จอมศาสตราพลิกดารา 276 ไพ่ตายใบสุดท้าย

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 276 ไพ่ตายใบสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่กังหน้าถอดสี กระตุ้นจิตแห่งกระบี่ขึ้นมา ภายในชั่วเวลาสั้นๆ เขาทำได้เพียงฝืนต้านกรงเล็บมังกรทองไว้ จากนั้นจึงรู้สึกว่าพลังระดับถล่มภูผาถมทะเลปะทะเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างเขากระเด็นเข้าไปหากระบี่ทางช้างเผือกที่พุ่งมาตรงหน้า

ส่วนเฉาปิ่งเหยียนก็ราวกับรู้อยู่แล้วว่าภาพฉากนี้ต้องเกิดขึ้น

เขาแสยะยิ้ม ใช้พลังบ้าคลั่งที่สุดในระดับที่ไม่สนใจว่าจะเผาไหม้ตนเองกระตุ้นกระบี่ทางช้างเผือก ก่อนแทงตรงไปยังหลี่กัง

“โลกนี้จะไม่มีเซียนกระบี่ธุลีแดงอีกต่อไป”

บนหอสูงห่างไปสองลี้ องค์ชายสองเก็บมือกลับช้าๆ มุมปากแสยะยิ้มออกมาบางๆ

เมื่อครู่นี้แน่นอนว่าเป็นเขาเองที่ลอบกัด

เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ต้องไม่เลือกวิธีการ

นี่คือสิ่งแรกที่เขาได้เรียนรู้หลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในราชวงศ์อันแสนหนาวเหน็บนั้น

จิตกระหายต่อสู้ก่อนหน้านี้ ท่าทีที่เหมือนอยากลงมือเต็มแก่ ก็ล้วนเป็นแค่การแสดงของเขาเท่านั้น ใช้เพื่อหลอกให้หลี่กังสับสน การเอาตนเองเข้าไปอยู่ในอันตรายไม่ใช่แนวทางของเขา การจ่ายน้อยที่สุดเพื่อรับกำไรมากที่สุด ถึงจะเป็นมาตรฐานและหลักการของตน ต่อให้เขามีพลังขั้นเหนือมนุษย์ ทว่าตัวเขาไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์เลย

ในยุทธจักรไม่มีชื่อเสียงเรียงนามของเขา เพราะคนในยุทธจักรที่เคยเห็นเขาลงมือต่างตายไปหมดแล้ว

หลิวเฉิงหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายสองกลับไม่พูดไม่จา เหงื่อเย็นๆ สายหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาก ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนติดตามนายคล้ายตามเสือ เลือกจงรักภักดีกับคนเช่นนี้ เขาทำถูกต้องหรือไม่กัน?

“หือ?” จู่ๆ มุมปากที่ยกขึ้นขององค์ชายสองก็ค้างแข็ง

เพราะว่าด้านล่าง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางพลิกกลับ หลี่กังที่เดิมทีกำลังจะถูกกระบี่ทางช้างเผือกแทงทะลุหัวใจ ไม่รู้ว่าใช้วิธีการไหน กลับหนีรอดจากความตายมาได้ ไหล่ขวาแค่ถูกแทงเท่านั้น แต่เฉาปิ่งเหยียนที่แผดเผาตนเองกลับถูกหลี่กังซัดกระเด็น…

รอดมาได้อย่างนั้นหรือ?

ดวงตาขององค์ชายสองฉายประกายชั่วร้าย

“ท่านซุน ลงมือเถิด”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ

ชายหนุ่มด้านหลังที่ดูแล้วเหมือนเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันมาผงกศีรษะ ร่างกายค่อยๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่า ราวกับหายไปจากความเป็นจริง

พริบตาต่อมา หลี่กังที่หน้าหอของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกระอักเลือด พลันรู้สึกถึงจิตสังหารน่าพรั่นพรึงวูบเข้ามาจากด้านข้าง จึงแทงจิตกระบี่ธุลีแดงออกไปทันที เมื่อร่างเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จุดเดิมที่เขาอยู่เหลือเพียงเงาซึ่งถูกประกายเย็นเยียบบดละเอียด

เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้นมาพร้อมจิตสังหารแล้ววูบหายไป

“ดาวลอบสังหารซุนหมิง?”

หลี่กังถามขึ้น

สิ่งที่ตอบเขาเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ “ใต้เท้าหลี่ ไปอย่างสบายๆ เถอะ” นี่เป็นเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ องค์ชายสองคนนั้น

นักฆ่าขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์คนหนึ่ง

ดาวลอบสังหารซุนหมิง กระบี่เงามืดที่ไว้วางใจได้ที่สุดข้างกายองค์ชายสอง ไม่มีใครรู้จักหน้าตาของเขา และไม่มีใครรู้ถึงความสนใจของเขาด้วย เล่าลือกันว่าเขาเป็นคนชรา และก็ลือกันว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยวัยเยาว์ กระทั่งเพศชายหรือหญิงยังพูดไม่เหมือนกัน สิ่งเดียวที่เหมือนคือ กระบี่ในเงามืดผู้นี้อยู่ข้างองค์ชายสองมาโดยตลอด ลอบสังหารศัตรูให้ข้ามานับไม่ถ้วน

หกปีก่อน ซุนหมิงที่อยู่ขั้นฟ้าประทานเคยลอบสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งสำเร็จ ชื่อเสียงจึงเลื่องลือ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบของนักฆ่าแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ทำให้ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนแค่ได้ยินชื่อเสียงก็ขวัญหนีดีฝ่อ ถือเป็นตัวละครที่น่ากลัวยิ่งตัวหนึ่ง

หลี่กังขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “ยังจะดูอยู่อีกหรือ?”

คำพูดนี้ ไม่ใช่คำที่พูดกับซุนหมิง

และแน่นอนว่าไม่ใช่กับเฉาปิ่งเหยียนด้วย

“ขอร้องข้าสิ” เสียงไพเราะของสตรีดังขึ้น ประหนึ่งเสียงสวรรค์ เสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง

เสียงนี้ราวกับมาจากใต้พิภพ เสมือนมาจากต้นไม้ใบหญ้า หรือลอดมาจากหินที่แตก ล่องลอยไปมา แปลกประหลาดอย่างที่สุด

ทักษะการเก็บซ่อนกลิ่นอายของนางแข็งแกร่งกว่าดาวลอบสังหารเสียอีก ก่อนหน้าที่นางจะเอ่ยขึ้น ไม่มีใครรู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย

หลี่กังไม่ได้เปิดปาก เขายังยืนอยู่ที่เดิม พลางเร่งพลังเพื่อรักษาบาดแผล

“ขอร้องข้าสักครั้ง มันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เสียงของสตรีฟังดูตัดพ้อต่อว่า

ทันใดนั้น กลางอากาศมีคลื่นพลังอำพรางสายหนึ่งมาจากทางด้านหลังหลี่กัง คลื่นพลังสีเขียวอ่อนที่คมดั่งดาบลม ราวกับฉลามกระหายเลือดใต้ผิวน้ำกำลังซ่อนเร้นจิตสังหารของตน

หลี่กังเหมือนจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

หรือไม่ก็รู้สึกแล้ว แต่เขาไม่คิดจะหลบหลีก

ขณะที่ดาบลมสีเขียวอ่อนกำลังจะฟันเข้าที่ด้านหลังเขา ทันใดนั้นเอง…

ปึง!

เสียงสนั่นดังขึ้นมา

ลำแสงสีน้ำเงินเข้มที่ยากจะบรรยายได้เส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะหลายลี้

ลำแสงเส้นนี้ไม่มีคลื่นพลังฟ้าดิน และไม่มีกลิ่นอายพลังปราณแท้ แต่ความเร็วกลับอยู่ในระดับที่ไม่น่าเชื่อ เหนือกว่ากำแพงเสียง รอจนเสียงสนั่นนั้นดังกังวาน ลำแสงสีน้ำเงินนี้ก็ถูกยิงออกมาก่อนแล้ว ซ้ำรวดเร็วเสียจนกระทั่งขั้นเหนือมนุษย์อย่างเขาก็ยังไม่ทันตั้งตัว

ด้านหลังของหลี่กังราวสามจั้ง ในความว่างเปล่า จู่ๆ ก็มีระเบิดเลือดสาดกระจาย

เงาโปร่งใสร่างหนึ่งล้มลงกับพื้นและค่อยๆ เผยร่างออกมา เป็นดาวลอบสังหารนั่นเอง

หน้าผากของเขามีรูหนาขนาดนิ้วมือรูหนึ่ง

บาดแผลแปลกประหลาด ขอบรอบๆ มีไอร้อนเหมือนไหม้เกรียม ทะลุจากหน้าไปถึงหลัง

จะเห็นได้ว่าในพริบตานั้น ด้านในกะโหลกศีรษะของดาวลอบสังหารซุนหมิงถูกพลังความร้อนที่น่ากลัวยิ่งสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทำลายจนสุก บาดแผลเช่นนี้ ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งก็ไม่มีทางจะเลี่ยงได้พ้น ซุนหมิงจนตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว เพราะใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มเย็นปรากฏให้เห็น นั่นเป็นสีหน้าของพวกนักฆ่าก่อนลงมือสังหารเหยื่ออย่างเต็มร้อย

ดาวลอบสังหาร ตายลงขณะลอบสังหาร

พริบตานั้น กระทั่งเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าตนจะตาย

นี่มันวิชาเทพอะไรกัน ห่างกันหลายลี้ เพียงชั่วขณะเดียวก็สามารถสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งได้?

หรือจะเป็นวิถีของขั้นเทวะ?

องค์ชายสองที่อยู่บนหอสูงใบหน้าตกตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึก

การตายของซุนหมิงทำเขาตกใจอย่างมากและรับมือไม่ทัน

กระทั่งจะช่วยก็ยังช่วยไม่ทันด้วยซ้ำ

นี่คือไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังหรือ?

“ช่วยเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือ เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” สตรีคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าก็รู้ดี กระสุนของข้า วันหนึ่งยิงได้เพียงครั้งเดียว” เสียงนี้มีเพียงหลี่กังที่ได้ยิน

หลี่กังสีหน้าเรียบนิ่ง เร่งปราณแท้รักษาบาดแผล

สำหรับองค์ชายสองแล้ว สถานการณ์ตอนนี้พลันเปลี่ยนไปเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว

เขามองเห็นไม่ชัด พริบตาเมื่อสักครู่ ลำแสงสีน้ำเงินเข้มนั้นคืออะไรกันแน่

หากลำแสงเมื่อครู่นี้ยิงมาทางตนเองละก็…เขาชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าตนจะสามารถรับการโจมตีนี้ได้หรือไม่ บทสรุปท้ายสุดอาจจะทานไว้ได้ แต่…ก็คงบาดเจ็บ

นี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังจริงๆ

คนคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บหนัก อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีทางออมมือออมแรงไว้ได้

ไม่มีใครที่อยู่ระหว่างความเป็นตายแล้วจะยังซ่อนไพ่ตายเอาไว้โดยไม่ใช้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…

องค์ชายสองพ่นลมหายใจยาวๆ “แพ้ชนะตัดสินกันแล้ว”

ขณะเดียวกัน เฉาปิ่งเหยียนที่บาดเจ็บหนักก็ลงมืออีกครั้ง

จิตแห่งกระบี่ทางช้างเผือกปรากฏ เฉาปิ่งเหยียนที่ร่างครึ่งหนึ่งเริ่มสูญสลายฟันกระบี่ตรงมาสังหารหลี่กังอีกครั้ง

เมื่อเห็นฉากนี้ องค์ชายสองก็รู้ทันทีว่าศึกตัดสินมาถึงแล้ว

เขายิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจ พร้อมชูมือขึ้น

แสงสีเหลืองสายหนึ่งบินออกไปจากมือ ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แผ่ความเกรงขามน่าหวาดผวาออกมา พลังเต๋าในฟ้าดินหมุนวน ในชั่วพริบตานั้น พลังฟ้าดินที่ถูกกระจกสยบฟ้ากดข่มเอาไว้ก็ฟื้นกลับคืน อานุภาพของอาวุธเทพแห่งเมืองฉางอันถูกสลายทันใด

“ด้วยอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิ แจ้งราชโองการ เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ ปกครองดูแลพื้นที่หนึ่งแทนเรา ได้รับเกียรติสูงส่ง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสูง ทว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ มีใจคิดปฏิปักษ์ ลักลอบสั่งสมกำลังทหาร มีโทษสถานหนัก ขอบัญชาฉินฝานบุตรชายเรารับหน้าที่ สังหารขุนนางผู้ต้องโทษผู้นี้พร้อมพรรคพวก ให้ปลิดชีพได้ทันที ไม่ต้องคุมตัวกลับเมืองหลวง พร้อมถอนรากเก้าชั่วโคตร จบราชโองการ!”

เสียงน่าเกรงขามราวกับทวยเทพที่ชี้ขาดสรรพสิ่ง ดังออกมาจากแสงสว่างสีเหลืองกลางอากาศ

นั่นคือราชโองการ

ราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิง

จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตกบัญชาให้สังหารหลี่กัง?

หลี่กังวางแผนก่อกบฏ?

เสียงดังกังวานนี้ ทุกผู้คนในเมืองฉางอันต่างได้ยินอย่างชัดเจนในพริบตา

คนมากมายเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มแสงสีเหลืองอันน่าเกรงขามบนฟ้า ภายในแสงสีเหลืองที่กำลังขยับประกาย มองเห็นได้ว่ามีผ้าไหมสีเหลืองทองผืนหนึ่ง ด้านบนมีลายค่ายกลดาราหมุนวน แผ่อำนาจน่าเกรงขามสูงสุดออกมาสั่นสะเทือนใจคน ราวกับเป็นราชโองการจากปากทวยเทพเองก็มิปาน

นี่…ก็คือราชโองการของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก

ทุกคนต่างมีอาการสั่นเทาและความรู้สึกสวามิภักดิ์ที่ยากจะควบคุมได้ส่งออกมาจากจิตวิญญาณของตน

แผ่นดินใต้ฟ้ากว้าง ไม่มีที่ไหนที่ไม่ใช่แผ่นดินของจักรพรรดิ ในแผ่นดินของจักรพรรดิ ไม่มีใครไม่ใช่คนของจักรพรรดิ

จักรพรรดิต้องการให้ตาย ก็จำต้องตาย

เพราะนี่คือราชโองการ

ทั่วทั้งเมืองฉางอัน คนมากมายต่างรู้สึกตกใจและสับสนกันทันใด

ราชโองการของจักรพรรดิฉินตะวันตกมีพลานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้ สามารถคลี่คลายพลังสะกดของอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ หลังจากที่ราชโองการนี้ปรากฏขึ้น ภายในเมืองฉางอันจึงมีพลังน่าอัศจรรย์แผ่ระลอก พลังฟ้าดินที่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มเอาไว้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืน

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหลี่มู่

“บ้าเอ๊ย!”

เนตรสวรรค์ตรวจเจอว่าขั้นเหนือมนุษย์ห้าคนที่ล้อมตนอยู่ พลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายเริ่มฟื้นฟู เขารู้ตัวทันทีว่าคราวนี้ความบันเทิงครั้งใหญ่กำลังจะมาแล้ว

ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าที่ไม่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มพลัง สามารถดึงพลังฟ้าดินมาได้แล้ว

หลี่มู่หน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที

แล้วยังจะสู้อยู่ทำไมล่ะ

หากพวกขั้นเหนือมนุษย์ฟื้นกำลังรบที่แท้จริงกลับมาละก็ อย่าว่าแต่ห้าคนเลย แค่คนเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้สบายๆ แล้ว เพราะนี่คือการต่อกรกันของพลังในระดับที่ไม่เหมือนกันนี่นา

เขารีบถอยฉากหนี ดาบเหินหาวพุ่งเร็วดุจแสง

“มารดามันเถอะ เจ้าคนไร้ยางอาย”

หลี่มู่หลบการโจมตี ทิ้งระยะห่างออกมา

พริบตานั้น เขาไม่ลืมคว้าตัวชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวออกมาด้วย

ส่วนพวกมู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวที่ตั้งตัวกลับมาแล้วก็พลันลิงโลด รู้สึกว่าในร่างกายฟื้นพลังฟ้าดินกลับมาแล้ว และเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ กลับสู่สภาพปกติ ภายใต้การบำรุงจากพลังวิญญาณในฟ้าดิน บาดแผลบนร่างที่ถูกดาบบินของหลี่มู่โจมตีฟื้นฟูกลับมาได้ในพริบตา

“ฮ่าๆ เจ้าสวะ เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว”

“ขยี้มันให้แหลก”

ขั้นเหนือมนุษย์หลายคนนั้นตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างอดไม่ไหว

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ช่างน่าอัปยศเหลือเกิน

พวกเขาที่เป็นถึงขั้นเหนือมนุษย์อันสูงส่ง หยิบยืมความน่าเกรงขามขององค์ชายสองมาแล้ว ร่วมมือกันล้อมโจมตีชนรุ่นหลังคนหนึ่งอย่างหน้าไม่อาย ท้ายที่สุดสู้กันกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่จะสังหารหลี่มู่ไม่ได้ ตนเองกลับกลายเป็นหินลับมีด ถูกตบหน้ากลับเสียอย่างนั้น แต่ละคนโดนเล่นงานจนหมดอาลัยตายอยาก ความอัปยศในใจแทบทำให้พวกเขาอกแตกตายกันอยู่แล้ว

ตอนนี้ ในที่สุดก็กลับเป็นปกติเสียที

พลังที่เป็นของพวกเขาอย่างแท้จริงกลับมาแล้ว

เมื่อมองหลี่มู่ที่ห้อหนีเหมือนกระต่ายตกใจ ใบหน้าของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าปรากฏจิตสังหารรุนแรงอย่างไม่ปิดบัง

ตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว การสังหารหลี่มู่เป็นเรื่องง่ายแค่ยกมือเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 276 ไพ่ตายใบสุดท้าย

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 276 ไพ่ตายใบสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่กังหน้าถอดสี กระตุ้นจิตแห่งกระบี่ขึ้นมา ภายในชั่วเวลาสั้นๆ เขาทำได้เพียงฝืนต้านกรงเล็บมังกรทองไว้ จากนั้นจึงรู้สึกว่าพลังระดับถล่มภูผาถมทะเลปะทะเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างเขากระเด็นเข้าไปหากระบี่ทางช้างเผือกที่พุ่งมาตรงหน้า

ส่วนเฉาปิ่งเหยียนก็ราวกับรู้อยู่แล้วว่าภาพฉากนี้ต้องเกิดขึ้น

เขาแสยะยิ้ม ใช้พลังบ้าคลั่งที่สุดในระดับที่ไม่สนใจว่าจะเผาไหม้ตนเองกระตุ้นกระบี่ทางช้างเผือก ก่อนแทงตรงไปยังหลี่กัง

“โลกนี้จะไม่มีเซียนกระบี่ธุลีแดงอีกต่อไป”

บนหอสูงห่างไปสองลี้ องค์ชายสองเก็บมือกลับช้าๆ มุมปากแสยะยิ้มออกมาบางๆ

เมื่อครู่นี้แน่นอนว่าเป็นเขาเองที่ลอบกัด

เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ต้องไม่เลือกวิธีการ

นี่คือสิ่งแรกที่เขาได้เรียนรู้หลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในราชวงศ์อันแสนหนาวเหน็บนั้น

จิตกระหายต่อสู้ก่อนหน้านี้ ท่าทีที่เหมือนอยากลงมือเต็มแก่ ก็ล้วนเป็นแค่การแสดงของเขาเท่านั้น ใช้เพื่อหลอกให้หลี่กังสับสน การเอาตนเองเข้าไปอยู่ในอันตรายไม่ใช่แนวทางของเขา การจ่ายน้อยที่สุดเพื่อรับกำไรมากที่สุด ถึงจะเป็นมาตรฐานและหลักการของตน ต่อให้เขามีพลังขั้นเหนือมนุษย์ ทว่าตัวเขาไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นจอมยุทธ์เลย

ในยุทธจักรไม่มีชื่อเสียงเรียงนามของเขา เพราะคนในยุทธจักรที่เคยเห็นเขาลงมือต่างตายไปหมดแล้ว

หลิวเฉิงหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายสองกลับไม่พูดไม่จา เหงื่อเย็นๆ สายหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผาก ตอนนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนติดตามนายคล้ายตามเสือ เลือกจงรักภักดีกับคนเช่นนี้ เขาทำถูกต้องหรือไม่กัน?

“หือ?” จู่ๆ มุมปากที่ยกขึ้นขององค์ชายสองก็ค้างแข็ง

เพราะว่าด้านล่าง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางพลิกกลับ หลี่กังที่เดิมทีกำลังจะถูกกระบี่ทางช้างเผือกแทงทะลุหัวใจ ไม่รู้ว่าใช้วิธีการไหน กลับหนีรอดจากความตายมาได้ ไหล่ขวาแค่ถูกแทงเท่านั้น แต่เฉาปิ่งเหยียนที่แผดเผาตนเองกลับถูกหลี่กังซัดกระเด็น…

รอดมาได้อย่างนั้นหรือ?

ดวงตาขององค์ชายสองฉายประกายชั่วร้าย

“ท่านซุน ลงมือเถิด”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ

ชายหนุ่มด้านหลังที่ดูแล้วเหมือนเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันมาผงกศีรษะ ร่างกายค่อยๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่า ราวกับหายไปจากความเป็นจริง

พริบตาต่อมา หลี่กังที่หน้าหอของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุกระอักเลือด พลันรู้สึกถึงจิตสังหารน่าพรั่นพรึงวูบเข้ามาจากด้านข้าง จึงแทงจิตกระบี่ธุลีแดงออกไปทันที เมื่อร่างเคลื่อนย้ายตำแหน่ง จุดเดิมที่เขาอยู่เหลือเพียงเงาซึ่งถูกประกายเย็นเยียบบดละเอียด

เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้นมาพร้อมจิตสังหารแล้ววูบหายไป

“ดาวลอบสังหารซุนหมิง?”

หลี่กังถามขึ้น

สิ่งที่ตอบเขาเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ “ใต้เท้าหลี่ ไปอย่างสบายๆ เถอะ” นี่เป็นเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ องค์ชายสองคนนั้น

นักฆ่าขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์คนหนึ่ง

ดาวลอบสังหารซุนหมิง กระบี่เงามืดที่ไว้วางใจได้ที่สุดข้างกายองค์ชายสอง ไม่มีใครรู้จักหน้าตาของเขา และไม่มีใครรู้ถึงความสนใจของเขาด้วย เล่าลือกันว่าเขาเป็นคนชรา และก็ลือกันว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยวัยเยาว์ กระทั่งเพศชายหรือหญิงยังพูดไม่เหมือนกัน สิ่งเดียวที่เหมือนคือ กระบี่ในเงามืดผู้นี้อยู่ข้างองค์ชายสองมาโดยตลอด ลอบสังหารศัตรูให้ข้ามานับไม่ถ้วน

หกปีก่อน ซุนหมิงที่อยู่ขั้นฟ้าประทานเคยลอบสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งสำเร็จ ชื่อเสียงจึงเลื่องลือ ถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบของนักฆ่าแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ทำให้ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนแค่ได้ยินชื่อเสียงก็ขวัญหนีดีฝ่อ ถือเป็นตัวละครที่น่ากลัวยิ่งตัวหนึ่ง

หลี่กังขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “ยังจะดูอยู่อีกหรือ?”

คำพูดนี้ ไม่ใช่คำที่พูดกับซุนหมิง

และแน่นอนว่าไม่ใช่กับเฉาปิ่งเหยียนด้วย

“ขอร้องข้าสิ” เสียงไพเราะของสตรีดังขึ้น ประหนึ่งเสียงสวรรค์ เสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง

เสียงนี้ราวกับมาจากใต้พิภพ เสมือนมาจากต้นไม้ใบหญ้า หรือลอดมาจากหินที่แตก ล่องลอยไปมา แปลกประหลาดอย่างที่สุด

ทักษะการเก็บซ่อนกลิ่นอายของนางแข็งแกร่งกว่าดาวลอบสังหารเสียอีก ก่อนหน้าที่นางจะเอ่ยขึ้น ไม่มีใครรู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย

หลี่กังไม่ได้เปิดปาก เขายังยืนอยู่ที่เดิม พลางเร่งพลังเพื่อรักษาบาดแผล

“ขอร้องข้าสักครั้ง มันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เสียงของสตรีฟังดูตัดพ้อต่อว่า

ทันใดนั้น กลางอากาศมีคลื่นพลังอำพรางสายหนึ่งมาจากทางด้านหลังหลี่กัง คลื่นพลังสีเขียวอ่อนที่คมดั่งดาบลม ราวกับฉลามกระหายเลือดใต้ผิวน้ำกำลังซ่อนเร้นจิตสังหารของตน

หลี่กังเหมือนจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

หรือไม่ก็รู้สึกแล้ว แต่เขาไม่คิดจะหลบหลีก

ขณะที่ดาบลมสีเขียวอ่อนกำลังจะฟันเข้าที่ด้านหลังเขา ทันใดนั้นเอง…

ปึง!

เสียงสนั่นดังขึ้นมา

ลำแสงสีน้ำเงินเข้มที่ยากจะบรรยายได้เส้นหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะหลายลี้

ลำแสงเส้นนี้ไม่มีคลื่นพลังฟ้าดิน และไม่มีกลิ่นอายพลังปราณแท้ แต่ความเร็วกลับอยู่ในระดับที่ไม่น่าเชื่อ เหนือกว่ากำแพงเสียง รอจนเสียงสนั่นนั้นดังกังวาน ลำแสงสีน้ำเงินนี้ก็ถูกยิงออกมาก่อนแล้ว ซ้ำรวดเร็วเสียจนกระทั่งขั้นเหนือมนุษย์อย่างเขาก็ยังไม่ทันตั้งตัว

ด้านหลังของหลี่กังราวสามจั้ง ในความว่างเปล่า จู่ๆ ก็มีระเบิดเลือดสาดกระจาย

เงาโปร่งใสร่างหนึ่งล้มลงกับพื้นและค่อยๆ เผยร่างออกมา เป็นดาวลอบสังหารนั่นเอง

หน้าผากของเขามีรูหนาขนาดนิ้วมือรูหนึ่ง

บาดแผลแปลกประหลาด ขอบรอบๆ มีไอร้อนเหมือนไหม้เกรียม ทะลุจากหน้าไปถึงหลัง

จะเห็นได้ว่าในพริบตานั้น ด้านในกะโหลกศีรษะของดาวลอบสังหารซุนหมิงถูกพลังความร้อนที่น่ากลัวยิ่งสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทำลายจนสุก บาดแผลเช่นนี้ ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งก็ไม่มีทางจะเลี่ยงได้พ้น ซุนหมิงจนตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ตัว เพราะใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มเย็นปรากฏให้เห็น นั่นเป็นสีหน้าของพวกนักฆ่าก่อนลงมือสังหารเหยื่ออย่างเต็มร้อย

ดาวลอบสังหาร ตายลงขณะลอบสังหาร

พริบตานั้น กระทั่งเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าตนจะตาย

นี่มันวิชาเทพอะไรกัน ห่างกันหลายลี้ เพียงชั่วขณะเดียวก็สามารถสังหารขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่งได้?

หรือจะเป็นวิถีของขั้นเทวะ?

องค์ชายสองที่อยู่บนหอสูงใบหน้าตกตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึก

การตายของซุนหมิงทำเขาตกใจอย่างมากและรับมือไม่ทัน

กระทั่งจะช่วยก็ยังช่วยไม่ทันด้วยซ้ำ

นี่คือไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังหรือ?

“ช่วยเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือ เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” สตรีคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าก็รู้ดี กระสุนของข้า วันหนึ่งยิงได้เพียงครั้งเดียว” เสียงนี้มีเพียงหลี่กังที่ได้ยิน

หลี่กังสีหน้าเรียบนิ่ง เร่งปราณแท้รักษาบาดแผล

สำหรับองค์ชายสองแล้ว สถานการณ์ตอนนี้พลันเปลี่ยนไปเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว

เขามองเห็นไม่ชัด พริบตาเมื่อสักครู่ ลำแสงสีน้ำเงินเข้มนั้นคืออะไรกันแน่

หากลำแสงเมื่อครู่นี้ยิงมาทางตนเองละก็…เขาชั่งน้ำหนักอยู่ในใจว่าตนจะสามารถรับการโจมตีนี้ได้หรือไม่ บทสรุปท้ายสุดอาจจะทานไว้ได้ แต่…ก็คงบาดเจ็บ

นี่น่าจะเป็นไพ่ตายสุดท้ายของหลี่กังจริงๆ

คนคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บหนัก อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีทางออมมือออมแรงไว้ได้

ไม่มีใครที่อยู่ระหว่างความเป็นตายแล้วจะยังซ่อนไพ่ตายเอาไว้โดยไม่ใช้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…

องค์ชายสองพ่นลมหายใจยาวๆ “แพ้ชนะตัดสินกันแล้ว”

ขณะเดียวกัน เฉาปิ่งเหยียนที่บาดเจ็บหนักก็ลงมืออีกครั้ง

จิตแห่งกระบี่ทางช้างเผือกปรากฏ เฉาปิ่งเหยียนที่ร่างครึ่งหนึ่งเริ่มสูญสลายฟันกระบี่ตรงมาสังหารหลี่กังอีกครั้ง

เมื่อเห็นฉากนี้ องค์ชายสองก็รู้ทันทีว่าศึกตัดสินมาถึงแล้ว

เขายิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจ พร้อมชูมือขึ้น

แสงสีเหลืองสายหนึ่งบินออกไปจากมือ ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แผ่ความเกรงขามน่าหวาดผวาออกมา พลังเต๋าในฟ้าดินหมุนวน ในชั่วพริบตานั้น พลังฟ้าดินที่ถูกกระจกสยบฟ้ากดข่มเอาไว้ก็ฟื้นกลับคืน อานุภาพของอาวุธเทพแห่งเมืองฉางอันถูกสลายทันใด

“ด้วยอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิ แจ้งราชโองการ เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ ปกครองดูแลพื้นที่หนึ่งแทนเรา ได้รับเกียรติสูงส่ง รับตำแหน่งขุนนางขั้นสูง ทว่าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ มีใจคิดปฏิปักษ์ ลักลอบสั่งสมกำลังทหาร มีโทษสถานหนัก ขอบัญชาฉินฝานบุตรชายเรารับหน้าที่ สังหารขุนนางผู้ต้องโทษผู้นี้พร้อมพรรคพวก ให้ปลิดชีพได้ทันที ไม่ต้องคุมตัวกลับเมืองหลวง พร้อมถอนรากเก้าชั่วโคตร จบราชโองการ!”

เสียงน่าเกรงขามราวกับทวยเทพที่ชี้ขาดสรรพสิ่ง ดังออกมาจากแสงสว่างสีเหลืองกลางอากาศ

นั่นคือราชโองการ

ราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิง

จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตกบัญชาให้สังหารหลี่กัง?

หลี่กังวางแผนก่อกบฏ?

เสียงดังกังวานนี้ ทุกผู้คนในเมืองฉางอันต่างได้ยินอย่างชัดเจนในพริบตา

คนมากมายเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มแสงสีเหลืองอันน่าเกรงขามบนฟ้า ภายในแสงสีเหลืองที่กำลังขยับประกาย มองเห็นได้ว่ามีผ้าไหมสีเหลืองทองผืนหนึ่ง ด้านบนมีลายค่ายกลดาราหมุนวน แผ่อำนาจน่าเกรงขามสูงสุดออกมาสั่นสะเทือนใจคน ราวกับเป็นราชโองการจากปากทวยเทพเองก็มิปาน

นี่…ก็คือราชโองการของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก

ทุกคนต่างมีอาการสั่นเทาและความรู้สึกสวามิภักดิ์ที่ยากจะควบคุมได้ส่งออกมาจากจิตวิญญาณของตน

แผ่นดินใต้ฟ้ากว้าง ไม่มีที่ไหนที่ไม่ใช่แผ่นดินของจักรพรรดิ ในแผ่นดินของจักรพรรดิ ไม่มีใครไม่ใช่คนของจักรพรรดิ

จักรพรรดิต้องการให้ตาย ก็จำต้องตาย

เพราะนี่คือราชโองการ

ทั่วทั้งเมืองฉางอัน คนมากมายต่างรู้สึกตกใจและสับสนกันทันใด

ราชโองการของจักรพรรดิฉินตะวันตกมีพลานุภาพอย่างหาที่สุดมิได้ สามารถคลี่คลายพลังสะกดของอาวุธเทพ ‘กระจกสยบฟ้า’ หลังจากที่ราชโองการนี้ปรากฏขึ้น ภายในเมืองฉางอันจึงมีพลังน่าอัศจรรย์แผ่ระลอก พลังฟ้าดินที่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มเอาไว้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ ฟื้นฟูกลับคืน

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ คนแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือหลี่มู่

“บ้าเอ๊ย!”

เนตรสวรรค์ตรวจเจอว่าขั้นเหนือมนุษย์ห้าคนที่ล้อมตนอยู่ พลังซ่อนเร้นรูปร่างตาข่ายเริ่มฟื้นฟู เขารู้ตัวทันทีว่าคราวนี้ความบันเทิงครั้งใหญ่กำลังจะมาแล้ว

ขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าที่ไม่ถูก ‘กระจกสยบฟ้า’ ข่มพลัง สามารถดึงพลังฟ้าดินมาได้แล้ว

หลี่มู่หน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที

แล้วยังจะสู้อยู่ทำไมล่ะ

หากพวกขั้นเหนือมนุษย์ฟื้นกำลังรบที่แท้จริงกลับมาละก็ อย่าว่าแต่ห้าคนเลย แค่คนเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้สบายๆ แล้ว เพราะนี่คือการต่อกรกันของพลังในระดับที่ไม่เหมือนกันนี่นา

เขารีบถอยฉากหนี ดาบเหินหาวพุ่งเร็วดุจแสง

“มารดามันเถอะ เจ้าคนไร้ยางอาย”

หลี่มู่หลบการโจมตี ทิ้งระยะห่างออกมา

พริบตานั้น เขาไม่ลืมคว้าตัวชายหนุ่มคลุมหน้าในชุดขาวออกมาด้วย

ส่วนพวกมู่ชิงและนักพรตคิ้วยาวที่ตั้งตัวกลับมาแล้วก็พลันลิงโลด รู้สึกว่าในร่างกายฟื้นพลังฟ้าดินกลับมาแล้ว และเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ กลับสู่สภาพปกติ ภายใต้การบำรุงจากพลังวิญญาณในฟ้าดิน บาดแผลบนร่างที่ถูกดาบบินของหลี่มู่โจมตีฟื้นฟูกลับมาได้ในพริบตา

“ฮ่าๆ เจ้าสวะ เวลาตายของเจ้ามาถึงแล้ว”

“ขยี้มันให้แหลก”

ขั้นเหนือมนุษย์หลายคนนั้นตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างอดไม่ไหว

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ช่างน่าอัปยศเหลือเกิน

พวกเขาที่เป็นถึงขั้นเหนือมนุษย์อันสูงส่ง หยิบยืมความน่าเกรงขามขององค์ชายสองมาแล้ว ร่วมมือกันล้อมโจมตีชนรุ่นหลังคนหนึ่งอย่างหน้าไม่อาย ท้ายที่สุดสู้กันกว่าครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแต่จะสังหารหลี่มู่ไม่ได้ ตนเองกลับกลายเป็นหินลับมีด ถูกตบหน้ากลับเสียอย่างนั้น แต่ละคนโดนเล่นงานจนหมดอาลัยตายอยาก ความอัปยศในใจแทบทำให้พวกเขาอกแตกตายกันอยู่แล้ว

ตอนนี้ ในที่สุดก็กลับเป็นปกติเสียที

พลังที่เป็นของพวกเขาอย่างแท้จริงกลับมาแล้ว

เมื่อมองหลี่มู่ที่ห้อหนีเหมือนกระต่ายตกใจ ใบหน้าของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งห้าปรากฏจิตสังหารรุนแรงอย่างไม่ปิดบัง

ตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว การสังหารหลี่มู่เป็นเรื่องง่ายแค่ยกมือเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+