จอมศาสตราพลิกดารา 15 เกือบลืมเรื่องใหญ่ไปซะแล้ว

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 15 เกือบลืมเรื่องใหญ่ไปซะแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โจวอู่และเจิ้งหลงซิงเดินเข้าไปอย่างมีชีวิตชีวา อารมณ์ดีมาก

ร่องรอยการต่อสู้น่าสยดสยองที่เคยเห็นรายทางและชวนให้พวกเขาหวาดกลัวยำเกรง ในเวลานี้ถูกเก็บกวาดไปหมดแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่แกร่งเพียงใด แม้แต่เจ้าสำนักเทพทั้งเก้า ตอนมีชีวิตอยู่ย่อมทำให้คนหวาดกลัว ยำเกรง และยอมศิโรราบ ทว่าตายไปก็ไม่มีค่าอันใดอีก เมื่อคิดว่าหลี่มู่ตายอยู่ภายใน อารมณ์ของสองผู้ยิ่งใหญ่เหมือนได้อยู่ใต้ร่มไม้ขณะมีลมเย็นๆ พัดในวันที่ร้อนชื้นที่สุด และยังได้กินแตงโมเย็นที่หวานฉ่ำ

เบื้องหน้ายังคงได้ยินเสียงร่ำไห้ขาดๆ หายๆ ของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง

“ฮือๆๆ คุณชาย…”

เสียงร้องไห้น่าเวทนา คนฟังต้องหลั่งน้ำตาให้

แต่สำหรับโจวอู่และเจิ้งหลงซิงกลับเป็นเสียงที่ไพเราะราวกับเสียงสวรรค์

ทั้งสองเดินไวขึ้น

“หือ? เหมือนมีกลิ่นหอมฟุ้ง…”

“นั่นสิ กลิ่นอะไร หอมจริง”

องครักษ์สองสามคนด้านข้างพูดคุยเสียงเบา

ด้านหน้าในที่สุดก็ถึงส่วนลึกที่สุดของถ้ำหิน ซึ่งก็คือใจกลางของฐานที่มั่นพรรคเสินหนง เป็นส่วนห้องโถงในถ้ำหิน

โจวอู่และเจิ้งหลงซิงเร่งฝีเท้า เกือบจะวิ่งจนมาถึงในห้องโถงของถ้ำหิน

แต่ทว่า…

“นี่…”

“มันอะไร?”

ทั้งสองคนมองไปข้างบน เบิกตากว้างพูดอะไรไม่ออกทันใด ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่ ราวกับแข็งเป็นหินไปแล้ว

เมื่อมองในโถงใหญ่ คนที่น่าจะตายไปแล้วอย่างหลี่มู่กลับไม่ตาย ซ้ำยังนั่งกระปรี้กระเปร่าอยู่บนเก้าอี้หิน กำลังกินเนื้อย่าง

ใช่แล้ว ไม่ได้มองผิดไป เขากำลังกินเนื้อย่าง

ชุดนักพรตตัวใหญ่ของหลี่มู่ถูกถอดออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นไหล่และกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง ผิวของเขาขาวดั่งหยก ที่ไหล่มีลูกศรเขี้ยวหมาป่าขนาดหนากว่าหัวแม่มือปักอยู่ ตำแหน่งของหัวลูกศรที่มีเลือดและชิ้นส่วนกระดูกติดอยู่แทงทะลุสะบัก ดูไปแล้วน่าขนลุกนัก แต่หลี่มู่กลับสงบนิ่งราวไม่รู้สึกเจ็บปวด

ด้านหน้าเขามีกองไฟลุกไหม้อยู่

หลี่มู่ใช้ลูกศรเขี้ยวหมาป่าอีกดอกเสียบเนื้อสดสีขาวที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหนหลายชิ้น กำลังย่างกับเปลวเพลิงส่งกลิ่นหอมฉุยและมีน้ำมันหยด

กลิ่นหอมของเนื้อกระจายไปทั่วโถงถ้ำหิน

กลิ่นนี้ทำให้บรรยากาศยิ่งประหลาดและกระอักกระอ่วนขึ้น

เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?

โจวอู่และเจิ้งหลงซิงเกือบจะกัดลิ้นตัวเองขาด

เวลานี้ ในใจพวกเขาไม่เหมือนกำลังกินแตงโมงหวานฉ่ำในวันที่ร้อนที่สุดอีกต่อไป กลับเหมือนอยู่กลางฤดูหนาวแล้วมีคนสาดถังน้ำเย็นใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้า หนาวเข้าไปถึงหัวใจ

หลี่มู่…ไม่ตาย!

ไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังดูมีชีวิตชีวามาก

แล้วยังมาย่างเนื้อในนี้อีก?

นี่มัน…เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่

ผู้ยิ่งใหญ่สองคนกำลังจะบ้าตายแล้ว

“หืม มีคนมาแล้วเหรอ ทำไมดูคุ้นๆ คนนั้นใครนะ…ใช่ เจ้าน่ะ ชื่อว่าอะไร?” หลี่มู่ตั้งอกตั้งใจย่างเนื้อพลางเงยหน้ามองแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วชี้โจวอู่พร้อมถามขึ้นมา

ในใจของโจวอู่รู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เขาลงมือลงแรงลอบวางแผนมายาวนาน มองหลี่มู่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด  ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นตนอยู่ในสายตาสักนิด ก่อนหน้านี้เคยถามมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่ชื่อตัวเองหลี่มู่ก็จำไม่ได้

“ข้าน้อยผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่ คารวะใต้เท้า” เขาฉีกยิ้มบางๆ “ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าที่ได้แสดงบารมี ทลายพรรคเสินหนงราบคาบ สั่นสะเทือนอำเภอขาวพิสุทธิ์”

 หลี่มู่พยักหน้าแต่ไม่ได้ใส่ใจ กลับหยิบเนื้อย่างที่สุกแล้วขึ้นกัดหนึ่งคำ ส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจก่อนเอ่ยว่า “ขาดยี่หร่า รสชาติยังไม่ใช่…อ้อ ใช่แล้ว เจ้าล่ะ? ดูจากลักษณะก็น่าจะเป็นขุนนางเหมือนกัน? ชื่ออะไร?” เขาใช้ศรย่างเนื้อชี้เจิ้งหลงซิง

“ข้าน้อยนายตรวจการเจิ้งหลงซิง คารวะใต้เท้า” เจิ้งหลงซิงก้มคารวะ มุมปากยิ้มเฝื่อน

ข้างหลังคนทั้งสอง ทหารหลายร้อยนายคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง กล่าวเสียงดังว่า “คารวะท่านขุนนางเมือง”

หลี่มู่เลิกตามอง แต่กลับไม่พูดว่าไม่ต้องมากพิธีตามธรรมเนียม

ปล่อยให้พรรคเสินหนงเนื้อร้ายเช่นนี้เป็นใหญ่อย่างออกหน้าออกตาในอำเภอเมืองมายาวนานถึงยี่สิบกว่าปี ประชาชนต่างทนทุกข์ทรมาน ขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์ตั้งแต่ระดับล่างถึงบน ไม่ว่าเป็นใครก็ตามล้วนต้องรับผิดชอบ หลี่มู่ไม่พอใจเหล่าขุนนางที่กินเบี้ยหวัดไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเหล่านี้เป็นอย่างมาก

โจวอู่และเจิ้งหลงซิงพร้อมใจมองไปที่เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงโดยไม่ได้นัดหมาย

ตอนอยู่ที่หน้าประตูถ้ำหิน เจ้าเด็กน้อยคนนี้ทำให้พวกเขาสับสน

คุณชายของเจ้ายังอยู่ดีมีสุขเพียงนี้ เจ้าร้องคร่ำครวญอะไรด้านในกัน ทำเอาพวกเราเข้าใจผิดว่าคุณชายเจ้าตายแล้ว จึงเดินเข้ามาอย่างเริงร่า…คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

ชิงเฟิงน้อยไม่รู้สึกถึงสายตาของสองหัวหอกใหญ่เลยสักนิด เขาร่ำไห้ไป เช็ดเลือดซึ่งไหลออกมาจากปากแผลที่ไหล่หลี่มู่ไป จากนั้นไม่รู้ว่าเขาไปเอาผ้าพันแผลมาจากไหน คิดจะพันแผลให้ แต่ยังมีลูกธนูดอกนั้นฝังอยู่จึงทำไม่ได้ เขาร้องไห้พลางสะอื้น ท่าท่าเจ็บปวดรวดร้าว

ส่วนเด็กหญิงผู้รับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ นางจ้องเนื้อย่างในมือหลี่มู่ด้วยดวงตาเป็นประกาย น้ำลายไหลย้อยลงมา

เรื่องเจ็บปวดเพราะว่าหลี่มู่ได้รับบาดเจ็บน่ะหรือ?

ไม่มีอยู่จริงหรอก

สำหรับหมิงเยวี่ย ขอเพียงคุณชายไม่ตายก็เพียงพอแล้ว

จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการกินอีก?

กองไฟแตกดังเปรี๊ยะ

เนื้อส่งกลิ่นหอมอบอวล

บรรยากาศเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดบางอย่าง

เวลาผ่านไปสักครู่ ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวอู่พยายามปรับอารมณ์ ลองพูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “ใต้เท้า ท่านไปจากที่นี่ก่อนดีหรือไม่ การรักษาแผลเป็นเรื่องสำคัญกว่า”

“ถูกต้อง ใต้เท้าได้รับบาดเจ็บ รีบไปรักษาที่โรงหมอก่อนเถิด เดี๋ยวข้าน้อยจะจัดการเรื่องที่นี่เอง” ตอนนี้เจิ้งหลงซิงร้อนใจอยากให้หลี่มู่รีบไปจากที่นี่

เขารู้ว่าเขาพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการฆ่าหลี่มู่ไปแล้ว

ใจเขาสับสนวุ่นวาย ต่อไปจะลงมืออย่างไรก็นึกไม่ออกโดยสิ้นเชิง แผนการส่งยอดฝีมือของพรรคจันทราโลหิตมาสังหารหลี่มู่คงต้องพักไว้ก่อน นักฆ่าหลายคนที่ส่งไปก่อนหน้านี้ร่วมมือกันยังรับมือหนึ่งหมัดของหลี่มู่ไม่ได้เลย

“ข้าไม่รีบ สู้มาค่อนวันเลยหิวเล็กน้อย ขอกินเนื้อย่างก่อนค่อยว่ากัน” หลี่มู่กินเนื้อย่างบนศรเขี้ยวหมาป่าจนหมดด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะชี้ไปด้านหลังแล้วกล่าวว่า “ยังต้องย่างต่ออีกสักครู่”

ในเวลานี้ โจวอู่ เจิ้งหลงซิง และพวกเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าด้านหลังหลี่มู่มีงูเขียวยาวเก้ากว่าจั้งตัวหนึ่งนอนตัวอ่อนอยู่บนพื้น

บนหัวงูมีเขาสีเทา คือเค้าลางว่าจะเปลี่ยนเป็นมังกร ทว่ามันสิ้นชีพแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าขุนนางเมืองหนุ่มคนนี้เป็นผู้ลงมือ ส่วนหางยาวประมาณสามฉื่อของมันถูกตัดด้วยดาบคม แล้วถลกหนังจนเห็นเนื้อที่ขาวดังหยก ส่วนหนึ่งในนั้นถูกคว้าน เห็นได้ชัดว่าเนื้อย่างบนศรเขี้ยวหมาป่าในมือหลี่มู่ก็เอามาจากหางงูนี้นี่เอง

งูที่จะกลายร่างเป็นมังกรกลับมาถูกฆ่าแบบนี้?

โจวอู่และเจิ้งหลงซิงเห็นแล้วตกตะลึงอีกครา

พวกเขาสายตากว้างไกล ย่อมมองออกว่างูตัวนี้เป็นอสุรกายที่หาได้ยากยิ่ง มูลค่าสูงลิ่ว สำหรับจอมยุทธ์ มันเป็นยาชั้นเลิศที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้แม้ในฝัน เลือดงู ดีงู หนังงู พิษงู หรือแม้กระทั่งเนื้องู สามารถเพิ่มพลังให้จอมยุทธ์ เพิ่มกำลังภายใน ทำให้เลือดลมดี

ในพรรคเสินหนงเลี้ยงของแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?

สีหน้าของเจิ้งหลงซิงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

เขาคิดว่าตนเองควบคุมพรรคเสินหนงได้ทั้งหมด ทว่ามาตอนนี้…ดูเหมือนซือคงจิ้งจะโกหกเขาอยู่หลายเรื่อง

“คุณชาย ข้า ข้า ข้า…” หมิงเยวี่ยผู้โง่งมชี้ตนเอง กล่าวขณะน้ำลายสอว่า “อย่ากินแค่คนเดียวสิเจ้าคะ ขอข้ากินไม้หนึ่ง”

หลี่มู่สละเนื้องูย่างให้เด็กโง่คนนี้หนึ่งไม้ จากนั้นก็ส่งให้ชิงเฟิงอีกไม้หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เป็นชายชาตรีจะร้องไห้ไปทำไม กินเนื้อก่อน เนื้อของปีศาจงูอายุร้อยปีเชียวนะ ฮ่าๆๆ รสชาติดีทีเดียว”

ชิงเฟิงที่ยังคงมีน้ำตากำลังจะเปิดปากพูดอะไร ก็ถูกหลี่มู่ยัดเนื้องูย่างชิ้นหนึ่งเข้าปาก สะอื้นไห้พูดไม่ออก

หลี่มู่หัวเราะเสียงดัง

พูดตามตรง ในส่วนลึกของจิตใจ สีหน้าท่าทางของเด็กรับใช้บัณฑิตสองคนนี้ทำให้เขาประทับใจอยู่บ้าง

ผู้คนมากมายที่นี่ในตอนนี้ ผู้ที่หวังว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัย ดูแล้วคงมีแค่เด็กน้อยสองคนนี้ นอกนั้น…หลี่มู่ไม่ใช่คนโง่ พอมองออกว่าคนอื่นแต่ละคนคิดอะไรอยู่

ช่วงเวลาหนึ่ง ในถ้ำหินที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นายบ่าวสามคนกินอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงอะไรอื่นนอกจากเสียงเคี้ยว

บรรยากาศแปลกขึ้นเรื่อยๆ

 เจิ้งหลงซิงและโจวอู่ทั้งสองหัวใจเต้นรัว รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

ทันใดนั้น หลี่มู่เหมือนคิดอะไรออก ร้องอ๋าออกมาพร้อมตบขาเสียงดัง

คนทั้งสองตกใจ รีบก้มคำนับ พร้อมใจมองไปทางหลี่มู่แล้วถามขึ้น “ใต้เท้ามีเรื่องอะไรหรือ?”

หลี่มู่ตอบว่า “แย่แล้ว เกือบลืมเรื่องใหญ่ไปเสียสนิท”

ภายในใจของทั้งสองยิ่งกระวนกระวายใจและสงสัย

เรื่องใหญ่?

หรือว่าขุนนางเมืองต้องการ…

ทว่าหลี่มู่พูดต่อว่า “ทหาร ไปตามเถ้าแก่หวงเหวยร้านโอสถเทพมาหาข้าที่นี่”

โจวอู่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้เหตุผลเท่าใดนัก แต่ก็หันไปสั่งคนให้ทำตามในทันที

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป[1] ภายใต้การนำทางของทหารสองคน เถ้าแก่หวงเหวยแห่งร้านโอสถเทพปรากฏตัวที่ถ้ำหินด้วยเนื้อตัวสั่นเทา

“ตะ ตะ ตะ ตะ…ใต้เท้า…” หวงเหวยกลัวจนหน้าซีดปากสั่น

เมื่อเห็นหลี่มู่ เถ้าแก่ร้านโอสถเทพคนนี้ก็เกือบร้องไห้ออกมา

ร้านโอสถเทพเป็นกิจการหนึ่งของพรรคเสินหนง เขาเองก็เป็นคนของพรรคเสินหนง จะไม่กลัวได้อย่างไร

หนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ หวงเหวยเพิ่งได้รับข่าวว่าฐานที่มั่นพรรคเสินหนงโดนบุกทำลายแล้ว ตอนที่เพิ่งได้ยินข่าว เขายังคิดว่าใครมันล้อเล่นไม่ดูตาม้าตาเรือ ในความคิดเขา ในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์คนที่สามารถจัดการพรรคเสินหนงได้ยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ ใครเลยจะรู้ ในเวลาต่อมากลับมีทหารองครักษ์มาที่หน้าประตูร้านโอสถเทพแล้วพาเขามาที่นี่

ทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินระหว่างทาง บรรดาศพในซากป่าหินของฐานที่มั่น ทั้งยังมีซากร่างที่เลือดยังไหลของซือคงจิ้งภายในถ้ำหิน ทุกอย่างทำให้หวงเหวยตื่นตกใจจนขวัญหาย

โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นศพอาบเลือดของซือคงจิ้ง หวงเหวยรู้สึกราวกับฟ้าถล่มลงมา

…………………………….

[1] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด