงจันทร์บนฟ้าให้หลอมไปในหยกทั้งหกชิ้น

ทันใดนั้นเส้นบนพื้นมีแสงสีเงินหมุนวน ประหนึ่งแสงจันทร์ไหลไปตามรอยสลัก เป็นภาพที่งดงามชวนให้ตื่นตะลึง จวบจนแสงจันทร์สีเงินบรรจุจนเต็มทุกเส้นสลักแล้ว พื้นดินก็สั่นไหวเล็กน้อย วงแสงปรากฏขึ้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันลึกลับก็เสร็จสิ้น

“เข้าไปในค่ายกลนี่ก็จะส่งพวกเจ้าออกไปนอกเมืองได้” หลี่มู่เอ่ย “ทางออกอยู่นอกเมืองไปประมาณสามสิบลี้ในป่าทึบแห่งหนึ่ง”

กุนซือหนุ่มลิงโลด กล่าวว่า “ขอแค่ออกไปจากเมือง ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแล้ว”

ธิดาเทพชิงเยียนใช้สายตาประหลาดยิ่งมองหลี่มู่

ไม่ใช่แค่พลังฝึกวิถียุทธ์ล้ำลึก แต่ยังเป็นจอมเวทอีกด้วย…สลักค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นมาได้ง่ายๆ แบบนี้ พลังฝึกวิชาเวทมิเหนือขั้นฟ้าประทานไปแล้วหรือ? ฝึกฝนวิชาเวทและวิชายุทธ์จนถึงขั้นนี้ จะใช้แค่คำว่าพิสดารมาบรรยายได้อย่างไร? คนแบบนี้เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินนามมาก่อน?

ระหว่างที่ในใจของนางคิดแบบนี้ พวกกุนซือหนุ่มก็จัดทหารเข้าไปในค่ายกลและถอนกำลังกันแล้ว

ชาวที่ราบทุ่งหญ้า หากเชื่อมั่นในคนคนหนึ่งแล้วก็จะเชื่ออย่างสุดใจ

สุดท้าย ชาวที่ราบทุ่งหญ้าเกือบร้อยคนก็เคลื่อนย้ายจากไป เหลือเพียงแค่นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ กุนซือหนุ่ม และธิดาเทพชิงเยียนสามคนเท่านั้น

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือหนุ่มประสานมือเอ่ยขอบคุณ

หลี่มู่หัวเราะฮิๆ ก่อนกล่าว “ข้าว่าหากพวกเจ้าอยากจะขอบคุณ ก็ทำให้เห็นจริงๆ หน่อยสิ อย่าพูดอยู่แต่กับปาก…”

สองคนตะลึงตาค้างไปทันใด

เขาพูดแบบนี้มันไม่ถูกต้องสิ

หลี่มู่โบกมือบอก “ดูสิ พอบอกให้ทำอะไรให้เห็นจริงๆ ก็ทำท่าแบบนี้ เอาละๆ พวกเจ้าไปก่อนเถอะ ส่วนนางอยู่ก่อน” หลี่มู่ชี้ไปยังธิดาเทพชิงเยียนที่อยู่ข้างๆ

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+